ตอนที่ 240 ตัวข้าเองก็เกือบจะเชื่อไปแล้ว

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 240 ตัวข้าเองก็เกือบจะเชื่อไปแล้ว

ทันใดนั้นหลังจากจิตกระบี่จำนวนมหาศาลซัดสาดทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ตัวแทนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสี่ รวมถึงเหล่าตัวแทนจากสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ ที่เพิ่งมาถึงโดยค่ายกลห้วงเวลา

แม้กระทั่งผู้อาวุโสและศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเอง

ต่างก็ตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน

ด้านหน้าตำหนักไท่เสวียน

หลังจากเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ซัดสาดเข้ามา ทั้งยังมีประกายกระบี่อันตระการตาพุ่งขึ้นจากยอดเขาฉางหมิงด้วย

นักพรตฉางเสวียนนั้นยังพอตั้งรับได้

ทว่าเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือกลับตะลึงจนอ้าปากค้าง

มิกี่อึดใจต่อมา

“พี่ฉางเสวียน นี่… นี่เป็นฝีมือของท่านบรรพจารย์เย่ของพวกท่านงั้นหรือ ? ”

นักพรตไท่หัวที่ได้สติเป็นคนแรกเอ่ยถามขึ้น

นักพรตฉางเสวียนอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้ายิ้ม ๆ

เจ้าสำนักต้าหลัว หลัวชุนเฟิง เอ่ยอย่างหวาดหวั่นว่า “พี่เหอ ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่งั้นหรือ เหตุใดจึงเกิดสุดยอดประกายกระบี่เช่นนี้ออกมาได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีจิตกระบี่อันน่ากลัวแผ่มาถึงที่นี้อีกด้วย ? ”

ได้ยินเช่นนั้นคนที่เหลือต่างก็หันมามองทางนักพรตฉางเสวียนจนเป็นตาเดียว

นักพรตฉางเสวียนชำเลืองมองไปทางต้วนฉางเต๋อที่มีสีหน้าซีดเผือดเหมือนกับกำลังหวาดกลัวอยู่ แล้วแสร้งพูดขึ้นว่า “ท่านบรรพจารย์เย่มีอิทธิฤทธิ์อันสูงส่ง หากข้าเดามิผิดล่ะก็เมื่อครู่เขาคงได้ยินอะไรเข้า จึงตั้งใจทำให้คนที่คิดมิดีบางคนเกิดความเกรงกลัวขึ้นก็เท่านั้น”

“ห๊ะ ! ”

ทันใดนั้นต้วนฉางเต๋อก็ตัวสั่นงันงกขึ้นมาทันที สีหน้ากลับดูย่ำแย่ลงไปอีกหลายเท่า

“พี่เหอ ท่านอย่ามาหลอกให้ข้าตกใจนะ”

ต้วนฉางเต๋อกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยกับนักพรตฉางเสวียนอย่างคนร้อนตัวว่า “ท่านก็รู้ว่าบางทีข้าก็ควบคุมปากของตัวเองมิได้ อีกอย่างข้ามิมีเจตนามิดีจริง ๆ นะ ! ”

“ผู้อาวุโสเย่สูงส่งเพียงนี้ เป็นผู้ที่คนอย่างพวกเราจะล่วงเกินได้งั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนปรายตามองต้วนฉางเต๋อที่ทำท่าราวกับจะร้องไห้ แล้วแค่นเสียงเย็นว่า “แม้ว่าคนที่มีตบะบารมีเช่นพวกเราในจงหยวนจะมีเพียงน้อยนิด ทว่าในสายตาของผู้อาวุโสเย่ พวกเราจะต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไปเล่า ? ”

ในตอนนั้นเองนักพรตไท่หัวและหลัวชุนเฟิงก็ได้สื่อสารกันทางสายตาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า

“พี่ต้วน เจตจำนงแห่งกระบี่เมื่อครู่คิดว่าท่านคงจะเข้าใจแล้วว่าผู้อาวุโสเย่ท่านนี้หาใช่ผู้ที่พวกเราจะจินตนาการออกได้ วันหน้าท่านต้องระวังให้มาก มิเช่นนั้นปลาหมออาจจะตายเพราะปากก็ได้”

“ใช่ ข้าว่าเมื่อครู่นี้หากผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นต้องการจะทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เกรงว่าเพียงแค่คิดก็คงสามารถทำได้แล้ว”

หลัวชุนเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยว่า “ใช่ หากผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นต้องการทำลายดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยางของท่าน เกรงว่าเพียงแค่ตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็คงทำได้แล้ว”

ต้วนฉางเต๋อได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ต้วนฉางเต๋อที่มีสีหน้าหวาดกลัวก็ได้ขอร้องนักพรตฉางเสวียนว่า “พี่เหอ ถือว่าข้าต้วนฉางเต๋อขอร้องท่านก็แล้วกัน วันหน้าหากท่านมีโอกาสรบกวนบอกผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นทีว่า ข้าต้วนฉางเต๋อมิได้ตั้งใจล่วงเกินเขาจริง ๆ”

นักพรตฉางเสวียนถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ

ในตอนนั้นเองนักพรตไท่หัวเหมือนจะเห็นความผิดปกติบางอย่าง จึงเอ่ยถามผ่านกระแสจิตว่า

“พี่ฉางเสวียน ผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นคงมิลดตัวมาใส่ใจคนเช่นต้วนฉางเต๋อกระมัง ? ”

นักพรตฉางเสวียนหันไปสบตากับนักพรตไท่หัวเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับอย่างมั่นใจว่า “ท่านบรรพจารย์เย่คงจะชี้แนะการบำเพ็ญเพียรให้ผู้สืบทอดอยู่ หากเขาต้องการจัดการต้วนฉางเต๋อจริง เกรงว่าตอนนี้ต้วนฉางเต๋อคงแตกสลายจนวิญญาณดับสูญไปแล้ว”

นักพรตไท่หัวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ

ขณะเดียวกัน

บนจัตุรัสอันเป็นที่ตั้งของค่ายกลห้วงเวลา ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

ประมุขนิกายหมื่นกระบี่ เจี้ยนเจิ้งหยวน รวมทั้งผู้อาวุโสหลายคนในนิกายที่ยืนอยู่กลางจัตุรัส ต่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ผ่านไปมิกี่อึดใจ

หลังจากจิตกระบี่และสุดยอดประกายกระบี่ค่อย ๆ จางลง พวกเขาจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

“มิน่าเล่าท่านบรรพจารย์ถึงได้ยอมมาพำนักและเป็นแขกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน คาดมิถึงว่าบรรพจารย์ท่านนี้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน จะมีความแตกฉานในวิถีกระบี่ที่น่ากลัวเพียงนี้”

“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”

เจี้ยนเจิ้งหยวนขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับทอดถอนใจออกมา

“ท่านประมุข ท่านว่าบรรพจารย์ท่านนี้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะอยู่ในระดับใดของวิถีกระบี่ขอรับ ? ”

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเจี้ยนเจิ้งหยวนถามพลางขมวดคิ้วมุ่น

“อยู่ในระดับใด ? ”

เจี้ยนเจิ้งหยวนส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “เจตจำนงแห่งกระบี่เมื่อครู่มากมายราวกับน้ำในมหาสมุทร หนักแน่นราวกับขุนเขา ยิ่งกว่านั้นยังแผ่เจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่อันบริสุทธิ์ออกมา เพียงเท่านี้เกรงว่าคงมิมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้แล้ว”

“อีกอย่างเขาไท่เสวียนถือเป็นยอดเขาหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน บนนั้นย่อมมีการวางผนึกและค่ายกลปราณเอาไว้มากมาย แต่ทุกที่ที่ไอกระบี่นี้เคลื่อนผ่านกลับสามารถทะลุทะลวงค่ายกลปราณได้โดยง่ายโดยที่มิสามารถตรวจจับได้ ผู้ที่มีความแตกฉานในวิถีกระบี่เช่นนี้ได้ ข้าเองก็มิเคยได้ยินมาก่อน”

สิ้นเสียง นักพรตหยวนเจี้ยนก็เดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ

“พี่เจี้ยน ข้ามาต้อนรับช้า ขอโปรดอภัยให้ด้วย ! ”

นักพรตหยวนเจี้ยนประสานมือคาราวะพร้อมส่งยิ้มให้กับเจี้ยนเจิ้งหยวน

“พรุ่งนี้ก็ถึงวันพิธีแต่งตั้งแล้ว ตัวแทนของสำนักต่าง ๆ ล้วนมากันวันนี้ พี่หยวนเจี้ยนมีภารกิจมากมายย่อมเข้าใจได้”

เจี้ยนเจิ้งหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างท่านบรรพจารย์ของข้าก็มาพำนักที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนด้วย เช่นนั้นพวกเราก็นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เช่นนั้นพี่หยวนเจี้ยนมิต้องเกรงใจไปหรอก”

ได้ยินเช่นนั้นมิว่าจะเป็นผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ หรือว่ากลุ่มคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างก็ตกตะลึงในทันที

หลังจากลังเลเล็กน้อย

ทุกคนก็ยิ้มให้กัน

……………………………..

ขณะเดียวกัน

บนยอดเขาฉางหมิง

เมื่อสุดยอดประกายกระบี่นั้นค่อย ๆ จางหายไปแล้ว

ภายในโสตประสาทของเย่ฉางชิงกลับยังคงมีเสียงวิ๊งดังขึ้นมิหยุด ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

‘เพียงแค่ยกกระบี่ขึ้น เหตุใดจึงทำให้เกิดเสียงและพลังรุนแรงเช่นนี้ได้ ! ’

‘อีกอย่างเคล็ดกระบี่แสงทองนี้ก็เป็นเพียงเคล็ดกระบี่ขั้นเริ่มต้น ส่วนข้าก็มีตบะบารมีเพียงแค่ระดับสร้างรากฐานปราณเท่านั้น’

‘เป็นเพราะเคล็ดกระบี่แสงทองนี่มีปัญหา หรือว่าตบะบารมีของข้ามีปัญหากันแน่ ? ’

‘หรือว่า… นี่จะเป็นเพียงนิมิตที่ดูอลังการ แต่กลับมิได้มีพลังอำนาจใด ๆ ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘นี่คงเป็นนิมิตที่มิมีประโยชน์อะไร’

เพราะเย่ฉางชิงรู้ดีว่าตอนนี้ตนนั้นยังมีตบะบารมีเพียงแค่ระดับสร้างรากฐานปราณ หากใช้พลังวิญญาณภายใน แล้วถูกหลี่ฉางหมิงจับพิรุธเพราะไอพลังเข้าล่ะก็ ถึงตอนนั้นคงตกที่นั่งลำบากเป็นแน่

เช่นนั้นเมื่อครู่ตอนที่แสดงเคล็ดกระบี่อยู่นั้น เขาจึงตั้งใจกดพลังวิญญาณภายในเอาไว้

เช่นนี้แล้วคงมีเพียงนิมิตเท่านั้นที่จะสามารถอธิบายได้

คิดได้เช่นนั้น

‘แม้นิมิตนี้จะมิมีประโยชน์อะไร แต่ก็นับว่าน่าตกใจจริง ๆ ตัวข้าเองยังเกือบจะเชื่อไปแล้ว’

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับลอบบ่นอยู่ในใจ ‘คนมักจะกล่าวกันว่า บางคราการพูดโกหกบ่อย ๆ แม้กระทั่งตัวเองก็ยังแยกมิออกเสียแล้ว’

‘อีกทั้งที่นี่ก็เป็นโลกเซียน หากวันใดเกิดมิระวังเผยพิรุธอะไรออกมา ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงได้ตายอย่างน่าอนาถเป็นแน่ รองานพิธีแต่งตั้งจบลงแล้ว ข้าจะไปจากที่นี่ทันที’

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเย่ฉางชิงบังเอิญเหลือบไปเห็นหลี่ฉางหมิงที่ยืนอยู่มิไกลนัก

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะรู้สึกกลั้นหัวเราะเอาไว้มิอยู่