เล่ม 1 ตอนที่ 156 หลิงเจี้ยงที่มีอายุเพียงสิบสามปีหรือ

ราชินีพลิกสวรรค์

เจียงหลีและหนานอู๋เฮิ่นกลับสถาบันไป่หยวนด้วยความมึนงง

 

 

ตอนที่แยกกันนางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหนานอู๋เฮิ่นถึงสำนึกถึง ‘เจตนาร้าย’ ของตาเฒ่าเลวทรามผู้นี้

 

 

“น่ารังเกียจ สักวันหนึ่งอย่ามาตกอยู่ในเงื้อมมือข้าก็แล้วกัน” เจียงหลีเข่นเขี้ยวจดจ้องเงาร่างของหนานอู๋เฮิ่นที่กำลังเดินจากไป

 

 

เกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปในอาณาเขตอู่หลิงครานี้ เรื่องที่นางถูกตามฆ่า หนานอู๋เฮิ่นจะต้องให้คำอธิบายแก่นางอย่างแน่นอน

 

 

เช่นนั้นหลิงไซว่อาจจะมีความรู้สึกก็เป็นได้แต่เก็บซ่อนเอาไว้เสียก่อน ฉะนั้นหนานอู๋เฮิ่นสังหารหลิงเจี้ยงสองคน แม้กระทั่งหนอนบ่อนไส้ในสถาบันไป๋หยวนก็หายตัวไป หนานอู๋เฮิ่นบอกว่าได้ส่งคนไปตามหาแล้ว ตอนนี้ดูท่าทางสองคนนั้นดูเหมือนถูกสถาบันอู่หลิงซื้อตัวไปแน่

 

 

เรื่องนี้ถือเป็นการบอกขั้นตอนหนึ่ง เจียงหลียิ้มเย็นชาในใจ สำหรับอู๋เชียนตัวต้นเหตุผู้นี้แน่นอนว่านางต้องจัดการด้วยตนเอง

 

 

ตอนนี้นางยังไม่ให้เจ้าสุนัขเฒ่านั่นตายหรอก

 

 

นางรู้แจ้งแก่ใจดี หากนางยิ่งเป็นจุดสนใจแก่สายตาผู้คนมากเท่าไหร่สุนัขเฒ่านั่นก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข ยิ่งเขาอยู่ไม่เป็นสุขนางก็ยิ่งสะใจ

 

 

เมื่อกลับมาถึงหอของตนเองในสถาบันไป๋หยวน เจียงหลีจึงหยิบคัมภีร์วรยุทธ์ระดับพิเศษขั้นที่สามทั้งสองเล่มขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

ถึงแม้นางจะไม่ใช่นักเรียนประจำ แต่นางก็มีห้องฝึกฝนวรยุทธ์เป็นของตนเองในสถาบันไป๋หยวนเช่นเดียวกับลู่เสวียน

 

 

“เล่มหนึ่งเป็นวรยุทธ์โจมตี ส่วนอีกเล่มเป็นท่าร่าง ข้าอยากได้อยู่พอดีเลย” เจียงหลีชั่งน้ำหนักดูคัมภีร์

 

 

วรยุทธ์ทั้งสองเล่มแล้วพึมพำออกมา

 

 

เจียงหลีวางคัมภีร์เล่มนั้นของอู๋เชียนไว้ก่อนแล้วจึงเปิดคัมภีร์ของหนานอู๋เฮิ่น

 

 

คัมภีร์วรยุทธ์เล่มนี้มีชื่อเรียกว่าชวนเสินอิ่น เป็นคัมภีร์วรยุทธ์ท่าร่างชั้นสูง แบ่งออกทั้งหมดสามขั้น ท่วงท่าในแต่ละขั้นจะยิ่งวิจิตรกว่าขึ้นไปอีกขั้น หลังจากที่อ่านดูอย่างละเอียดแล้วทันใดนั้นเจียงหลีจึงค้นพบ “ที่แท้ท่าร่างที่หนานอู๋เฮิ่นใช้เมื่อครู่นี้ก็คือชวนเสินอิ่นขั้นที่สามนั่นเอง!”

 

 

เพียงแค่อึดใจเดียวเมื่อเข้าไปในอาณาเขตไร้มนุษย์สามารถจับหลิงเจี้ยงของสำนักหลิงอู่ได้ทีเดียวถึงสองตน ท่าร่างไร้เทียมทานเช่นนี้นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งนัก

 

 

“แต่ทว่าน่าเสีย หากต้องการฝึกไปถึงขั้นสามจะต้องใช้เวลา เช่นนั้นเริ่มจากขั้นแรกก็แล้วกัน” เจียงหลีถอนหายใจพลิกคัมภีร์วรยุทธ์มาที่หน้าแรกดังเดิมจากนั้นศึกษาความลึกลับวิชาขั้นแรกของชวนเสินอิ่นอย่างละเอียด

 

 

หากจะฝึกชวนเสินอิ่นขั้นแรกจำเป็นต้องรู้สึกตัวและทำสมาธิให้จิตใจว่างเปล่า…

 

 

เจียงหลีตั้งมั่นศึกษาไปได้สักพักก็กระพริบตาลูบหน้าผากแล้วถอนหายใจออกมา “วรยุทธ์ชั้นสูงช่างยากที่จะฝึกฝนเสียจริง”

 

 

นางวางคัมภีร์ชวนเสินอิ่นลงจากนั้นจึงหยิบคัมภีร์ตัดเนื้อของอู๋เชียนขึ้นมาศึกษา “หัตถ์เทพเด็ดดารา” แต่ทว่าเมื่อนางอ่านคัมภีร์วรยุทธ์เล่มนี้จบกลับมีสีหน้าเย็นยะเยือกและแสยะยิ้ม “ตาสุนัขเฒ่าอู่เชียนจิตใจต่ำช้าจริงๆ”

 

 

พลังของหัตถ์เทพเด็ดดาราแกร่งกล้า มิฉะนั้นคงไม่ได้เป็นวรยุทธ์ของชั้นเอกขั้นสามหรอก เมื่อฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดสามารถเอื้อมมือเด็ดดวงดาราลงมาได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงคำอธิบายเท่านั้น ตามที่เขียนในคัมภีร์ฝึกฝนวรยุทธ์นี้สามารถรับเอาสรรพสิ่งกลางอากาศได้ แม้ระยะห่างมากกว่าร้อยจ้างก็สามารถเด็ดหัวคนได้

 

 

แต่ทว่าปฏิกิริยาตอบโต้นั้นรุนแรงมาก ถ้าหากพลังวิญญาณร่างของตนไม่แกร่งกล้าและการป้องกันไม่ดีพอ พลังอันรุนแรงนี้อาจย้อนกลับเข้าตัว รู้สึกเสมือนฆ่าพันคนแต่ตนเองสูญเสียไปแปดร้อยคน

 

 

อู๋เชียนเลือกคัมภีร์เล่มนี้ให้กับนางเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาชั่วร้าย

 

 

เจียงหลียิ้มเยือกเย็นเย้ยหยันในใจ “โชคดีที่สุนัขเฒ่าไม่รู้ว่าวิญญาณยุทธ์ที่สองของข้าเป็นประเภทป้องกัน อีกทั้งยังเป็นเจ้าเต่าน้อยน่ารักเสวียนกังกุยอีกด้วย แผนการนี้ของเขาเกรงว่าจะเปล่าประโยชน์เสียแล้ว

 

 

เมื่ออ่านถึงตอนสุดท้าย ทันใดนั้นเจียงหลีก็รู้สึกว่าวิชาหัตถ์เทพเด็ดดารานี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก หลังจากที่ปฏิกิริยาตอบสนองนางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าหลิงไซว่ที่ไล่ล่านางในอาณาเขตหลิงอู่กระบวนท่าที่พุ่งมาจับตัวนางมิใช่หัตถ์เทพเด็ดดาราหรอกหรือ

 

 

อีกทั้งนั่นยังเป็นการโจมตีตามอำเภอใจให้นางใช้วิญญาณยุทธ์มาตอบโต้!

 

 

ดวงตาของเจียงหลีฉายแววลุ่มลึก

 

 

หลิงเจี้ยงที่ตามไล่ล่าสามตนนั้นตายไปสองตนยังเหลืออีกตนที่ร้ายกาจที่สุดมิรู้ว่าไปเป็นเต่ามุดหัวในกระดองอยู่แห่งหนไหน

 

 

“เกรงว่าหากเจ้าหลบไม่โผล่หัวออกมา หากเจ้าออกมาแล้วจะทำให้เจ้ากลับไปไม่ได้อีก!” เจียงหลีกัดฟันพูด

 

 

 

 

ชั่วพริบตาเดียววันเวลาผันผ่านร่วมเดือนกว่า

 

 

ช่วงระยะนี้เจียงหลีผ่านคืนวันอย่างสงบสุข

 

 

นอกจากกลับตำหนักอ๋องลู่ครั้งหนึ่ง เวลาที่เหลือนางฝึกภายในห้องฝึกฝนของตนเองที่สถาบันไป๋หยวน ท่าทางมุ่งมั่นพยายามของนางส่งผลถึงเจ้าเด็กลู่เสวียนซึ่งช่วงนี้ก็ขยันขึ้นมาก

 

 

ดังนั้นพระชายาลู่จึงหาข้ออ้างตบรางวัลให้นางมากมายก่ายกอง

 

 

เจียงหลีกลับไปครานั้นก็ต้องตกตะลึงกับรางวัลพระราชทานที่พะเนินเทินทึกราวกับภูเขา อวี้ซูและอวี้เฉินทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เก็บสายตา

 

 

ในช่วงเวลานี้เจียงหลีได้คุ้นเคยกับทักษะการใช้เต่าเสวียนกังแล้วและนางก็กำลังเริ่มฝึกวรยุทธ์ชวนเสินอิ่นและคัมภีร์หัตถ์เทพเด็ดดารา บางทีเรียกลู่เสวียนให้มาเป็นคู่ฝึกด้วย นางฟาดเจ้าเด็กนั่นจนต้องคุกเข่ากับพื้นร้องขอชีวิตทุกครั้ง ในที่สุดก็ไม่กล้ามาแหยมเรียกนางว่าหลียาโถ่วอีกแล้ว

 

 

“เจียงหลี! เจียงหลี!”

 

 

เสียงร้องตะโกนของลู่เสวียนเข้ามาขัดจังหวะเจียงหลีที่กำลังฝึกฝนอยู่พอดี

 

 

นางเดินออกมาจากห้องฝึกจึงเห็นท่าทางตื่นเต้นระริกระรี้ของเจ้าเด็กนั่น

 

 

“มีอะไรรึ” เจียงหลีเอ่ยถาม

 

 

ลู่เสวียนพุ่งมาด้านหน้าของนางแล้วกระตือรือร้นพูด “การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มแล้ว เจ้ายังมัวอุดอู้อยู่ในนี้ได้อย่างไร ไปดูความครึกครื้นกับข้าดีกว่า”

 

 

ฤดูล่าสัตว์อย่างนั้นหรือ

 

 

เจียงหลีมองหน้าลู่เสวียนด้วยสีหน้ามึนงง นี่มันอะไรกัน

 

 

เมื่อเห็นท่าทางงุนงงของนางลู่เสวียนจึงต้องอธิบายอย่างช่วยมิได้ “เจ้านี่ช่างปิดหูปิดตาไม่รับรู้เรื่องภายนอกเสียจริง ฤดูล่าสัตว์อย่างไรเล่า! เป็นประเพณีที่ครึกครื้นที่สุดในซั่งตูปีหนึ่งถึงจะมีครั้ง”

 

 

“อ่อ” เจียงหลีตอบกลับอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นัก

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของนางเป็นเช่นนี้ลู่เสวียนถึงกับไปไม่เป็น “หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องฤดูล่าสัตว์ ฤดูล่าสัตว์ของทุกปีก็จะได้เห็นเหล่าเทียนเจียวปรากฏตัวออกมาที่ซั่งตู ในสิบวันนี้มิแบ่งแยกรวยจน มิแบ่งแยกสถานะสูงต่ำ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฝีมือการล่าสัตว์ซึ่งกันของมิตรสหายในยุทธภพ ช่างเป็นงานคึกคักไม่ธรรมดาจริงๆ”

 

 

ในคำพรรณนาของลู่เสวียนนั้นทำให้ความทรงจำเจ้าของร่างเดิมที่เจียงหลีทิ้งไว้อีกด้านค่อยๆ หวนคืนกลับมา

 

 

อืม…ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องฤดูล่าสัตว์จริงเสียด้วย

 

 

แต่ทว่าเจ้าของร่างเดิมมิอาจฝึกวิทยายุทธ์ใดๆ ตั้งแต่แรกแถมอายุยังน้อยอีก อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเข้าร่วมฤดูล่าสัตว์ได้อีกทั้งยังไม่เคยดูความครึกครื้นของงานด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเจียงเฮ่าที่เคยไปครั้งหนึ่ง ไม่ว่าสรุปแล้วเป็นเช่นไรก็ไม่มีในความทรงจำเจ้าของร่างเดิม

 

 

“แล้วจะเริ่มขึ้นเมื่อใด” เจียงหลีหรี่ดวงตาทั้งคู่แล้วครุ่นคิด

 

 

โอกาสเยี่ยงนี้ช่างหายากยิ่งนักซึ่งสามารถทำให้นางได้เห็นถึงศักยภาพของยุวชนรุ่นหลังของโฮ่วจิ้น

 

 

“วันนี้แหละ” ลู่เสวียนตอบอย่างจำนน

 

 

“แล้วมัวช้าอยู่ใยเล่า” เจียงหลียกเท้าเตะเขาเข้าให้

 

 

“โอ้ยยย! ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าเป็นสาวเป็นนางให้หัดมีความเป็นกุลสตรีเสียบ้าง” ลู่เสวียนหลบอย่างคล่องแคล่วว่องไวแต่ก็ยังมิวายค่อนขอดนาง

 

 

“ข้าพอใจจะเป็นแบบนี้” เจียงหลียักคิ้วด้วยใบหน้าแน่งน้อยสดใสจากนั้นไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังแล้วเดินออกไปจากสถาบันไป๋หยวน

 

 

 

 

โดยปกติทางราชสำนักจะจัดงานฤดูล่าสัตว์บริเวณชานเมืองซั่งตู

 

 

ในสิบวันนี้ทางราชสำนักจะเปิดสนามล่าสัตว์ซึ่งใครก็สามารถเข้ามาได้

 

 

เจียงหลีกับลู่เสวียนเดินมายังลานล่าสัตว์ก็ได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยเข้าหูนักลอยมา “เหอะ งานฤดูล่าสัตว์กลายเป็นสนามเด็กเล่นจริงๆ เสียแล้วถึงปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนเข้ามาเพ่นพ่านเยี่ยงนี้ได้หรือ”

 

 

เมื่อเจียงหลีและลู่เสวียนได้ยินเข้าจึงชะงักเท้าหยุดโดยมิได้นัดหมายแล้วหันหลังกลับไปมอง

 

 

ผู้ที่กล่าวคือกลุ่มเด็กรุ่นอายุราวสิบแปดสิบเก้า ดูอายุแก่กว่าพวกเขาสองคนเล็กน้อยจริงๆ

 

 

อย่างไรก็ตามลู่เสวียนดูโตกว่าและสูงราวๆ นั้นจึงถูกพวกเขามองข้ามไป พวกเขาจ้องเด็กสาวที่สูงแค่อกของลู่เสวียนและหัวเราะเยาะ “นี่ เด็กน้อยเจ้ากี่ขวบแล้วล่ะ”

 

 

“สิบสาม” เจียงหลีตอบแต่โดยดี เพียงแต่รอยยิ้มมุมปากนั้นออกจะดูแปลกเสียหน่อย