บทที่ 58.2 ตราประทับธาตุมืด! (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เมื่อได้ยินคำพูดขอโจวเหว่ยชิง ฉินเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ในสายตาของเขาและคนอื่นๆ การที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์กลายเป็นผู้ติดตามของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อีกคนย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

สิ่งเดียวที่อยู่ภายในใจหยุนลี่ตอนนี้คือร่องรอยแห่งความเศร้าเสียใจ ช่างเจ้าเล่ห์นัก! ปลิ้นปล้อนจริงๆ! เฮ้อ…ข้าสงสัยนักว่าอนาคตของข้าจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของเขา…

หลังจากตอบคำถามของฉินเฟิง โจวเหว่ยชิงก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกัน  โจวเหว่ยชิงยักคิ้วใส่เธอด้วยท่าทางติดตลก ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ปฎิเสธ ยิ้มให้สามีในอนาคตของเธอด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงได้ใช้พลังปรานสวรรค์เพื่อสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นให้เธอฟังแล้ว นี่เป็นการส่งข้อความลับที่พวกเขาฝึกฝนมาจากหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์

ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง การที่เขาสามารถเอาชนะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงได้ย่อมเป็นสิ่งที่ควรภาคภูมิใจมากมิใช่หรือ? ผู้ชายที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้จึงดึงดูดสายตาของผู้หญิงได้ไม่ยากอยู่แล้ว

เมื่อทั้ง 4 คนเดินลงบันไดไปด้านล่าง ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดลงแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ภายในศูนย์การค้าก็ได้เปิดไฟให้แสงสว่างเพราะที่นี่มักจะมีผู้คนหนาแน่นในช่วงเวลากลางคืนอยู่แล้ว ตอนนี้บริเวณโดยรอบจึงมีผู้รอชมมากกว่าร้อยคน

เมื่อเห็นทั้ง 4 คนเดินออกมาจากข้างในร้าน ฝูงชนก็เริ่มตั้งคำถามทันที ทุกคนต่างสงสัยเกี่ยวกับผู้ชนะในการประลองครั้งนี้เพราะท้ายที่สุดนั่นจะเป็นตัวกำหนดว่าควรจะติดตามอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนไหนดี!

“พี่ใหญ่ฉิน ท่านสามารถประกาศผลได้เลย” โจวเหว่ยชิงมีความสุขที่ได้แสร้งเป็นคนดีและปล่อยให้ฉินเฟิงรักษาเกียรติของตนเองต่อไปได้ ในเวลาเดียวกันเขากระซิบกับหยุนลี่ว่า “หยุดทำสีหน้าขมขื่นแบบนั้นเถอะ คนอื่นจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเจ้ามัวแต่ทำหน้าอย่างนั้น”

หยุนลี่จ้องมองอีกฝ่ายตาเขม็ง ริมฝีปากของเขากำลังจะขยับเพื่อเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเขาก็สามารถยิ้มออกมาได้

ฉินเฟิงกล่าวเสียงดัง “ ร้านค้าหมายเลข 77 ของเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่อายุน้อยและมีความสามารถทั้ง 2 คนนี้ หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานได้สิ้นสุดลง ในที่สุดเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขามีความสามารถเท่าเทียมกันและทั้งคู่ก็ชื่นชมซึ่งกันและกันมาก การแข่งขันสิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายคือการเสมอกัน ข้าเชื่อว่าจากการประลองรอบแรก ทุกคนย่อมเห็นแล้วว่าอาจารย์ทั้ง 2 มีความสามารถแค่ไหน หากท่านใดสนใจจะเป็นผู้ติดตามของพวกเขาก็รีบเข้ามาเถิด! โอกาสดีๆ เช่นนี้ย่อมไม่รอคอยใคร!”

ขณะที่จ้าวมณีหลายคนกำลังมีท่าทีสนใจ หยุนหลี่กลับพูดแทรกขึ้นมากะทันหัน “นั่นไม่จำเป็นแล้ว ข้าเหนื่อยล้ากับการแข่งขันในวันนี้มาก นอกจากนี้ หลังจากได้ประลองกับอาจารย์โจว ข้าก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย ดังนั้นข้าจึงจะกลับไปทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักสักระยะหนึ่งและจะไม่รับผู้ติดตามในตอนนี้”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ เมื่อพวกเราพร้อมที่จะรับผู้ติดตามอีกครั้ง เราจะกลับมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบ” โลภมากไม่ใช่เรื่องดี อีกทั้งวันนี้เขาก็ค้าขายได้กำไรมามากพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีนักเรียนสามัญชนอีกทั้งห้องให้ต้องคอยสนับสนุนค่าใช้จ่ายของพวกเขา วันนี้แค่ได้รับผู้ติดตามเช่นหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็พึงพอใจมากแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนรับผู้ติดตามเพิ่มอีก หลังได้ประลองกับหยุนลี่ในครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ เมื่อระดับพลังปราณของเขาสูงขึ้นและระดับขั้นในอาชีพอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาสูงขึ้น เขาจะสามารถดึงดูดผู้ติดตามที่แข็งแกร่งขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ ดังนั้นตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงมือ

ด้วยความคิดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงจึงตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ต่อ

เสียงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยดังออกมาจากฝูงชนโดยรอบ ไม่นานพวกเขาก็เริ่มกระจายตัวหายไปจากบริเวณนั้น แน่นอนว่าเสียงถอนหายใจนั้นจะเกิดจากการที่ศึกครั้งนี้ไม่มีผู้ชนะหรือเพราะทั้ง 2 คนไม่ยอมรับผู้ติดตามอีก จะอย่างไหนก็มีเพียงคนในฝูงชนเท่านั้นที่รู้

“คำนับอาจารย์โจว ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ข้าชื่อโจวฉางซี พวกเราต้องมีบรรพบุรุษร่วมกันแน่! ข้าเป็นเถ้าแก่ร้านค้าหมายเลข 76” เมื่อเห็นว่าการประลองครั้งนี้จบลงที่ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน โจวฉางซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเนื่องจากเขากลัวว่าหยุนลี่อาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเถ้าแก่โจว”

จากนั้นโจวฉางซีก็หันไปหาหยุนลี่และพูดว่า “น้องหยุน ถ้าเจ้าต้องการห้องพักที่เงียบสงบไว้ฟื้นฟูพลังปราณ เจ้าสามารถไปที่ร้านของข้าได้”

หยุนลี่ส่ายหัวและพูดว่า “นั่นไม่จำเป็น ข้ากลายเป็นสหายที่ดีกับเหว่ยชิงแล้ว พวกเราจะไปแลกเปลี่ยนคำแนะนำและฝึกปรือการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ร่วมกัน” เขากลายเป็นผู้ติดตามของโจวเหว่ยชิงไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องไปอยู่กับโจวเหว่ยชิง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าโจวเหว่ยชิงที่พยายามซุกซ่อนความจริงนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยให้โลกภายนอกรับรู้ว่าเขาพ่ายแพ้เช่นกัน โดยเฉพาะการพ่ายแพ้ให้แก่บุคคลที่มีระดับพลังปราณและระดับขั้นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ต่ำกว่าตัวเองเช่นนี้ นั่นย่อมกลายเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่หลวงของเขา

ในความเป็นจริง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ยังคงเป็นไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เปล่งประกายแสงสีแดงกุหลาบออกมา เช่นเดียวกับที่โจวเหว่ยชิงพูดก่อนหน้านี้ พ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่าละอายใจ นอกจากนี้เขายังดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนได้ต่อต้านความคิดชั่วร้ายที่จะกลับคำพูดของตัวเองไว้ได้สำเร็จ อย่างไรเขาก็รู้ดีว่าตนย่อมไม่มีโอกาสเอาชนะจ้าวมณีสวรรค์ที่มีไพฑูรย์ตาแมวสองสีในตำนานแน่นอน

เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนลี่ โจวฉางซีค่อนข้างแปลกใจ ทว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะถึงอย่างไร ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพื่อนกับหยุนลี่ ไม่ใช่เจ้านายของเขา

เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของหยุนลี่ โจวเหว่ยชิงก็ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ในขณะที่เขากำลังจะบอกฉินเฟิงว่าตนต้องการจะซื้อหาอะไรบ้าง น้ำเสียงที่ค่อนข้างแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะเดิมพันกับอาจารย์ทั้งสอง?” เหตุผลที่คิดว่าน้ำเสียงนั้นแปลกคงเป็นเพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนโลหะที่หนาและแข็ง ก่อนที่จะเห็นคนพูด น้ำเสียงของเขาก็ทำให้ทุกคนประทับใจไปก่อนแล้ว

โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่หันไปตามทิศทางของเสียงนั้นก่อนจะพบชายร่างใหญ่อยู่ตรงหน้าพวกเขา

ชายคนนี้สูงยิ่งกว่าโจวเหว่ยชิงที่สูงถึง 1.9 เมตร ไหล่ของเขากว้างมากเสียจนเกินขนาดร่างกายของมนุษย์ โจวเหว่ยชิงถูกชื่นชมว่ามีรูปร่างที่ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา โจวเหว่ยชิงกลับดูเหมือนจะบอบ บางกว่าอีกฝ่ายมาก บนไหล่ของเขาแทบจะมองเห็นกล้ามเนื้อปูดขึ้นมา ราวกับว่ามีในนั้นมีลูกโลหะฝังอยู่ข้างใน

เขามีดวงตากลมโตและหน้าผากได้รูป เคราและหนวดที่ยาวปกคลุมใบหน้านั้นช่วยปกปิดอายุที่แท้จริงของอีกฝ่ายเอาไว้ บนศีรษะมีเส้นผมสีแดงสั้นปกคลุมอยู่ ทั้งหมดรวมกันทำให้ชายผู้นี้ดูดุดันน่ากลัว อย่างไรก็ตาม เขามีดวงตาสีฟ้าเข้มที่ดูสงบนิ่งเหมือนสายน้ำ แม้จะยืนอยู่ที่นั่น เขาก็ดูเหมือนขุนเขาขนาดย่อมๆ ที่ตั้งตระหง่านไม่เคลื่อนไหว

เมื่อมองไปที่คนๆ นี้ โจวเหว่ยชิง หยุนลี่ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และฉินเฟิงต่างก็เผยให้เห็นสีหน้าแววตาสับสน มีเพียงโจวชางซีเท่านั้นที่มีแววตาที่ค่อนข้างประหลาดใจ เขาขมวดคิ้วขณะที่แสงเยียบเย็นผุดวาบขึ้นมาในดวงตา แม้ว่าหลังจากนั้นมันจะหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาก็ตาม

“ท่านเป็นใคร?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ชายผู้ไว้หนวดเครากล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ข้าชื่อหลินเทียนอ้าว เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางที่มีทักษะธาตุดินและมณียุทธ์ประเภทป้องกัน ข้าต้องการเดิมพันกับท่านคุณชายทั้ง 2 คน”

ระดับปรมะขั้นกลาง…จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 5 ดวง! จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีประเภทการป้องกันแบบบริสุทธิ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับโจวเหว่ยชิงเนื่องจากหม่าฉุนเองก็มีคุณสมบัตินั้นเช่นกัน แต่ทว่าหม่าฉุนมีมณีเพียงชุดเดียวในขณะที่ชายตรงหน้ามีถึง 5 ชุด พลังของพวกเขาย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

หยุนลี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่โจวเหว่ยชิงกลับรีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ท่านต้องการเดิมพันอะไรกับเรา?”

หลินเทียนอ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง “ข้าต้องการเดิมพันคล้ายกับที่ท่านทั้ง 2 เคยทำก่อนหน้านี้ ถ้าข้าชนะ ข้าจะให้ท่านทั้ง 2 เป็นผู้ติดตามตลอดชีพของข้า ถ้าท่านชนะ ข้าจะติดตามท่านทั้ง 2 คนไปตลอดชีวิต ด้วยระดับพลังปราณในปัจจุบันของท่านทั้งคู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ติดตามที่มีความสามารถเช่นข้า นอกจากนี้ ข้ายังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทขั้นสุดยอด”

จ้าวมณีสวรรค์ประเภท ‘ขั้นสุดยอด’ ที่อีกฝ่ายอ้างถึงคือผู้ที่มีมณียุทธ์และมณีธาตุประเภทที่คล้ายคลึงและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้จ้าวมณีผู้นั้นได้รับประโยชน์ขั้นสูงสุด ตัวอย่างเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถูกพิจารณาว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความเร็วและความว่องไวขั้นสุดยอด ส่วนหลินเทียนอ้าวคนนี้ย่อมเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทการป้องกันขั้นสุดยอด

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าเดาว่าท่านต้องการเดิมพันในแง่ของความแข็งแกร่งในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเพียงเจ้ามณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดและจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรก ทำไมเราถึงต้องเดิมพันกับจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นกลางเช่นท่านด้วย? ท่านไม่คิดว่าการเดิมพันของตนเองเป็นเรื่องตลกเกินไปหน่อยหรือ?”

หลินเทียนอ้าวไม่หวั่นไหวเพราะคำพูดถากถางของโจวเหว่ยชิง ดวงตาของเขายังคงสงบนิ่งและเคร่งขรึม “เนื่องจากนี่เป็นการเดิมพัน ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องมีความยุติธรรม ที่ท่านพูดมาก็ถูก ถ้าเป็นเพียงแค่การต่อสู้ธรรมดาๆ นั่นย่อมไม่ยุติธรรมสำหรับพวกท่าน แม้ว่าทั้ง 2 คนจะเข้าต่อสู้กับข้าพร้อมๆ กัน พวกท่านก็ยังไม่อาจล้มข้าลงได้ ทว่ารายละเอียดการเดิมพันของข้ามีดังนี้ ข้าจะยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่โจมตีพวกท่านกลับ ท่านทั้งสองสามารถโจมตีข้าได้ทุกวิถีทางที่ต้องการในเวลาหนึ่งก้านธูป หากพวกท่านสามารถทำให้ข้าขยับเท้าได้ ชัยชนะก็จะตกเป็นของท่านทันที”

ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแบบแปลกๆ ส่วนดวงตาของหยุนลี่ก็มีแววขุ่นเคือง แม้แต่ฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าตกใจ มีเพียงโจวฉางซีเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

สีหน้าประหลาดใจของโจวเหว่ยชิงนั้นมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าหลินเทียนอ้าวผู้นี้ได้มอบเงื่อนไขที่ดีอย่างยิ่งจนยากที่ใครจะปฏิเสธลง

ให้ทั้งสองคนโจมตีอย่างต่อเนื่องตลอดหนึ่งก้านธูปงั้นรึ?…คิดวางเงื่อนไขเดิมพันเช่นนี้ได้ เขาต้องมั่นใจในพลังป้องกันของตนเองมากแค่ไหนกันเชียว! อย่างไรทั้ง 2 คนก็เป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติ ทักษะการโจมตีธาตุมิตินั้นสามารถสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้มณียุทธ์ของเขาเองก็มีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแกร่ง หากบอกว่าพวกเขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ นั่นอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อว่าตนกับหยุนลี่จะถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายขยับตัวไม่ได้

“เจ้าดูถูกพวกเราเกินไปหรือเปล่า?” หยุนลี่ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเฉยชา “นี่เป็นเพียงการเดิมพันของข้า ขึ้นอยู่กับท่านทั้งคู่แล้วว่าจะยอมรับหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในพวกท่านทั้งคู่ หากมีข้าเป็นผู้ติดตาม ในอนาคตเมื่อออกล่าอสูรสวรรค์เพื่อกักเก็บทักษะ ข้าย่อมช่วยเหลือได้มากทีเดียว นอกจากนี้ เมื่อความแข็งแกร่งและระดับพลังปราณของข้าเพิ่มขึ้น การป้องกันของข้าก็จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตข้าอาจรับการโจมตีของมังกรก็เป็นได้”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หยุนลี่ก็เกือบจะพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็หยุดตัวเองเอาไว้เพราะสายตาของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตนไม่ได้เป็นอิสระอีกต่อไป นั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในดวงตาของเขาก็ยังไม่ได้มอดดับไป เขามองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับการเดิมพันในครั้งนี้ เพราะถึงอย่างไรเสียหยุนลี่ก็ไม่เชื่อว่าตนจะพ่ายแพ้

………………………………