“หยุดนะ เจ้าพวกมด!” มังกรผู้พิทักษ์บินไล่ตามพวกเขาอยู่กลางอากาศและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ชีอ้าวชวางเหลือบตามองไปที่กลุ่มนั้นแต่ก็ไม่พบหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ เหลิ่งหลิงยวิ๋นเองก็พบในจุดนี้เช่นกัน ทั้งสองจึงมองหน้ากัน
มังกรผู้พิทักษ์ไล่ตามคนกลุ่มนั้นไปจนไกลมากแล้วสุดท้ายก็กลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตามกาดาร์ไป
ตอนที่มังกรผู้พิทักษ์กลับมาที่ปลายเทือกเขาก็เห็นชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเข้า เวลานี้ในใจของเขายังคงโกรธอยู่จึงขี้เกียจที่จะสนใจชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋น มังกรเพียงแค่พยักหน้าให้พวกเขาธรรมดาเท่านั้นเอง
ชีอ้าวชวางเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ “คนเหล่านั้นก็แค่ดึงความสนใจจากเจ้าเท่านั้น ตอนนี้มีหญิงสาวเข้าไปแล้วหรือไม่?”
มังกรผู้พิทักษ์ตะลึงไปแล้วจึงนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พอนึกดูอย่างละเอียดแล้ว สีหน้าของมังกรผู้พิทักษ์ก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็กางปีกแล้วรีบบินกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“หญิงสาวผู้นั้นจะเข้าไปทำไมกัน?” เหลิ่งหลิงยวิ๋นขมวดคิ้วมองหลังของมังกรที่รีบร้อนบินไป
“เรื่องนี้พูดยาก” ชีอ้าวชวางก็ขมวดคิ้ว หญิงผู้นั้นใช้ยาเสริมความงามเพื่อดึงดูดความสนใจจากองค์ชายบานาสสมองกลวงให้มาเป็นเหยื่อล่อเพื่อที่นางจะเข้าไปในเส้นเลือดมังกรโดยที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมังกรโดยตรง หญิงสาวผู้นั้นคิดจะทำอะไรกันนะ?
ที่จริงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีอ้าวชวางหรอก แต่พอมาคิดดูว่าราชามังกรในตอนนี้คือเบน ชีอ้าวชวางก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นคิดจะทำอะไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลยก็คือสิ่งที่นางจะทำต้องไม่เป็นประโยชน์ต่อเผ่ามังกรแน่นอน!
ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ได้ตามเข้าไปในเส้นเลือดมังกร พวกเขาแค่เตือนมังกรผู้พิทักษ์ก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าตอนนี้ตัวตนของพวกเขายังไม่ได้เปิดเผยชัดเจน หากพรวดพราดเข้าไปในเส้นเลือดมังกรก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก พวกเขารออยู่ที่นี่จนกว่าเบนจะเสร็จพิธีน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดแล้ว
หลังจากผ่านไปสองวัน พอเบนออกจากพิธีแล้วได้รับรายงานเขาก็รีบมาที่ปลายเทือกเขาทันที เบนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชีอ้าวชวางตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน เบนในตอนนี้ผมสีดำขลับ ดวงตาเย็นชาล้ำลึกราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ใบหน้ารูปงามเผยให้เห็นความมุ่งมั่น ที่หว่างคิ้วมีอำนาจที่น่าเกรงขามของราชาปรากฏขึ้น ที่ด้านหลังของเขามีคนแต่งกายด้วยชุดสีเทาสองคนหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นมังกรที่แปลงร่างเป็นคนนั่นเอง
ตอนที่เบนได้มาพบกับคนที่ดูธรรมดาทั้งสองตรงหน้านี้ เขาก็นิ่งไปแล้วลองพูดหยั่งเชิงดู “แคลร์หรือ?”
ชีอ้าวชวางยิ้ม ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร ไป๋ตี้และเฮยหยู่ที่อยู่ในกระโจมก็กระโดดออกมาแล้วไปที่ไหล่ของเบนทันที
“อ๊า! แคลร์จริงๆ ด้วย!” คราวนี้เบนเชื่อในตัวตนของหญิงสาวตรงหน้านี้หมดใจเลย
ชีอ้าวชวางพนักหน้าน้อยๆ จากนั้นเบนก็มองไปที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นที่อยู่ข้างๆ “แล้วเจ้าคือใคร?”
“เหลิ่งหลิงยวิ๋น” เหลิ่งหลิงยวิ๋นตอบเรียบๆ
“ทำไมพวกเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้ล่ะ? น่าเกลียดจริงๆ ฮ่าๆๆ…” เบนเอ่ยปากเผยนิสัยเดิมออกมา เขาก็ยังคงเป็นมังกรไร้การศึกษาอยู่ดี เพียงแค่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าชาย แต่เป็นราชามังกรแล้ว!
เห็นได้ชัดเลยว่าเบนไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเผ่ามังกรอยู่ในเส้นเลือดมังกรตลอดและไม่ข้องเกี่ยวกับสังคมมนุษย์เลย หลังจากที่เบนกลับมาทวงบัลลังก์ เขาก็ไม่รับรู้ข่าวใดๆ เลย เขาจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับชีอ้าวชวาง
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้มาจัดการเรื่องวุ่นวายของเจ้าก่อนดีกว่า มีหญิงสาวผู้หนึ่งแอบเข้าไปในเส้นเลือดมังกร ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของนางคืออะไร เจ้าหานางเจอหรือไม่?” ชีอ้าวชวางพูด
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” เบนชมวดคิ้วแล้วหันไปพูดกับคนชุดเทาสองคนข้างหลัง “หาหญิงผู้นั้นเจอหรือไม่?” เบนไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าผู้หญิงแอบเข้าไปจริงหรือไม่ แต่ถามเลยว่าหาเจอหรือยัง เพราะเขาเชื่อในคำพูดของชีอ้าวชวาง เวลานี้คนชุดเทาสองคนนั้นก็แปลกใจที่ราชาเชื่อคำพูดของมนุษย์
“กราบทูลฝ่าบาท หญิงผู้นั้น ตอนนี้…” คนชุดเทาพูดอย่างประหม่า เขาพูดประโยคถัดไปไม่ออก
“ก็บอกมาเลยว่ายังหาไม่เจอ!” สีหน้าของเบนโกรธขึ้นมาทันทีพร้อมด้วยดวงตาเย็นชา
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งโกรธขอรับ เรากำลังเพิ่มกำลังค้นหาอยู่ขอรับ” คนชุดเทาพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว
“เบน หญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา นางใช้ยาเสริมความงามเพื่อหลอกคนกลุ่มหนึ่งให้มาเป็นเหยื่อล่อแล้วนางก็ฉวยโอกาสแอบเข้าไป เจ้าลองคิดดูสิว่านางจะมีความเป็นไปได้ว่าจะทำอะไรบ้าง” ชีอ้าวชวางมองท่าทางที่ทำให้คนหวาดกลัวของเบนก็รู้เลยว่าเวลานี้เขาเป็นราชามังกรแล้วจริงๆ
“ซัมเมอร์” ทันใดนั้นสีหน้าของเบนก็ดูแปลกใจแล้วพูดออกมา
“ซัมเมอร์?” ชีอ้าวชวางขมวดคิ้วแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “คนตระกูลไอล์! หญิงผู้นั้นจะต้องเป็นคนของตระกูลไอล์แน่ๆ เป้าหมายของนางก็คือฟันมังกร!”
“หญิงผู้นั้นเป็นหัวขโมย” สีหน้าของเบนในเวลานี้เรียบเฉย เขาหันไปพูดกับสองคนที่อยู่ด้านหลัง “ส่งคนไปที่สุสานมังกร หากพบหญิงผู้นั้นก็พามาหาข้า”
“ขอรับ ฝ่าบาท” คนชุดเทาทั้งสองรีบไปทันที สุสานมังกรคือที่ฝังศพของเผ่ามังกร ที่นั่นเป็นพื้นที่สงบของเผ่ามังกร ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวน
“ไปกันเถอะแคลร์ เราไปที่วังของข้ากันก่อน” เบนยิ้มด้วยแววตาภาคภูมิใจ
ชีอ้าวชวางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเบนก็ส่งเสียงออกมา คืนร่างเดิมของเขาแล้วบินอยู่กลางอากาศ ชีอ้าวชวางยิ้มเล็กน้อยแล้วปีกสีทองก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของนาง เวลานี้เหลิ่งหลิงยวิ๋นก็บินอยู่เช่นกัน จากนั้นทั้งสองคนก็บินตามเบนไป
การที่บินตามเบนเข้าไปในเส้นเลือดมังกรนั้นทำให้ไม่มีมังกรตัวใดกล้าเข้ามาขวางแน่นอนอยู่แล้ว เวลานี้มังกรผู้พิทักษ์ที่เฝ้าทางเข้าเส้นเลือดมังกรเห็นว่าชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นบินตามหลังเบนมาก็อ้าปากค้าง เขารู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ผลีผลามทำเรื่องอะไรให้เพื่อนของราชาไม่พอใจ
ในขณะที่บินอยู่กลางอากาศ ชีอ้าวชวางก็มองบริเวณทั้งหมดของเส้นเลือดมังกร เทือกเขาขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยป่าเขียวชอุ่มและมีมังกรตัวใหญ่บินผ่านบ้างในบางครั้ง ในหุบเขาลึกมีทะเลสาบสีเขียวขนาดใหญ่ที่มีมังกรหลายตัวกำลังพักผ่อนอยู่ เมื่อบินเข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นวังยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา วังนั้นทำมาจากหยกขาวและมีขนาดใหญ่โตกว่าวังของมนุษย์มาก
“เบน ปกติแล้วพวกเจ้าจะอยู่ในร่างของมังกรหรือร่างของมนุษย์หรือ?” ชีอ้าวชวางถามอย่างสงสัย
“มังกรที่โตเต็มวัยแล้วจะกลายร่างเป็นมนุษย์และใช้ชีวิตในแบบมนุษย์ แต่มังกรที่ยังเยาว์อยู่จะอยู่ในร่างของมังกร แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เลือกกันเอง แต่มังกรที่จะเข้าไปอยู่ในวังล้วนใช้ร่างมนุษย์ทั้งหมด” เบนพูดต่อ “แม้ว่าเผ่ามังกรจะทระนงตนและดูถูกมนุษย์มาก แต่เมื่อถึงยามที่โตเต็มวัยกลับอยู่ในร่างมนุษย์ จะเข้าวังก็ต้องอยู่ในร่างมนุษย์ มันช่างน่าขันจริงๆ”
“บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะเทพเจ้ามังกรยังคงหวังให้เผ่ามังกรอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสงบสุข” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด
“คงจะเป็นเช่นนั้น” เบนบินไปที่วังและกลายร่างเป็นมนุษย์ ชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นก็ลงไปเช่นกัน ทันใดนั้นก็มีสาวใช้สองคนมาต้อนรับทันที
“ฝ่าบาท”
สาวใช้จากเผ่ามังกรทั้งสองเข้ามาต้อนรับอย่างสุภาพและเคารพ ในสายตาของพวกนางปรากฏความเคารพและชื่นชมอย่างไม่อาจปกปิดได้ เผ่ามังกรก็เป็นเช่นนี้แหละ ความแข็งแกร่งคือกฎ
เบนพยักหน้าแล้วพูดเรียบๆ “เตรียมห้องให้เพื่อนข้าสองห้องนะ”
“เพคะ ฝ่าบาท” สาวใช้ทั้งสองทำความเคารพแล้วถอยออกไป
เบนพาชีอ้าวชวางและเหลิ่งหลิงยวิ๋นเดินผ่านห้องโถงใหญ่ไปที่ห้องเล็กที่อยู่ข้างๆ กัน
สาวใช้คนสวยยกน้ำเปล่ามาให้ทั้งสามคนแล้วก็ถอยออกไป เผ่ามังกรไม่ชอบดื่มชา พวกเขาดื่มน้ำสะอาด
“เบน ที่ข้ามาหาเจ้าในครั้งนี้เพราะข้าอยากจะมาขอของชิ้นหนึ่ง” ชีอ้าวชวางนั่งลงแล้วพูดด้วยเสียงเรียบ
“ของอะไร?” เบนมองท่าทางจริงจังของชีอ้าวชวางด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“เจ้ารู้จักขนนกสังหารเทพเจ้าหรือไม่?” ชีอ้าวชวางไม่ได้ตอบแต่ถามกลับ
“สิ่งประดิษฐ์ของพระเจ้างั้นหรือ?” เบนลองถามหยั่งเชิงดู
ชีอ้าวชวางพยักหน้า
“ของสิ่งนี้ เผ่ามังกรของพวกเรามีอยู่ แต่ว่า…” เบนเกาหัว “แต่ว่าไม่รู้ว่ามันอยู่คลังสมบัติไหนน่ะสิ ถ้าจะหามันก็คงต้องลำบากหน่อย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสนับข้อมือนะ”
ชีอ้าวชวางเหงื่อตก นางคิดไม่ถึงเลยว่าเผ่ามังกรจะยิ่งไม่เห็นค่าของสิ่งนั้นเลย ของเผ่าเงือกยกให้เจ้าหญิงไปทำเป็นเครื่องประดับ แต่เผ่ามังกรเอาไปทิ้งไว้ในคลังสมบัติไหนก็ไม่รู้
“จริงสิ แคลร์ เจ้าจะหาของสิ่งนั้นไปทำไมล่ะ? ดูเหมือนว่าเผ่าเอลฟ์เห็นของชิ้นนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าเลยนะ” เบนถามอย่างสงสัย
“เบน ตอนนี้ชื่อของข้าคือชีอ้าวชวาง…” ชีอ้าวชวางพูดเรียบๆ ด้วยสายตาที่มีทั้งความซับซ้อน ความเสียใจ ความเจ็บปวด ความโกรธและความเกลียดชัง…
“หมายความว่าอย่างไร?” เบนขมวดคิ้ว เขามองท่าทางของชีอ้าวชวางแล้วก็รู้สึกถึงลางไม่ดีที่ปรากฏขึ้นในใจ
“ข้าเล่าเอง” เหลิ่งหลิงยวิ๋นพูด เขาไม่อยากให้ชีอ้าวชวางต้องพูดในเรื่องที่นางเจ็บปวดออกมาเองอีก
ตอนที่เหลิ่งหลิงยวิ๋นเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างนิ่งเงียบนั้น ความโกรธของเบนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่เท้าแขนของเก้าอี้ถูกมังกรดำบีบจนแตกไปโดยไม่รู้ตัว
“ข้าจะไปทำลายเมืองหลวงของอันพาแกรนด์และวิหารแห่งแสงนั่นซะ” เบนยืนขึ้นแล้วทำท่าจะไป
“เบน!” ชีอ้าวชวางลุกขึ้นแล้วหยุดการกระทำของเบนไว้
“ทำไม?” เบนกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว
“เผ่ามังกรโจมตีมนุษย์โดยพลการไม่ได้ และยิ่งกับเมืองที่มนุษย์อาศัยอยู่ก็ยิ่งทำไม่ได้เลย เจ้าลืมกฎที่เทพเจ้ามังกรตั้งเอาไว้แล้วหรือ?” ชีอ้าวชวางมองสีหน้าที่กำลังโกรธของเบนแล้วพูดต่อ “เจ้าคิดว่าพลังของข้าในตอนนี้จะทำลายวิหารแห่งแสงไม่ได้งั้นหรือ? ข้าทำได้!”
“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่แก้แค้นล่ะ?” เบนอึ้งและไม่เข้าใจเลย
“เพราะหากวิหารแห่งแสงถูกทำลายแต่ยังฝังรากลึกอยู่ในใจของมนุษย์ พวกเขาก็สร้างมันขึ้นมาอีกได้ หากทำเช่นนั้นข้าจะลบล้างมลทินของข้าไม่ได้ และยังเป็นการสร้างศัตรูกับผู้ที่ศรัทธาในวิหารแห่งแสงอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่ศรัทธาในวิหารแห่งแสงที่อันพาแกรนด์มีมากมายเท่าไหร่? มีคนในทวีปนี้อีกมากแค่ไหนที่เชื่อในวิหารแห่งแสง? เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่อคำพูดคำเดียวของข้า หรือจะเชื่อคำพูดของวิหารแห่งแสงที่พวกเขาศรัทธามาตลอดล่ะ?” ชีอ้าวชวางพูดออกมาอย่างชัดเจนด้วยสีหน้าเย็นชา