Ep.170 มีเพียงปีศาจที่ช่วยได้

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.170 มีเพียงปีศาจที่ช่วยได้

 

“สวบ…สวบ…”

 

บริเวณโดยรอบป่าล่ามังกร อสูรวิญญาณตัวน้อยไม่กี่ตัวเพ่นพ่านไปมา เพราะพวกมันยังอ่อนแออยู่จึงแตกตื่นและวิ่งหนีทุกครั้งที่เจอผู้คน

 

หลินมู่อวีผูกม้าไว้ตรงชายป่าและถือกระบี่เหลียวหยวนเข้าป่าล่ามังกร เป้าหมายในครั้ งนี้คือการล่าสัตว์วิญญาณอายุไม่เกินหนึ่งพันปี เนื่องจากเขายังเป็นหน้าใหม่จึงไม่สามารถสังหารอสูรที่มีอายุหลายพันปีได้โดยไม่ถูกจีหยาง หลัวอวี่และคนอื่นๆ สงสัยได้ หลินอวี่จึงจําเป็นต้องใช้ จิตวิทยากับพวกเขาในปฏิบัติการครั้งนี้

 

ไม่ไกลจากหลินมู่อวีที่มีตัวแบดเจอร์สีม่วงกําลังคุ้ยหาหัวไชเท้าใต้กองหิมะ มันเงยหน้าขึ้นเป็น ครั้งคราวอย่างระแวดระวังถึงกระนั้นมันยังไม่ทันสังเกตเห็นหลินมู่อวี่

 

หลินมู่อวีที่ใช้ฌานสัมผัสเล็งไปยังอสูรแบดเจอร์ก่อนจะใช้ฝีเท้าดาวตกพุ่งตรงเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เส้นสีเงินเก้าเส้นปรากฏอยู่บนหัวเป็นสัญลักษณ์ว่าอสูรตนนี้อายุเก้าร้อยปี ความแข็งแกร่งของอสูรแบดเจอร์อาจเทียบได้กับปรมาจารย์สงครามระดับสามสิบห้า ศิลาวิญญาณสีม่วงของมันให้แต้มสะสมมากพอสมควร

 

“ชิ้ง!”

 

หลินมู่อวีชักกระบี่เหลียวหยวนและขว้างไปทางอสูรแบดเจอร์ คมกระบี่ส่งเสียงกรีดร้องขณะพุ่งไปตามแรงขวาง

 

“โฮก…”

 

ทันทีที่สัมผัสได้ถึงอันตรายอสูรแบดเจอร์รีบตั้งตัวและวิ่งหนี “ฉีก!” กระบี่เหลียวหยวนพุ่งปักอุ้งเท้าหลังของอสูร มันพยายามหนี้ทว่ายังเร็วไม่พอ หลินมู่อวีใช้ฝีเท้าดาวตกตามจนทันด้วยระยะ โจมตีสี่สิบเมตร หลินมู่อที่เรียกเถาวัลย์ขึ้นจากพื้นพุ่งไปรัดขาของอสูรแบดเจอร์จนขยับไม่ได้

 

ด้วยความเมตตา หลินมู่อวีรวบรวมปราณยุทธ์แล้วปล่อยไปยังหัวของอสูรโดยไม่ทําลายกายเนื้อจนมันสิ้นใจอย่างสงบ

 

หลินมู่อวีโน้มตัวไปยกศพของอสูรแบดเจอร์ที่จมในกองหิมะ ร่างหนักห้าสิบห้าปอนด์ถูกวางไว้บนหลังม้า หลินมู่อวี่ลงทุนเสียสิบเหรียญทองเพื่อซื้อม้าตัวนี้ มันจึงมีแรงมากพอจะแบกศพอสูร แบดเจอร์ได้อย่างไม่มีปัญหา

 

เนื่องจากศพของอสูรแบดเจอร์เปื้อนเลือด หลินมู่อวีจึงไม่เอาใส่ในถุงสรรพสิ่ง ด้วยเกรงว่าจะทําให้ถุงสกปรกและเปื้อนเหรียญเพชรเอาใต้

 

หลินมู่อวีเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือก่อนจะเที่ยงวัน คงน่าเบื่อน่าดูหากต้องกลับค่ายไปอยู่เฉยๆ อย่างผู้ฝึกหัดมือใหม่โดยไม่มีสิ่งใดให้ทํา หลินมู่อวีจึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่าล่ามังกร ปาแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองหลันเยี่ยนจึงมีทหารรักษาการณ์อยู่ไม่มากนัก เนื่องจากสัตว์วิญญาณอายุกว่าพัน ป้อาศัยอยู่ที่นี้จํานวนมาก ทหารที่ไม่มีพลังอันใดจึงไม่สามารถรับมือกับพวกอสูรอายุเยอะเพียงนี้ได้ พวกเขาสามารถจัดการอสูรที่มีอายุต่ํากว่าห้าร้อยปีเท่านั้น อีกทั้งการส่งกองทหารมาที่นี่เท่า กับการสิ้นเปลืองกําลังคนโดยเปล่าประโยชน์

 

ทันทีที่ฌานสัมผัสถูกปล่อยออกไปก็ปรากฏชีพจรพลังงานเบื้องหน้าหลินมู่อวี เขาควบม้าพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็วกระทั่งพบสัตว์ตัวหนึ่งเบื้องหน้า มันคือจิ้งจอกเงินที่มีเส้นทองหนึ่งเส้นและ เส้นเงินหนึ่งเส้นบนหัวบ่งบอกว่ามีอายุหนึ่งพันหนึ่งร้อยปี

 

จิ้งจอกเงินรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินมู่อวี่ จึงรีบถอยหนีอย่างเร็ว

 

“ ตามไป!”

 

หลินมู่อเร่งควบม้าตาม อย่างไรเสียจิ้งจอกเงินก็ไม่มีทางวิ่งหนีมาได้ทัน หลินมู่อวีเข้าใกล้จนเกือบจับได้ เขาจึงใช้กลวิธีเดียวกับก่อนหน้านี้ กระบี่เหลียวหยวนเปล่งแสงวาบและทะยานออกไป!

 

“ฟิ้ว!”

 

จิ้งจอกเงินหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวีดแหลม มันคํารามเสียงแหลมออกมาทันที! คลื่นพลังน้ำแข็งรอบๆ ก่อตัวเป็นกําแพงกัน! ความสามารถที่แท้จริงของจิ้งจอกเงินคือการป้องกัน!ได้

 

อสูรจิ้งจอกประมาทความสามารถของหลินมู่อวีเกินไป กระบี่เหลียวหยวนตัดผ่านกําแพงน้ำแข็งจนเฉือนโดนลําคอ เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว!

 

“โฮก….”

 

จิ้งจอกสีเงินกัดฟันฝืนความเจ็บปวดและโจมตีสวนกลับ ขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าสู่ทุ่งหิมะกว้างอย่างรวดเร็ว ด้วยร่างกายสีขาวจึงทําให้มันกลมกลืนกับพื้นหิมะ ทว่าก็ไม่สามารถหลุดพ้นสายตา และฌานสัมผัสของหลินมู่อวีสัตว์วิญญาณไม่รู้วิธีปกปิดร่องรอยพลังงานที่ปล่อยออกมาของตน จึงหลบเลี่ยงการตรวจจับของทักษะชีพจรวิญญาณไม่ได้

 

“ไป!”

 

หลินมู่อวีไล่ตามไปติดๆ รวบรวมสายฟ้าไว้ที่ฝ่ามือและเรียกกระบี่เหลียวหยวนบินกลับมาเพื่อรอโอกาสโจมตีครั้งต่อไป

 

ทันใดนั้นจิ้งจอกเงินก็เรียกหิมะให้ถล่มลงมา หลินมู่วี่ชะงักอสูรตนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง!

 

หลินมู่อวีหนีหิมะถล่มลงมายังตีนเขาและได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวติงจ่อระวัง! นั่นจิ้งจอกเงินอายุพันหนึ่งร้อยปี!”

 

“เราจะทําอย่างไรดีลุงหวัง?”

 

“ใช้ธนูยิงมันให้ตาย!”

 

จิ้งจอกเงินเมื่อถูกธนูยิงก็ร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนาและสิ้นใจลง หลินมู่อวีที่วิ่งมาตามเสียงร้องก็พบกลุ่มทหารฝึกหัดสํานักอัศวินยืนล้อมรอบศพจิ้งจอกเงินอยู่

 

ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ลุงหวัง’ มีพลังงานที่แข็งแกร่งคาดว่าคงอยู่ระดับปรมาจารย์สงครามขั้นสิบสอง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อสูรจิ้งจอกเงินตนนี้บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่แปลกที่เราจะ สังหารมันได้ ทั้งยังเป็นเรื่องดีที่มันมีแผลแค่ตรงคอ มิเช่นนั้นราคาคงตกเป็นแน่ เพราะหนังจิ้งจอกเงินอายุหนึ่งพันหนึ่งร้อยปีที่ยังสมบูรณ์นั้นขายได้อย่างน้อยห้าสิบเหรียญทองที่เมืองหลันเยี่ยน!”

 

เสียวติงจื่อถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น

 

บริเวณนั้นยังมีผู้ฝึกหัดที่ติดเหรียญตราสีเขียวคล้ายหลินมู่อที่อยู่อีกหลายคนยืนถืออาวุธในมือพวกนั้นดูไม่เหมือนมนุษย์ ทว่าเป็นเสือล่าเหยื่อเสียมากกว่า

 

หลินมู่อสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยขึ้น “หวังเทียนเซีย เจ้าคิดจะนาจิ้งจอกเงินกลับศูนย์บัญชาการเพื่อแลกเงินรางวัลงั้นหรือ?”

 

กลุ่มอัศวินทั้งห้าต่างหันไปมองหลินมู่อวีด้วยความตกใจ หวังเที่ยนเซี่ยที่แบกศพของ จิ้งจอกเงินอยู่พลางมองหน้าหลินมู่อวี่ “เจ้าคือ…สมาชิกใหม่ของผู้ฝึกหัดหลินหยานใช่หรือไม่?”

 

“ใช่”

 

“แผลของจิ้งจอกเงินเป็นฝีมือเจ้างั้นหรือ?” หวังเทียนเซี่ยถาม

 

หลินมู่อวีชักกระบี่เหลียวหยวนออกพร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้ง “เป็นฝีมือข้าเอง เช่นนั้นเจ้า จะตอบข้าใต้หรือยังว่าเจ้าคิดจะนาศิลาวิญญาณของอสูรจิ้งจอกเงินตนนี้ไปแลกเงินรางวัลใช่หรือไม่?”

 

หวังเทียนเซี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าคิดเช่นนั้น แม้เจ้าจะเป็นคนทําให้มันบาดเจ็บ ทว่าพวกเราเป็นคนสังหารมันได้ มันควรจะเป็นของเรา”

 

“เช่นนั้นหรือ?”

 

หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “ข้าขอแนะนาว่าเจ้าไม่ควรนามันกลับไปศูนย์บัญชาการ นี่จะเป็นการดีที่สุดสําหรับตัวเจ้าเอง”

 

“เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า?” หวังเทียนเขี่ยหัวเราะอย่าเยือกเย็น “หรือเป็นเพราะเจ้าริษยาที่พวกข้าจะได้เลื่อนขั้นจึงอยากได้จิ้งจอกจอกเงินคืน? ให้ข้าบอกอะไรเจ้าสักอย่าง…เลิกฝันเสียเถิด”

 

หลินมู่อวียิ้ม “หากเจ้าถามข้าก็จะตอบให้เหตุผลง่ายๆ คือความแข็งแกร่งของพวกเจ้านั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับจิ้งจอกเงินเลยแม้แต่น้อย หากเจ้านากลับไปให้ศูนย์บัญชาการ เจ้าอาจได้เลื่อนขั้น…ทว่าความแข็งแกร่งเจ้าไม่ได้เพิ่มตาม ซึ่งมันจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี ตอนนี้ยังพอมีเวลา ส่งมันกลับมาให้ข้าเสีย

 

เสี่ยวติงจื่อวิ่งขึ้นไปบนเขาและตะโกน “ไม่! ไม่เด็ดขาด! กว่าจะสังหารมันได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหตุใดพวกข้าต้องส่งมันให้เจ้าด้วย? พวกข้าไม่ยอมอย่างแน่นอน!”

 

หลินมู่อวีขมวดคิ้ว หากเขาเป็นดั่งเช่นผู้ฝึกยุทธ์ คงจะฆ่าพวกผู้ฝึกหัดนี้ได้โดยไม่ลังเล ทว่าความจริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาที่สมาชิกสํานักอัศวินจะฆ่ากันเองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

 

หลินมู่อวี่ทําได้เพียงถอนหายใจเมื่อมองไปยังชุดขาดหลุดลุ่ยที่พวกนั้นสวมอยู่ก่อนจะล้วงมือ หยิบเหรียญเพชรหนึ่งเหรียญออกจากถุงสรรพสิ่ง “หากเป็นสิ่งนี้เล่า? ข้าจะให้หนึ่งเหรียญเพชร แลกกับจิ้งจอกเงิน พวกเจ้าจะว่าอย่างไร?”

 

เสียวติงฉือตกตะลึง “หนึ่งพันเหรียญทอง…”

 

“พวกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของจริง?!”

 

หวังเทียนเซียฉายแววตาแห่งความโกรธ “หากเจ้าอยากได้จิ้งจอกเงินนี้ ก็จงเข้ามา เอาด้วยตัวของเจ้าเอง อย่ามาใช้เหรียญเพชรปลอมๆ หลอกคนจนอย่างพวกข้า!”

 

สารเลว!

 

หลินมู่อวีเลือดขึ้นหน้าเตรียมชักกระบี่เหลี่ยวหยวน ทว่าก็หยุดตัวเองไว้ใต้ หลังสงบสติอารมณ์ได้ครูหนึ่งจึงเก็บกระปเข้าฝึกและดึงบังเหี้ยนเตรียมออกไป “เจ้าควรจะระวังตัวเองไว้ดีกว่า ข้าทนพวกเจ้ามามากพอแล้ว”

 

หลินมู่อวีควบม้าตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับ เขายังจําคําว่า “ชอบธรรม” ที่สลักบนศูนย์บัญชาการได้ ทว่าน่าเสียดายที่เหล่าทหารพวกนี้ไม่รู้จักคํานั้น..หลินมู่อวีเข้าใจดีว่าตนไม่ใช่พระที่ต้องคอยช่วยเหลือมนุษย์ เพราะบางคนมีเพียงปีศาจเท่านั้นที่ช่วยได้

 

ระหว่างทางกลับ หลินมู่อวีพบหมูภูเขาตัวหนึ่งจึงสังหารมันและควานหาศิลาวิญญาณทว่าไม่เจอสิ่งใด เขาไม่มีทางเลือกต้องแบกร่างหมูภูเขาสร้อยปอนด์กลับสํานักอัศวินไปด้วย

 

เป็นเวลาเกือบบ่ายแล้ว…หลินมู่อวีได้กลับถึงสํานักอัศวิน ตะวันขึ้นกลางฟ้า หิมะบนพื้นเริ่มละลาย การจะสังหารอสูรวิญญาณในวันที่มีหิมะเป็นเรื่องยากกว่ามาก เนื่องจากพวกมันชอบซ่อนตัว

 

เมื่อยามเฝ้าประตูเห็นหลินมู่อวีกลับสํานักมาพร้อมศพอสูรวิญญาณสองตัว ก็แสดงท่า ที่ตกใจก่อนจะหัวเราะเยาะเย้ย “โอ้โห เด็กใหม่ฆ่าแบดเจอร์ในสีม่วงอายุเก้าร้อยปีและ หมูภูเขาอายุห้าร้อยปได้ด้วยหรือ? เจ้าคงได้เลื่อนขั้นเป็นเหรียญโลหะแล้วสิ ยินดีด้วยเจ้าหน้าใหม่”

 

หลินมู่อวี่ทําเพียงยิ้มรับก่อนจะลากศพอสูรทั้งสองขึ้นเขาไป

 

ยามบ่าย…เหล่าทหารเลิกเฝ้ายามศูนย์บัญชาการและไปทานอาหารกลางวัน พวกระดับสูงจะได้กินของดีด้านใน ส่วนพวกระดับล่างต้องทนกินข้าวต้มถ้วยกลางลมหนาวด้านนอก

 

“ผู้ฝึกตนหลินหยานกลับมาแล้ว!” ทหารเหรียญโลหะตะโกนเสียงดัง “เขานําแบดเจอร์สี ม่วงอายุเก้าร้อยปีและหมูภูเขาอายุห้าร้อยปีกลับมาด้วย!”

 

“จริงหรือ?

 

ราชทูตใหญ่จีหยางที่กําลังนั่งจิบไวน์ได้เงยหน้ามองด้วยรอยยิ้ม “ผู้ฝึกตนใหม่ปีนี้ฝีมือไม่เลว… เราไม่เจอต้นกล้าดีๆ เช่นนี้มานาน!”

 

ราชทูตหลัวอวี่วางแก้วไวน์ในมือและกกล่าวด้วยความนอบน้อม “ท่านราชทูต ใหญ่ข้าน้อยขอไปดูได้หรือไม่? หากเป็นของจริงเราควรมอบยศไหนให้เขาดีขอรับ?”

 

“หากเป็นของจริง…”

 

นัยน์ตาจีหยางลูกโชน “มอบยศเหรียญเงินให้เขาเสีย กําลังคนเรายังมีไม่พอ ข้าต้องการสายเลือดใหม่ เจ้านี่คงมีพละกําลังอยู่ระดับขอบเขตปฐพี เพียงพอแล้วสําหรับยศเหรียญเงิน”

 

“ขอรับ!”