บทที่ 163 หลิงอวี่สวิ๋นเองก็จะมาพักที่ตระกูลเย่?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

แม้แต่ฝันเย่เทียนเฉินก็คิดไม่ถึงว่า หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน จะถึงกับถูกใจหลิงอวี่สวิ๋น ต้องการให้เธอมาเป็นแฟนของตน ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องสาวต้องการจะทำอะไร ทำไมถึงดูเหมือนเห็นผู้หญิงคนไหนก็คิดอยากจะให้มาเป็นแฟนของตนเอง? หรือจะกลัวว่าเขาจะเป็นโสดจริงๆ?

“ไม่จริงน่ะ? พวกเธอจะเวอร์เกินไปหรือเปล่า ปีนี้พี่ชายของเธอเพิ่งจะอายุยี่สิบ เป็นเวลาที่ควรจะกินดื่มเที่ยวเล่น ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปหาแฟน หรือจะบอกว่า ด้วยเสน่ห์ของพี่ชายของเธอ คิดว่าจะหาแฟนได้ยากเหรอไง?” เย่เทียนเฉินเคาะลงบนศีรษะของเย่เชี่ยนเหวินเบาๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น

“คนคนนี้นี่…หนูกับแม่ก็กังวลอยู่บ้านจริงๆ…” เย่เชี่ยนเหวินพูดฟังทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้ววิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก

ช่างอับจนหนทางกับแม่และน้องสาวจริงๆ ตัวเองเพิ่งจะอายุยี่สิบปี ก็ดูเหมือนว่าพวกเธอจะรีบร้อนอยากให้เขาแต่งงานแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าแม่และน้องคิดอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนยังร่วมมือกันอย่างจริงจัง คิดแต่จะให้ตนเองแต่งงานอยู่ตลอดเวลา!

“เทียนเฉิน ลูกมานี่สิ มาคุยเป็นเพื่อนอวี่สวิ๋นหน่อย พวกลูกๆ ก็ไม่ได้เจอกันนานแล้ว คงจะมีอะไรพูดคุยกันเยอะแยะเลย!” หลัวเยี่ยนตั้งใจส่งสายตาบอกใบ้ไปให้เย่เทียนเฉิน ความหมายก็คือต้องการเรียกให้เย่เทียนเฉินเข้าไปตีสนิทกับหลิงอวี่สวิ๋น ทำความรู้สึกให้ใกล้ชิดกันสักหน่อย

เย่เทียนเฉินไหนเลยจะมองความคิดของแม่ไม่ออก เธอคิดว่าหลิงอวี่สวิ๋นกับตนเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นมาด้วยกัน ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่ก็ยังมีความรู้สึกในสมัยเด็กเป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าจะสามารถอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็เป็นได้ ขอเพียงแค่ตนเองมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ต่อไปนี้ก็เกรงว่าจะเป็นเวลาที่จะถูกแม่บีบบังคับให้แต่งงาน

“พวกคุณแม่คุยกันไปเถอะครับ ผมดูโทรทัศน์สักครู่ กำลังสนุกเลย!” เย่เทียนเฉินพูดไปตามใจ

“เด็กคนนี้นี่ เรียกให้ลูกมาก็มาสิ จะต้องพูดจาไร้สาระที่ทำไมกัน” หลัวเยี่ยนถลึงตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

เมื่อเห็นท่าทางของหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เทียนเฉินก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ในโลกนี้มีผู้หญิงอยู่สองคนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้โดยเด็ดขาด และก็เป็นคนที่เย่เทียนเฉินไม่กล้าล่วงเกินด้วย นั่นก็คือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และน้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน พวกเธอเป็นคนใกล้ชิดที่สุดของเขา เขาย่อมทำดีกับพวกเธออย่างแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเยี่ยนตำหนิตัวเองเสียงดังเช่นนี้ ดูท่าทางจะให้ความสำคัญกับหลิงอวี่สวิ๋นมากจริงๆ

“อะไรครับแม่ มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ!” เย่เทียนเฉินเดินไปข้างหน้าหลัวเยี่ยนแล้วนั่งลง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“นั่งตรงนี้ ไม่อนุญาตให้ไปไหน คุยเป็นเพื่อนกับแม่และอวี่สวิ๋น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“ครับๆ ผมรู้แล้ว ยัยหลิงขี้มูกโป่ง อยากกินแอปเปิ้ลหรือเปล่า ฉันจะไปปอกมาให้ลูกนึงเป็นไง?” เย่เทียนเฉินรู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก มองไปทางหลิงอวี่สวิ๋นพลางกล่าว

“ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก ฉันจะคุยเป็นเพื่อนคุณน้าสักหน่อยก็จะกลับแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวแล้วยิ้มให้หลัวเยี่ยน

“กลับ? อวี่สวิ๋น ดึกขนาดนี้แล้ว หนูเป็นผู้หญิงคนเดียวก็ไม่ปลอดภัย พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ของพวกเราเถอะ ในบ้านมีห้องว่างอยู่ ไม่งั้นก็นอนกับเชี่ยนเหวินก็ได้ โทรไปบอกครอบครัวสักหน่อยเถอะจ้ะ!” เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี่สวิ๋นจะกลับ หลัวเยี่ยนก็รีบเปิดปากพูด

ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนนั้นมีเจตนาดี เห็นว่าเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ผู้หญิงคนเดียวคงไม่ปลอดภัย ส่วนเย่เทียนเฉินที่ได้ยินคำพูดนั้น ก็คิดว่าแม่ต้องการให้หลิงอวี่สวิ๋นพักค้างคืนอยู่ที่บ้าน และถือโอกาสให้ตนเองพัฒนาความสัมพันธ์กับหลิงอวี่สวิ๋นเสียหน่อย

“เอ๋? คุณน้าคะ หนูมีรถค่ะ ถึงตอนนั้นหนูกลับบ้านไปก็พอแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลับไปหรอก มันไม่ปลอดภัย เชี่ยนเหวิน ลูกยังมัวอึ้งอะไรอยู่ รีบไปเก็บกวาดห้องที่ว่างสักหน่อย ให้พี่สาวอวี่สวิ๋นนอนที่นั่น!” หลัวเยี่ยนเปิดปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“เอ๋? ได้ ได้ค่ะ…”

เย่เชี่ยนเหวินเองก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าแม่จะถึงกับรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้ค้างที่นี่ จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ในตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้พูดอะไรก็วิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นสองของคฤหาสน์และเริ่มเก็บกวาดห้องแล้ว

เย่เทียนเฉินแทบทรุด แม่และน้องสาวสองคนนี้ บางทีก็มีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าตนเองมาก บางทีก็พึ่งพาไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ แม้แต่เขาก็ต่อต้านไม่ได้ และไม่กลัวว่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามจนเกินไป รีบรั้งหลิงอวี่สวิ๋นไว้ให้ค้างคืน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ห้องที่น้องสาวขึ้นไปเก็บกวาด เป็นห้องที่ฉีหรูเสวี่ยเคยอยู่ นี่ไม่ใช่ว่าน่าตลกหรอกหรือ? ทำให้ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้จริงๆ

นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมีจินตนาการอันน่าหวาดกลัวขึ้นมา ห้องว่างห้องนี้ของคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน มีฉีหรูเสวี่ยที่เป็นสาวสวยเคยพักอยู่แล้ว ไม่ทันไรก็มีหลิงอวี่สวิ๋นเข้าไปพักอีก ไม่รู้ว่าจะมีหญิงงามสักกี่คนที่ได้เข้าไปพักถึงจะมีเจ้าของ?

ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มองจนโง่งม ขนาดหลิงอวี่สวิ๋นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เดิมทีเธอถือโอกาสมาส่งเย่เทียนเฉินจึงถือโอกาสมาในคฤหาสน์เพื่อพบหลัวเยี่ยน เป็นมารยาทที่ควรกระทำกับผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดว่าวันนี้จะค้างคืนอยู่ที่ตระกูลเย่อะไรเลย แต่เมื่อเห็นท่าทางอบอุ่นเช่นนี้ของหลัวเยี่ยนและเย่เชี่ยนเหวิน เธอก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธ

“อวี่สวิ๋น ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว คิดถึงตอนเด็กๆ เธอก็น่าเอ็นดูมาก พอโตมาแล้วก็ยิ่งสวย พักอยู่สักคืนเถอะ คุยเป็นเพื่อนน้าหน่อย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้น งั้นก็ได้ค่ะ ต้องรบกวนคุณน้าแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นกล่าวยิ้มๆ

ก็เป็นเช่นนี้เอง หลิงอวี่สวิ๋นถูกหลัวเยี่ยนรั้งตัวให้พักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่หนึ่งคืน เย่เทียนเฉินนอนลงบนโซฟาข้างๆ อย่างอับจนคำพูด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับหลิงอวี่สวิ๋นอะไร แต่หลัวเยี่ยนทำให้เขารู้สึกว่า ที่ต้องการรั้งตัวหลิงอวี่สวิ๋นให้พักค้างคืนก็เพื่อจะให้เขาและอีกฝ่ายได้มีโอกาสใกล้ชิดกันให้มาก นี่เป็นเพราะตนเองไม่มีแฟน จึงทำให้แม่มีความรู้สึกว่าต้องคิดวิธีและมองหาไปทั่ว!

“อวี่สวิ๋น มาถึงบ้านของน้าแล้วก็ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองเถอะ ไม่ต้องบอกว่ารบกวนหรือไม่รบกวนอะไรหรอก น้ายังจำได้ว่าตอนเด็กๆ พวกเธอสองคนชอบเล่นพ่อแม่ลูกกันบ่อยๆ แล้วยังพูดว่าโตขึ้นมาจะแต่งงานกัน ทำให้พวกเรามีความสุขมากจริงๆ!” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเยี่ยน ใบหน้าอันงดงามของหลิงอวี่สวิ๋นก็พลันแดงระเรือ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา ในใจคิดว่าแม่นี่จริงๆ เลย เรื่องที่ทำให้เขากับหลิงอวี่สวิ๋นกระอักกระอ่วนเป็นที่สุดก็คือเรื่องแบบนี้ในตอนเด็กๆ ตอนนั้นทั้งสองเพิ่งจะกี่ขวบกัน เลียนแบบเรื่องในละครในโทรทัศน์ก็เป็นสิ่งปกติ ตอนนี้โตแล้วถูกยกขึ้นมาพูดก็รู้สึกกระอักกระอ่วนจริงๆ

“อะแฮ่ม แม่ครับ แม่ไปทำผลไม้มาให้อวี่สวิ๋นเขากินหน่อยเถอะ ผมจะคุยเป็นเพื่อนเธอเอง!” เย่เทียนเฉินพูดกับหลัวเยี่ยนเพื่อทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วน

“อ่าๆ ได้ๆ พวกเธอคุยกันไป แม่จะรีบกลับมา!”

หลัวเยี่ยนเองก็รู้สึกว่าหัวข้อที่ตนเองยกขึ้นมาพูดจะอ่อนไหวมาก ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นอายจนหน้าแดง แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิงอวี่สวิ๋น หลัวเยี่ยนก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจจริงๆ มีปฏิกิริยาก็แสดงว่ายังจำเรื่องในตอนเด็กๆ ได้ และยังคงมีความรู้สึกต่อเรื่องนี้อยู่

เมื่อเห็นว่าหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินจากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปนั่งข้างหลิงอวี่สวิ๋น ทั้งสองคนเปิดปากพูดพร้อมกัน

“เธอ…”

“ฉัน…”

“เธอพูดก่อน!”

“นายพูดก่อน!”

“เธอคงจะไม่พักอยู่ที่บ้านฉันจริงๆ ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

“นี่ นายเข้าใจให้มันชัดเจนหน่อย เป็นแม่ของนายที่รั้งฉันเอาไว้ให้พักอยู่ เชี่ยนเหวินก็ขึ้นไปเก็บกวาดห้องแล้ว จะให้ฉันทำยังไงล่ะ?” หลิงอวี่สวิ๋นกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ที่สำคัญก็คือแม่ของฉันมีเป้าหมายอื่น เธอเข้าใจไหม?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉันดูออกแล้ว แม่ของนายกับน้องสาวกังวลว่านายจะหาแฟนไม่ได้ ดูแล้วที่พวกเธอกังวลก็ถูกต้องแล้ว ท่าทางของนายแบบนี้ ไม่ต้องพูดเรื่องหาแฟนเลย ขนาอีคิวสักนิดก็ไม่มี ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับนายกัน ไม่ถูกนายทำจนโกรธตายก็แปลกแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นสดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา มีท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ที่สำคัญก็คือตอนนี้จะต้องไม่ให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ของพวกเราผิด เข้าใจไหม? ถ้าหากเข้าใจผิดมากกว่าเดิม วันหน้าบอกว่าพวกเราไม่ใช่แฟนกัน ก็คงจะทำร้ายจิตใจของแม่มาก!”

“ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่านายจะกตัญญู งั้นบอกมาซิว่าจะให้ทำยังไง?”

หลิงอวี่สวิ๋นในตอนนี้เปลี่ยนท่าทางไปแล้วโดยสิ้นเชิง ในตอนแรกเธอยังคงกังวลอยู่บ้าง ถ้าพักอยู่ที่บ้านตระกูลเย่จะอย่างไรก็คงไม่ดี ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิงและตระกูลเย่จะไม่เลว อีกทั้งตอนนี้คุณน้าหลัวเยี่ยนก็ดีกับตนเองมาก แต่ว่าเรื่องอย่างการพักค้างคืน จะอย่างไรก็ไม่ค่อยดี ตอนนี้เห็นว่าเย่เทียนเฉินมีท่าทางร้อนรน เธอกลับรู้สึกผ่อนคลาย มีท่าทางรอดูเรื่องสนุก

“เธอรีบไปตอนนี้เลย ฉันจะบอกว่าเธอมีธุระด่วน แบบนี้แม่ของฉันก็จะพูดอะไรไม่ได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินรีบเปิดปากพูด

“ได้…เอ๋? ไม่ถูกสิ นายทำแบบนี้เหมือนกับว่าไม่ยินดีต้อนรับให้ฉันมาเป็นแขกของบ้านนายเลย เหมือนกำลังไล่ฉันออกไปเลย!” จู่ๆหลิงอวี่สวิ๋นก็ทำท่าทางโกรธเคืองขึ้นมา จ้องเขม็งไปทางเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“นี่…นี่มันสำคัญด้วยหรอ? ที่สำคัญก็คืออย่าให้แม่ของฉันเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราผิด เธอเองก็คงไม่อยากจะพูดไม่ชัดเจนใช่ไหม? รีบไปสิ!”

เย่เทียนเฉินพูดไปก็พยายามดึงอีกฝ่ายขึ้นจากโซฟาแล้วดันไปที่ประตูคฤหาสน์ หลิงอวี่สวิ๋นก็หยิบกระเป๋าของตนเองขึ้นมา เดินออกไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง

ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเปิดประตูคฤหาสน์ออกและเตรียมจะส่งหลิงอวี่สวิ๋นไปนั้น หลัวเยี่ยนก็เดินถือจานผลไม้จานหนึ่งออกมาจากครัว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “พวกเธอสองคนจะไปไหน?”

“อ้อ อวี่สวิ๋นเธอ ที่บ้านของเธอมีเรื่องเล็กน้อย เพิ่งจะโทรศัพท์มา ก็เลยต้องรีบกลับไปน่ะครับ” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะแหะๆ

“งั้นหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลัวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างใส่ใจ

“ก็ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ คุณน้าเดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเล่นใหม่ ขอตัวก่อนนะคะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นก็ได้จ้ะ เดินทางระวังดีๆ เทียนเฉินไปส่งหนูอวี่สวิ๋นสิ!” หลัวเยี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกแล้วพูดขึ้น

“ได้ครับ แม่รีบไปนอนก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวผมจะเปิดประตูเอง!”

เย่เทียนเฉินพูดจบก็รีบลากหลิงอวี่สวิ๋นเดินออกไปนอกคฤหาสน์