บทที่ 159 เพลิดเพลินหรือถูกเพลิดเพลิน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จี๋อวี่วาดดาบเฉือนผลไม้ที่เด็กสาวชาวปาเหล่านั้นขว้างมา

เด็กสาวเหล่านั้นไม่เพียงแต่ไม่ตกใจ ทว่ากลับกรีดร้องพร้อมขว้างผลไม้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จี๋อวี่เพียงใช้กระเป๋าผ้ารับผลไม้ที่ลอยเข้ามาเพื่อป้องกันมิให้เนื้อตัวสะบักสะบอกจากการถูกขว้างปาด้วยผลไม้

ซ่งชูอีอ้าปาก เมื่อเห็นว่าฉากตรงหน้าได้ข้อสรุปแล้ว ก็ได้แต่รอดูละครอยู่เงียบๆ

ครั้นเด็กสาวชาวปาเห็นดังนี้ก็กรูเข้ามาทันทีพร้อมส่งเสียงร้องดีใจราวกับกวางน้อย กู่จิงกับจี้ฮ่วนมองดูสาวๆ แล้วโน้มตัวเข้ามาถามซ่งชูอี

“เรื่องนี่น่ะ…แค่ก ข้าก็ไม่เข้าใจ” ซ่งชูอีแสร้งโง่

กู่จิงไม่ฉลาดอีกทั้งยังชื่นชมซ่งชูอีเป็นอย่างยิ่ง นางกล่าวอะไรเขาก็เชื่อทันที ทว่าจี้ฮ่วนกลับแสดงอาการสงสัย “ท่านไม่รู้จริงหรือ?”

ซ่งชูอีส่ายศีรษะตามคาด “ไม่รู้ ทว่าเจ้าดูสิว่าแม่นางเหล่านี้หน้าตางดงามมากทีเดียว มองแล้วจิตใจเบิกบานนักเจ้าว่าไหม?”

มาตรฐานของจี้ฮ่วนค่อนข้างสูง ทว่าเมื่อมองดูเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าสดใสและมีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งก็กลับรู้สึกว่าพวกนางน่าสนใจจริงๆ

เพียงแค่ความพยายามไม่กี่ประโยค บัดนี้จี๋อวี่ก็ถูกเด็กสาวชาวปาสามสี่คนห้อมล้อมแล้ว ในฐานะที่เป็นท่านแม่ทัพและมือดาบ เขามีลางสังหรณ์ถึงภยันตรายได้เป็นอย่างดี บรรดาเด็กสาวท้องถิ่นผู้เรียบง่ายเหล่านี้ไม่มีเจตนาร้าย จี๋อวี่รับรู้ถึงจุดนี้ได้ดียิ่งดังนั้นจึงมิได้วาดดาบโดยพลัน

ความลังเลเพียงชั่วอึดใจทำให้เกิดฉากที่ค่อนข้างน่าอึดอัดในขณะนี้ ท่าทางสงบนิ่งปกติของจี๋อวี่แตกหักเล็กน้อย ทว่าเพียงพริบตาเดียวก็กลับมาสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นผู้ที่เห็นโลกมามาก และก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นสถานการณ์กอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบนี้ เพียงแต่ไม่เคยเห็นความดุเดือดปานนี้ก็เท่านั้น

เรื่องที่ว่าบุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรีนั้นไม่ใช่ลักษณะนิสัยของจี๋อวี่เลย ขณะที่เขากำลังต้องการจะสลัดเด็กสาวเหล่านี้ออกไป เสียงของซ่งชูอีก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “อวี่เอ๋ย เจ้ารับผลไม้มาแล้วก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ มิฉะนั้นต่อให้มีดของเราจะพาดอยู่บนคอของชาวปาเหล่านี้ พวกเขาก็จะไม่มีใครยินยอมนำทางพวกเราไปยังหลางจงเป็นแน่”

เส้นทางบนภูเขาของรัฐปานั้นอันตรายยิ่ง อีกทั้งยังมีสัตว์ดุร้าย ราษฎรเองก็ป่าเถื่อน ถ้าหากไม่มีคนพื้นที่นำทาง ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ว่าเส้นทางนี้ยากลำบากเพียงใด

“ท่านไม่รู้มิใช่หรือ?” จี้ฮ่วนหงุดหงิดเล็กน้อย แม้ว่าเขาไม่รังเกียจที่จะหลับนอนกับสตรีสักคนหรือสองคน ทว่าความรู้สึกที่ถูกบีบบังคับเช่นนี้ไม่ใคร่ดีเท่าไรนัก โดยเฉพาะจี๋อวี่ที่มีภาพลักษณ์แข็งแกร่งดุจภูผาในสายตาของเขา

ซ่งชูอีจะไม่อธิบายว่าเมื่อครู่ตนต้องการเตือนสติแล้วเพียงแต่ไม่ทันการ จึงทำได้แต่มองจี้ฮ่วนด้วยความจริงใจ เอ่ยปากด้วยความไร้เดียงสา “ข้าเพิ่งจะตระหนักได้”

“ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ” กู่จิงสรรเสิญ

จี้ฮ่วนถลึงตามอง “เรื่องเช่นนี้ก็ตระหนักได้ด้วยหรือ!? ท่านช่างไร้ความจริงจังเหลือเกิน รีบคิดวิธีช่วยพี่ใหญ่เถิด!”

“แค่ก ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” ซ่งชูอีมองเขาอย่างลึกซึ้ง “ข้าคิดว่า หากมีผู้ที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของแม่นางเหล่านั้นไปจากอวี่ได้ก็อาจจะมีจุดเปลี่ยน”

จี้ฮ่วนมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วเอ่ย “ก็มีเพียงพี่ใหญ่ที่หน้าตาดี!”

“ผู้ชายในรัฐปาส่วนใหญ่เตี้ยทว่าทรงพลัง จากการคาดเดาของข้า ผู้หญิงในรัฐปาเหล่านี้อาจจะชอบบุรุษที่สูงใหญ่กำยำเป็นพิเศษ…” ซ่งชูอีจับจ้องจี้ฮ่วน ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง

ชาวฉินโดยมากรูปร่างสูงใหญ่ ทว่าผู้ที่ดูแข็งแรงและทรงพลังมากที่สุดก็คือจี้ฮ่วนและกู่จิง

“ให้ข้าไปช่วยพี่จี๋!” กู่จิงลุกขึ้นยืนอย่างไม่ปัดป้อง สีหน้ากลับเปี่ยมด้วยความยินดีที่ปกปิดไว้ไม่มิด

จี้ฮ่วนถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวคำราม “พวกผู้หญิงปาชั้นต่ำ เข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

ด้วยเสียงคำรามทำให้เงียบสงบลงฉับพลัน เหล่าแม่นางชาวปาต่างหันมามองจี้ฮ่วนทีละคนด้วยความหวาดกลัวระคนยินดี

ครั้นซ่งชูอีเห็นว่าพวกนางขยับตัวจึงกวักๆ มือ ส่งสัญญาณให้พวกนางเข้ามา จากนั้นก็ชี้ไปที่จี้ฮ่วนแล้วทำมือท่าทางการมีเพศสัมพันธ์ เด็กสาวชาวปาลังเลเล็กน้อย มองๆ จี้ฮ่วนแล้วก็มองจี๋อวี่ ผ่านไปสองสามลมหายใจก็ค่อยๆ ปล่อยจี๋อวี่ เดินไปหาจี้ฮ่วนด้วยท่าทางเขินอายและหวาดผวา

ขากรรไกรของทุกคนแทบจะร่วงหล่น นี่มันเรื่องอะไรกัน? เมื่อครู่ผู้หญิงเหล่านี้ยังดูคล้ายหมาป่าผู้หิวโหยอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นกุลสตรีไปแล้วหรือ?

มีผู้หญิงสองคนเห็นกู่จิงอยู่ข้างทางก็ขยิบตาให้เขาอย่างกล้าหาญ ครั้นเห็นเขายิ้มกว้างก็เดินเข้าไปจูงมือของเขาอย่างกล้าหาญ

เมื่อครู่จี๋อวี่นั่งอยู่ด้านนอกสุด พวกผู้หญิงจึงมองเห็นเขาในแวบแรก บัดนี้เมื่อมองดูรอบๆ แล้วก็พบกว่าผู้ชายที่นี่รูปร่างค่อนข้างดีมากยกเว้นซ่งชูอี ต่างคนจึงต่างเลือกผู้ชายคนที่ตนพอใจเพื่อไปร่วมรักด้วย

“เจ้าไปในป่าเถิด อย่าไปไกลนัก อย่ากลับไปพร้อมพวกนางแม้แต่คนเดียว หากพวกนางดึงดันที่จะลากเจ้ากลับไปก็สามารถปฏิเสธได้ จำไว้ให้ดีล่ะ! มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะเสียตัวโดยเปล่าแล้ว” ซ่งชูอีสั่งกำชับราวกับคุณแม่วัยชรา

เด็กสาวสองคนมองดูลักษณะของซ่งชูอีแล้ว แม้นไม่เข้าใจภาษาก็ยังกลอกตาใส่นาง แสดงอาการดูแคลน

จี้ฮ่วนเดินเข้าไปในป่าด้วยใบหน้าบึ้งตึงตลอดทาง เด็กสาวสามคนเดินตามเขาไปอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเด็กสาวคนอื่นจะแสดงอาการอิจฉาทว่ากลับไม่มีใครวิ่งเข้าไปหาจี้ฮ่วนแล้ว

รูปแบบของประเพณีเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะเผ่านี้ยังคงมีสตรีเพศเป็นใหญ่ เด็กหญิงสามารถเลือกชายใดก็ได้ที่ตนชอบแทนที่จะเป็นการรักษาชายเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต ข้อสอง เนื่องด้วยตำแหน่งที่ห่างไกลนครหลวงบางครั้งก็เกิดความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่างๆ จากพื้นที่ล่าสัตว์ และบวกกับการมุ่งเน้นในการล่าสัตว์ ทุกปีจึงมีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่ใกล้รัฐฉู่มากที่สุด ซึ่งเป็นดินแดนแห่งการเกณฑ์ทหาร

สถานการณ์ต่างๆ นำไปสู่ความขาดแคลนบุรุษเพศ หากเผ่าพันธุ์ต้องการจะดำรงอยู่ต่อไป ผู้หญิงก็จำต้องหาผู้ชายเพื่อให้กำเนิดบุตร

เมี่อครู่เด็กสาวชาวปาเหล่านี้ดูวุ่นวาย ทว่าพวกนางต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะเก็บผู้หญิงที่สุขภาพที่สุด อายุน้อยที่สุดและแข็งแรงที่สุดให้แก่ผู้ชายที่พวกนางคิดว่าดีที่สุด เพื่อที่จะให้กำเนิดเด็กที่แข็งแรงที่สุดได้ง่ายขึ้น

จี๋อวี่มองดูผู้คนเหล่านั้นที่พาเด็กสาวเข้าไปในป่า ขมวดคิ้วมองซ่งชูอี “นี่มันเรื่องอะไร?”

“แค่ก พวกนางอาจคิดว่าเจ้ารับผลไม้แล้ว แต่กลับอิดๆ ออดๆ รู้สึกไม่ชอบใจ และบังเอิญว่าจี้ฮ่วนมีรูปร่างกำยำและมีอำนาจเหนือกว่า…” ซ่งชูอีมองดูต้นไม้ที่ถูกสายลมพัดจนสั่นไหว ภาพที่ไม่เหมาะสมทุกประเภทผุดขึ้นมาในความคิด

“ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ถามถึงเรื่องนี้” คิ้วของจี๋อวี่ยิ่งขมวดกันแน่นกว่าเดิม ตั้งแต่ที่ภรรยาของเขาจากโลกนี้ไปเขาก็ไม่เคยแตะต้องผู้หญิงอีกเลย แม้จี้ฮ่วนไม่เคยแต่งงานทว่าบางคราวก็ไม่ปฏิเสธคำอ้อนวอนของเด็กสาว แต่ก็ไม่ชอบถูกบังคับในเรื่องเช่นนี้ หากไม่มีคนใส่ไฟ ต่อให้จี้ฮ่วนต้องการจะช่วยตนออกมาก็ยอมยกดาบฟันเด็กสาวเหล่านี้เสียดีกว่า แต่จะไม่มีทางจะคิดวิธีเช่นนี้ได้

และผู้ที่ใส่ไฟผู้นั้นจะเป็นใครไปเสียไม่ได้แล้ว! จี๋อวี่จ้องซ่งชูอีเขม็ง

ซ่งชูอีไม่ใช่คนประเภทที่จะต้องอายเมื่อถูกจ้องมอง นางเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อแล้วมองจี๋อวี่อย่างใจเย็น ทว่ายังคงไม่ละสายตาไปจากป่า ตอบกว้างๆ “ดูจิงกับฮ่วนก็รู้แล้วว่าเพลิดเพลินหรือว่าถูกเพลิดเพลิน…นี่เป็นเรื่องของทัศนคติ ก็ผู้ชายนี่นา อย่าทำหน้าเหมือนถูกบังคับเยี่ยงนั้นสิ ผ่อนคลายเสียบ้าง”

หากจี้ฮ่วนเผชิญกับคำปลอบโยนจอมปลอมเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องบันดาลโทสะทันทีอย่างแน่นอน

ไม่นาน กู่หานก็พาผู้อาวุโสคนหนึ่งกลับมา

“ในเผ่ามีเพียงผู้นำทางผู้นี้เพียงผู้เดียวที่สามารถพูดภาษาจงหยวนได้ ข้าตกลงราคากับเขาแล้ว สิบทองคำ” กู่หานกล่าว

สิบทองคำรึ! ช่างเถื่อนเสียจริง! ทุกคนล้วนทนไม่ไหวอยากจะอยู่ที่นี่นานๆ อีกทั้งยังมีผู้หญิงให้หลับนอนด้วยเปล่าๆ มากมายเพียงนี้ ผู้นำทางก็สามารถมีรายได้ถึงสิบทองคำ ช่างเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว!

ซ่งชูอีพยักหน้า สำรวจชายชราสองสามรอบ เขาเป็นชายชราตัวลีบในชุดผ้าป่านสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย เปลือกตาหลุบลงจนเกือบจะครอบคลุมทั้งดวงตา ทว่าเคราและผมกลับเป็นเพียงสีเทา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งคราว

ซ่งชูอีก็จับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว

ชายชราก็ดูตกใจเล็กน้อยเช่นกัน คงจะคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเพียงนี้กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นหัวหน้า

ซ่งชูอีไม่ค่อยประทับใจในชายชราผู้นี้เท่าใดนัก จึงเอ่ยถามเชื่องช้า “ท่านพูดภาษาของรัฐใดได้?”

นี่เป็นประโยคที่ง่ายมาก ชายชราสามารถเข้าใจได้ ตอบว่า “ภาษาโจว”

ในยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองโจวอ๋องได้เคยยอมรับในวาจาของบัณฑิตท่านหนึ่งที่จะส่งเสริมภาษาของราชวงศ์โจวไปยังใต้หล้า หรือที่เรียกกันว่าภาษาจีนแมนดาริน ทว่ายังไม่ทันให้ความรู้แก่เหล่าขุนนาง ราชวงศ์โจวก็กลายเป็นเครื่องประดับไปเสียแล้ว แม้ว่าภาษาของราชวงศ์โจวจะยังมิได้ไปถึงขั้นที่ผู้คนส่วนใหญ่พูดได้ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าขาย ทุกคนจึงใช้ “ภาษาจีนแมนดาริน” ในการสื่อสารโดยปริยาย

ซ่งชูอีถามด้วยภาษาจีนแมนดารินอย่างคล่องแคล่วทันที “จากที่นี่ไปหลางจงต้องใช้เวลากี่วัน?”

ชายชราผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งด้วยภาษาที่ทุกคนไม่เข้าใจ

ซ่งชูอีแสดงอาการงงงวยเล็กน้อย แล้วกล่าวแล้วภาษาโจวต่อ “ที่ท่านพูดคือ…”

“ขออภัยขอรับ ข้าผู้เฒ่าไม่ได้ใช้ภาษาโจวมานานรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง จากที่นี่ไปหลางจงต้องผ่านภูเขาลูกใหญ่สิบลูก หากต้องการจะไปเร็วหน่อยสามารถเดินทางลัดได้ เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลายี่สิบวัน” ชายชรากล่าว

ซ่งชูอีถามเรื่องการนำทางต่อ “ในภูเขามีอันตรายหรือไม่?”

“มีชนเผ่าป่าเถื่อนและสัตว์ร้ายอยู่บ้าง สำหรับชนเผ่านั้น ตราบใดที่ให้ทรัพย์สินเล็กน้อยก็ไม่เป็นปัญหาอะไร” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าผู้เฒ่านำทางขบวนพ่อค้ากว่าสามสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน”

ซ่งชูอีเข้าใจอย่างชัดเจน เอ่ยยิ้มกว้าง “ข้าน้อยไม่สงสัยในประสบการณ์ของท่านอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเจอกับชนเผ่านั้นก็ไม่เป็นปัญหา ข้าทางนี้มีกลุ่มปรมาจาย์ดาบที่สามารถรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นำกองทัพแสนนาย หากไม่สามารถให้ทรัพย์สิน ท่านก็ได้โปรดอย่าถือโทษเอาความหากพวกข้าจะลงมือกับชาวปาเลย ทว่าเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ท่านสามารถพาพวกข้าเลี่ยงชนเผ่าเหล่านี้ได้หรือไม่?”

นี่คือการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย ซ่งชูอีเคยมาที่รัฐปามาก่อน รู้ว่าผู้นำทางบางคนสมรู้ร่วมคิดกับบางชนเผ่าในรัฐปา ตั้งใจนำขบวนพ่อค้าผ่านชนเผ่าเหล่านี้ จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากอันตรายของธรรมชาติและข้อได้เปรียบในความคุ้นเคยด้านภูมิศาตร์เพื่อฆาตกรรมปล้นทรัพย์

ชายชราตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง หัวเราะเอ่ย “ท่านแขกโปรดวางใจ มันแน่นอนอยู่แล้ว”

เดิมทีนางสงสัยว่าชายชราจะใช้กับดักนี้แต่ก็ไม่กล้าฟันธง ทว่าชายชรากลับทรยศตัวเองด้วยพฤติกรรมและสองประโยคเมื่อครู่

ซ่งชูอีเข้าใจภาษาปา ประโยคที่ชายชรากล่าวก่อนหน้านี้ก็คือ “เถ้าแก่ในร้านสุรานั้นสบายดีหรือไม่?” ซ่งชูอีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ต่อมาเมื่อเขาเห็นว่าซ่งชูอีไม่เข้าใจภาษาปาก็ไม่พูดภาษาปาอีก ทว่ากลับพูดเรื่องที่ต้องติดสินบนชนเผ่าแทน

อีกอย่างชนเผ่าที่ถูกสร้างบนปากทางภูเขาเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้นำทางเพียงคนเดียว ทว่าชายชรากลับรีบเอ่ยว่าตนมีประสบการณ์ในการนำทางมากกว่าสามสิบปี ซ่งชูอีเห็นว่าแม้ว่าเขาจะอาวุโสทว่าร่างกายยังบึกบึนยิ่ง มีผู้นำทางที่มากประสบการณ์นำทางเช่นนี้ เหตุใดในอดีตจึงไม่ได้รับเลือกจากพ่อค้าเล่า?

สิ่งที่สำคัญที่สุด หากเขาเป็นคนมีคุณธรรมจริง จู่ๆ เห็นมือดาบทรงพลังกลุ่มใหญ่เช่นนี้เข้ามาในบ้านเมืองของตัวเองอย่างลึกลับ อีกทั้งยังจะเข้านครหลวงด้วย ก็น่าจะต้องสงสัยว่าพวกเขามาลอบปรงพระชนม์องค์จวินของพวกเขาหรือไม่! ทว่าชายชรายังคงดูสดใสและไม่แยแสต่อเรื่องนี้เลย

ในสายตาของซ่งชูอีมีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!