ตอนที่ 242 พวกเราคารวะผู้อาวุโสเย่

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 242 พวกเราคารวะผู้อาวุโสเย่

‘ไออาวุธวิญญาณ ? ’

หลี่ฉางหมิงมองท่าทางเคร่งเครียดของนักพรตฉางเสวียนและเจ้าสำนักจื่อชิง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น

‘หรือว่าท่านบรรพจารย์เย่จะเพิ่มระดับขั้นให้กระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ได้จริง ๆ ? ’

‘แต่ว่านี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง ! ’

“อาจารย์ ไออาวุธวิญญาณคือสิ่งใดหรือขอรับ ? ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่ฉางหมิงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“สิ่งที่เรียกว่าไออาวุธวิญญาณ ก็คือการที่ภายในกระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้มีจิตสำนึกของอาวุธวิญญาณขึ้น”

นักพรตฉางเสวียนเหลือบมองสวีฉิงเทียน แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “นี่ก็หมายความว่าภายภาคหน้ากระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ ก็มีโอกาสพัฒนากลายเป็นอาวุธเทพจำแลงในตำนานได้น่ะสิ”

“ทว่าก่อนถึงตอนนั้นกระบี่มังกรเพลิงจะต้องกลั่นวิญญาณออกมาเสียก่อน จึงจะสามารถทำให้กระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้เลื่อนขั้นได้สำเร็จ”

สวีฉิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอ่ยเสริมว่า

“ทว่าแม้เวลานี้จะเกิดไอวิญญาณขึ้นมาแล้ว แต่หากต้องการกลั่นอาวุธวิญญาณ ขั้นตอนนี้ยังอีกยาวไกลนัก”

หลี่ฉางหมิงส่ายศีรษะไปมา

“ศิษย์ก็ยังมิเข้าใจอยู่ดีขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมเอ่ยเบา ๆ ว่า “ฉางหมิง เจ้าเพียงแค่ต้องจำเอาไว้ว่าการเป็นนายของกระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ ขอเพียงเจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียร ภายภาคหน้าทุกปัญหาย่อมสามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย”

เอ่ยถึงตรงนี้

นักพรตฉางเสวียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป เหมือนกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้กระทันหัน

“จริงสิ ! ”

นักพรตฉางเสวียนหันไปมองหลี่ฉางหมิงที่ยังคงมีสีหน้างงงวยพร้อมกับเอ่ยถามว่า “หากข้าจำมิผิดล่ะก็กระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ ก่อนหน้านี้นับเป็นเพียงสมบัติโบราณเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดจู่ ๆ ถึงมีไออาวุธวิญญาณได้กัน ? ”

สวีฉิงเทียนและนักพรตฉางเสวียนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหลี่ฉางหมิง

“เป็นเพราะท่านบรรพจารย์เย่ขอรับ”

หลี่ฉางหมิงพยักหน้า

“เมื่อครู่ท่านบรรพจารย์เย่ได้ใช้กระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ชี้แนะการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ให้กับศิษย์ จากนั้นลวดลายบนกระบี่มังกรเพลิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ไอพลังที่แผ่ออกมาจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วยขอรับ”

“ฉางหมิง เจ้าหมายความว่าผู้อาวุโสเย่เพียงแค่ใช่กระบี่มังกรเพลิงเพียงครู่เดียว ก็ทำให้กระบี่เล่มนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนเอ่ยถามหลี่ฉางหมิงพร้อมสีหน้าตื่นตกใจ

หลี่ฉางหมิงผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับเป็นการยืนยัน

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยกับหลี่ฉางหมิงด้วยท่าทางจริงจังว่า

“ฉางหมิง เจ้าจงคิดให้ดี ๆ คนโกหกต้องกลืนเข็มพันเล่มนะ”

“อาจารย์ ข้าจะเอาเรื่องเช่นนี้มาล้อท่านเล่นได้เยี่ยงไรกันขอรับ”

หลี่ฉางหมิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงท่านบรรพจารย์เย่ด้วย”

นักพรตฉางเสวียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย

‘ใช่แล้ว ! ’

‘นอกจากท่านบรรพจารย์เย่ ใครจะมีอิทธิฤทธิ์พลิกฟ้าเช่นนี้ได้กัน ? ’

ตอนนั้นเองสวีฉิงเทียนก็เอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉาว่า “ผู้อาวุโสเย่เก่งกาจเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถพัฒนาระดับขั้นของอาวุธได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ ทั้งหมดนี้ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”

“ฉางหมิง ดูท่าว่าก่อนหน้านี้สายตาข้าคงคับแคบเกินไป จึงประเมินคุณสมบัติของเจ้าต่ำเช่นนี้”

นักพรตฉางเสวียนยื่นมือไปตบบ่าหลี่ฉางหมิงเบา ๆ อีกครั้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียร อย่าได้ทรยศต่อความตั้งใจของท่านบรรพจารย์เย่เป็นอันขาด”

หลี่ฉางหมิงโค้งคำนับด้วยท่าทางแน่วแน่ “อาจารย์ได้โปรดวางใจ ศิษย์จะมิทำให้ท่านบรรพจารย์เย่ผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ”

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปยอดเขาฉางหมิงได้แล้ว คอยดูแลท่านบรรพจารย์เย่ให้ดีด้วยล่ะ”

“ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ”

เอ่ยจบหลี่ฉางหมิงก็ออกไปจากตำหนักไท่เสวียน และกลับไปยังยอดเขาฉางหมิงอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

หลังจากหลี่ฉางหมิงกลับมาถึงยอดเขาฉางหมิง ก็พบว่าเย่ฉางชิงยังคงมิมีทีท่าจะออกมาจากตำหนักกลางแต่อย่างใด

เช่นนั้นเขาจึงนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ค่อย ๆ สำรวจความเข้าใจก่อนหน้านี้

จนเวลาหนึ่งคืนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันรุ่งขึ้น

เมื่อดวงอาทิตย์ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า

ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ตื่นขึ้น

“นี่ข้าหลับไปนานแค่ไหนกันเนี่ย ? ”

เย่ฉางชิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

วินาทีต่อมาเมื่อได้สติเขาจึงลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะรีบเปิดประตูออกมา

เมื่อเย่ฉางชิงได้เห็นภาพตรงหน้า จึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเช้าของอีกวันแล้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดข้าถึงได้นอนข้ามวันข้ามคืนโดยมิรู้ตัวเช่นนี้เล่า ? ”

เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

ในตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็สังเกตเห็นหลี่ฉางหมิง ที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่ด้านล่าง

“หลี่ฉางหมิง พิธีแต่งตั้งจะเริ่มขึ้นเวลาใด ? ”

หลังจากลังเลอยู่สักครู่ เย่ฉางชิงก็เอ่ยถามขึ้น

ในสายตาของคนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ฐานะของเขาในตอนนี้คือท่านบรรพจารย์เย่ในตำนาน

ทว่าเยี่ยงไรเสียเขาก็มาเพื่อร่วมพิธีแต่งตั้ง หากพลาดพิธีแต่งตั้งไปก็เท่ากับเป็นผู้อาวุโสที่มิให้เกียรติตนเอง

หลี่ฉางหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติขึ้นมาทันที พร้อมกับลืมตาขึ้น

“เรียนท่านเย่ พิธีแต่งตั้งจะเริ่มขึ้นตอนเที่ยงวันขอรับ”

หลี่ฉางหมิงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็โค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิงที่อยู่ด้านบน

เย่ฉางชิงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน เจ้าช่วยไปเตรียมอาหารให้ข้าหน่อย จากนั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วตามข้าไปที่ยอดเขาหลัก เพื่อเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งก็แล้วกัน”

ความจริงแล้วหลังจากหลับข้ามคืนโดยมิรู้ตัว จึงทำให้เย่ฉางชิงในเวลานี้รู้สึกหิวเป็นอย่างมาก

อีกทั้งพูดไปแล้วก็แปลก หลังจากการบำเพ็ญเพียรในช่วงที่ผ่านมา เขาเองก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง

แต่มิรู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่ถึงเวลาอาหารก็ยังคงรู้สึกหิว มิต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลย

หลี่ฉางหมิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

‘เตรียมอาหาร ? ’

‘ระดับท่านบรรพจารย์เย่ การมิกินอาหารหลายร้อยปี ถึงขนาดพันปีเกรงว่าก็คงมิมีปัญหาอะไรหรอกกระมัง ? ’

‘เพราะแม้แต่ตบะบารมีเช่นเราในเวลานี้ ตลอดหนึ่งปีก็น้อยนักที่จะกินอาหาร’

‘ทว่ายอดฝีมือเช่นท่านบรรพจารย์เย่ เหตุใดยังคงยึดติดกับอาหารถึงเพียงนี้ ? ’

‘มิน่าเป็นไปได้ ! ’

หลังจากเงียบอยู่สักครู่

“ท่านเย่โปรดรอสักครู่ ศิษย์จะไปเตรียมอาหารให้ท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”

เอ่ยจบหลี่ฉางหมิงก็หมุนตัวจากไปอย่างเร่งรีบ

แม้เขาจะคิดเช่นนั้น แต่ในเมื่อท่านบรรพจารย์เย่เอ่ยปากแล้ว ผู้น้อยเช่นเขาย่อมมิกล้าชักช้า

หลี่ฉางหมิงจึงจำต้องออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง เพื่อเตรียมอาหารให้แก่เย่ฉางชิง

จากนั้นเมื่อเย่ฉางชิงกินอาหารเรียบร้อยและเตรียมตัวเสร็จแล้ว หลี่ฉางหมิงจึงได้เดินนำเย่ฉางชิงไปยังยอดเขาหลัก

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

เมื่อเย่ฉางชิงและหลี่ฉางหมิงมาถึงสถานที่จัดงานด้านล่างตำหนักไท่เสวียน

ทันใดนั้นทั่วทั้งงานก็เกิดความโกลาหลขึ้น

“ท่านบรรพจารย์เย่มาแล้ว”

“หา นี่คือท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าตาบอดหรือไง ? ”

“ท่าทางโดดเด่นถึงเพียงนี้ ทั่วทั้งจงหยวนเกรงว่าคงหาคนที่สองมิพบแล้ว”

“เจ้าอย่าพูดไป ท่าทางเช่นนี้เหมือนเทพสวรรค์จริง ๆ นะ”

“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่ จิ้งจอกน้อยที่อยู่แนบอกของท่านบรรพจารย์เย่ตัวนั้นมีตบะบารมีขั้นสูงสุดของจักรพรรดิปีศาจ ทว่าไอปีศาจกลับเบาบางยิ่งนัก ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ”

“สมกับที่เป็นยอดบุรุษจริง ๆ ยังมิต้องพูดถึงตบะบารมี เพียงแค่ท่าทางของเขาก็ทำให้พวกเรารู้สึกละอายแล้ว ! ”

“เวลานี้ข้าอยากจะท่องกลอนบทหนึ่ง”

“หุบปากซะ ความสามารถอันน้อยนิดของเจ้า อย่าทำให้ผู้อาวุโสเย่ต้องรู้สึกคลื่นไส้เลย”

“……”

มินานเมื่อเย่ฉางชิงเดินมา

ตัวแทนของสำนักใหญ่ต่าง ๆ ผู้มีท่าทางสงบนิ่งที่นั่งอยู่แถวหน้า ต่างก็ทยอยลุกขึ้นยืนก่อนจะโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง โดยพร้อมเพียงกันอย่างมิได้นัดหมาย

“พวกเราคารวะผู้อาวุโสเย่ ! ”

ทันใดนั้นเสียงอันน่าตกใจก็ดังกึกก้องไปทั่วลานเป็นเวลานาน