บทที่ 165 สวี่ชีอันผู้ไม่มีจุดอ่อน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 165 สวี่ชีอันผู้ไม่มีจุดอ่อน
จางไคไท่พุ่งตัวกลับไปที่โถงหน้าโดยไม่พูดอะไร สวี่ชีอันก็คิดจะตามฆ้องทองคำจางไปด้วย แต่เร็วไม่เท่าเขา

ตอนที่เขาวิ่งมาถึงโถงหน้าด้วยความเร็วสูงสุด ก็เห็นจางไคไท่ถือกระบี่ฟันคนกระดาษตนสุดท้ายออกเป็นสองซีกพอดี

ตอนนี้มีเศษกระดาษมากมายกระจัดกระจายบนพื้น ดูแล้วมีคนกระดาษอยู่เกือบสิบตน นอกจากนั้น บนพื้นยังมีเด็กหนุ่มสองคนนอนแน่นิ่ง ถูกคมมีดปาดเข้าที่ลำคอ เลือดสาดกระเซ็นไปทุกที่ สิ้นลมไปแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น” สวี่ชีอันตกใจมาก

“จู่ๆ บนตัวของสองคนนี้ก็มีคนกระดาษมากมายโผล่ออกมาหมายจะฆ่าคนปิดปาก แต่ถูกพวกข้าขวางไว้ได้” ฆ้องเงินผู้รับหน้าที่คุมตัวนักโทษตอบกลับ แต่คนที่เขาโต้ตอบด้วยคือจางไคไท่

“นักโทษเป็นอย่างไรบ้าง” จางไคไท่เอ่ยถามพร้อมกับมองไปยังชายวัยกลางคนในชุดผ้าทอที่ขดตัวอยู่ในมุมกำแพง โดยมีฆ้องทองแดงสองสามคนคุ้มครองอยู่

เขากุมหัวนั่งยองๆ หันหน้าเข้ามุมกำแพง ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด

“นี่ ไม่เป็นไรแล้ว” ฆ้องทองแดงที่อยู่ข้างๆ เตะเขาไปหนึ่งที ชายวัยกลางคนทรุดตัวล้มลงกับพื้นอย่างปวกเปียก

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ฆ้องเงินผู้รับหน้าที่คุมตัวนักโทษรีบวิ่งก้าวใหญ่เข้าไป หลังจากตรวจสอบลมหายใจทางจมูกและลำคอแล้ว สีหน้าก็ย่ำแย่ เขากอบหมัดคำนับอย่างร้อนรน

“ข้าน้อยคุ้มครองได้ไม่ดี ใต้เท้าโปรดลงโทษด้วยขอรับ”

จางไคไท่สีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที เส้นเลือดเขียวที่หน้าผากปูดขึ้นด้วยความโกรธ เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนหายใจกล่าว “ไม่โทษเจ้า”

เขาเดินไปที่ศพ จับคอเสื้อชายวัยกลางคนแล้วเขย่าเบาๆ เสียงสวบสาบดังขึ้น เสื้อผ้าฉีกขาดเป็นชิ้นๆ

ร่างกายเปลือยเปล่าของชายวัยกลางคนปรากฏต่อสายตาของทุกคน ที่หน้าอกของเขามีรอยประทับสีแดงรอยหนึ่ง

“นี่คือวิชาสาปสังหารของพวกพ่อมด นำเส้นผม เลือด และเล็บ เสริมกับวันเดือนปีเกิด ก็จะสามารถฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยได้” จางไคไท่ส่ายหน้า

นี่เป็นเรื่องป้องกันไม่ได้ โดยเฉพาะสำหรับสายฝึกตนประเภททหารที่เชี่ยวชาญแค่การใช้กำลัง

“แล้วพวกคนกระดาษล่ะ” สวี่ชีอันถาม

จางไคไท่นั่งยองๆ อยู่ข้างศพ นิ่งเงียบไปนาน “คนกระดาษพวกนี้ทำให้ข้านึกถึงบางอย่างขึ้นได้ วิธีการของสำนักพ่อมดแปลกประหลาดคาดเดาไม่ได้ มีวิชาสาปสังหาร มีวิชาฝันสังหาร ทั้งยังสามารถควบคุมวิญญาณกับศพได้ คนกระดาษพวกนี้มีวิญญาณติดอยู่ มันถูกบังคับให้ทำงานแทนผู้ใช้”

สวี่ชีอันเป็นคนฉลาด ชั่วขณะเดียวเขาก็เข้าใจความหมายของจางไคไท่แล้ว จึงเอ่ยด้วยความตกใจ “บ่อน้ำที่เรือนหลังนั่นก็คือ…ที่ที่พ่อมดของสำนักพ่อมดเอามาใช้เลี้ยงผีหรือขอรับ”

เรื่องนี้ยังอธิบายได้ด้วยว่าทำไมถึงต้องผนึก ไม่ชำระล้างให้สิ้นซาก

“เป็นไปได้มากว่าพ่อมดคนนั้นจะอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้จากไปแล้ว การจู่โจมของพวกเราทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นจึงซุ่มรออยู่รอบๆ ใช้การสาปสังหารมาฆ่าปิดปาก คนก็ตายไปแล้ว เขาคงไม่รั้งอยู่แถวนี้ต่อไปแน่”

“ฆ้องทองคำจาง แม้แต่ท่านก็สัมผัสถึงคนกระดาษไม่ได้หรือขอรับ เมื่อกี้ก็ไม่เห็นว่ามีคนกระดาษซ่อนตัวอยู่บนร่างของชายสองคนนี้ด้วย”

“หนึ่ง จิตสัมผัสของทหารทำได้เพียงแจ้งเตือนเรื่องที่เป็นภัยคุกคามต่อตนเองเท่านั้น สอง คนกระดาษเป็นสิ่งที่มีวิญญาณผูกติดและเป็นตราผนึกหนึ่งชั้นที่สามารถสกัดกั้นการรับรู้ได้ สาม คนกระดาษไม่มีพลังทำลายล้างรุนแรง มักจะถูกใช้ให้ทำเรื่องต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่การสังหารศัตรู”

ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็บันดาลโทสะ ก่นด่าสาปแช่งออกมา ดาบยาวสีดำทองถูกชักออกจากฝัก ประกายดาบคมกริบวาบผ่านคานห้องโถงใหญ่ ตัดไม้และแผ่นกระเบื้องหักโค่นดัง ‘โครม’ ทำให้พวกสตรีและเด็กหนุ่มต้องกุมหัววิ่งเตลิด พลางกรีดร้องดังลั่น

ในเงามืดที่อยู่ห่างไปหนึ่งถนน มองเห็นหลังคาที่ถล่มลงมาแต่ไกลเสียวุ่นวายใหญ่โต ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดยิ้มเย็นแค่นเสียง ‘หึ’ ออกมา แล้วกลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

ณ จวนเจ้ากรมโยธา

ในห้องนอนใหญ่ ภรรยาผู้ล่วงลับของเขาได้จากไปหลายปีแล้ว เจ้ากรมโยธาผู้ที่ตลอดมาก็ไม่เคยแต่งภรรยาใหม่กำลังนอนกอดอนุภรรยาหลับสบาย

คนกระดาษตนหนึ่งเข้ามาในบ้านพร้อมสายลมยามราตรี มันลอยลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ปีนขึ้นมา แล้วแทรกตัวเข้ามาทางช่องประตูอย่างยากลำบาก

มันเดินเลี่ยงกระถางถ่านอย่างระมัดระวัง ก้าวเงอะงะมาที่ข้างเตียง แล้วขี่สายลมแผ่วขึ้นไปบนเตียง ก่อนตกลงบนหมอนของเจ้ากรมโยธา

คนกระดาษลุกขึ้นยืนตัวสั่นเทาอยู่บนหมอน แล้วทุ่มกำลังเอาหัวชนเข้ากับใบหน้าของเจ้ากรมโยธา

เจ้ากรมโยธาขมวดคิ้วแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากมองเห็นคนกระดาษบนหมอน เขาก็ตื่นเต็มตาทันที

เขามองดูอนุครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่านางนอนหลับสนิทจึงหยิบคนกระดาษขึ้นมา แล้วลงจากเตียงไปจุดเทียนบนโต๊ะ คลี่คนกระดาษออก ก่อนหรี่ตาอ่านข้อความเล็กๆ บนกระดาษ

เพิ่งอ่านจบไม่เท่าไหร่ สีหน้าของเจ้ากรมโยธาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน หนวดเคราสั่นสะท้าน พอเขาอ่านจบก็ถอนหายใจโล่งอกเหมือนปลดภาระได้ และกลับมาสงบผ่อนคลายเช่นเดิม

หลังจากใช้เปลวไฟเผาคนกระดาษแล้ว เจ้ากรมโยธาก็กลับขึ้นเตียง มองดูอนุภรรยาที่หลับสนิท ก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ หยิบหมอนขึ้นมา แล้วปิดปากกับจมูกของอนุภรรยา…

วันต่อมา ณ กรมอาญา

เจ้ากรมอาญาตื่นแต่เช้ามายังที่ทำการ เขาลงไปยังคุกใหญ่ด้วยตัวเอง เพื่อตรวจดูหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ถูกจำคุกอยู่ที่นี่

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตตั้งแต่ฆ้องทองคำไปจนถึงฆ้องทองแดง มีทั้งหมดรวมสี่สิบหกคน ล้วนแต่ถูกคุมขังอยู่ที่กรมอาญาทั้งสิ้น

ปกติตามกฎระเบียบแล้ว สมควรให้ขังที่หน่วยงานทั้งสามแห่งแล้วแยกกันการสอบปากคำ แต่พรรคหวางเสียสมาชิกคนสำคัญสองคนติดๆ กัน ไปในคดีเงินภาษีและคดีซังผอ จึงไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับเว่ยเยวียนได้ เมื่อมีงานที่เหยียบซ้ำให้จมดินได้ กรมอาญาจึงกระตือรือร้นยิ่งกว่าศาลต้าหลี่ของพรรคฉี

“ใครก่อกรรมใด ฟ้าย่อมมีตา พวกเจ้าคิดว่าอยู่เงียบๆ แล้วจะหนีกฎหมายขององค์จักรพรรดิพ้นหรือ” เจ้ากรมอาญายิ้มเย็นพลางส่ายหน้า

“ข้าได้ตรวจสอบทรัพย์สินครอบครัวของพวกเจ้า และได้ร่างหนังสือกล่าวโทษแล้ว หลังจากฝ่าบาททรงทอดพระเนตร พวกเจ้าแต่ละคนก็อย่าได้คิดหนีเลย แน่นอนว่าข้ายังยินดีจะให้โอกาสพวกเจ้า ตอบมาว่าใครเป็นคนสั่งให้พวกเจ้ายักยอกเงินข่มเหงราษฎร เว่ยเยวียนรึ”

ไม่มีใครตอบเขา

จู่ๆ ก็มีคนเย้ยหยันขึ้นมา “ยักยอกหรือ ใต้เท้าเจ้ากรมบอกข้าทีเถอะ ข้ายักยอกเงินไปเท่าไหร่กัน ข้าทำงานเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาสิบกว่าปี เหรียญทองแดงแม้แต่เหรียญเดียวก็ยังไม่เคยเก็บ”

‘ฮึ ยังจะมาเล่นลิ้น…’ เจ้ากรมอาญาเดินไปตามเสียง และเห็นชายผู้เอ่ยประโยคดังกล่าว แวบแรกเขาไม่ได้มองที่ตัวของชายผู้นี้ แต่ถูกห้องขังเรียบร้อยสะอาดตาดึงดูดไปเสียก่อน

ข้าวของและหญ้าแห้งบนพื้นถูกกวาดต้อนไปไว้ที่มุมห้องทั้งหมด ใยแมงมุมที่มุมกำแพงก็หายวับ เสื่อฟางยังคงขาดรุ่งริ่ง แต่วางไว้บนพื้นอย่างเรียบร้อย รายละเอียดทุกอย่างล้วนแต่เป็นระเบียบแบบแผนทั้งสิ้น

เจ้ากรมอาญาครุ่นคิดอยู่ในใจ พินิจดูชายผู้เอ่ยปาก เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้มีสีหน้าคร่ำครึ แม้ว่าบนตัวจะสวมชุดนักโทษ แต่กลับทำให้คนเห็นรู้สึกสบายตาสะอาดสะอ้าน ผมถูกหวีอย่างเรียบร้อย แขนเสื้อทางซ้ายขวาถูกม้วนขึ้นด้วยแบบแผนที่สมมาตรอย่างยิ่ง

มองดูชายผู้นี้และมองดูห้องขังห้องนี้ เจ้าหน้าที่กรมอาญารวมถึงเจ้ากรมอาญาต่างก็รู้สึกสงบจิตสงบใจแปลกๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…

“คนผู้นี้ชื่ออะไร” เจ้ากรมซุนยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง

“หลี่อวี้ชุน”

“ยักยอกเงินไปเท่าไหร่ มีบ้านกี่หลังในเมืองชั้นใน”

เจ้าหน้าที่พลิกดูหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ พอถูกเจ้ากรมซุนกวาดตามองมาถึงได้เอ่ยเสียงต่ำ

“มีบ้านเล็กๆ ซอมซ่อหลังหนึ่งในเมืองชั้นในขอรับ ที่บ้านมีมารดาชราหนึ่งคน ภรรยาตั้งครรภ์หนึ่งคน ส่วนเงิน…กรมอาญาหาพบเพียงห้าสิบตำลึงเงินในบ้านของเขาเท่านั้นขอรับ”

“ห้าสิบตำลึงเงิน?” เจ้ากรมซุนตกตะลึง ฆ้องเงินผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งกลับมีทรัพย์สินอยู่เพียงห้าสิบตำลึงเงินเท่านั้น

“พวกเจ้าตรวจกันอย่างไร” เจ้ากรมซุนคิดว่าเป็นเพราะคนของกรมอาญาทำงานชุ่ย

เจ้าหน้าที่กระซิบที่หูของเขาพักหนึ่ง พอฟังจบ เจ้ากรมซุนก็นิ่งเงียบ จากนั้นก็หันกายจากไป ราวกับคร้านจะสนใจชายผู้รักความสะอาดคนนี้แล้ว

ในคุกใหญ่ที่กลับคืนสู่ความเงียบสงบ เจียงลวี่จงหลังพิงผนังแล้วถอนหายใจออกมา

“เหล่าเจียง เจ้ามีแผนอะไร” ฆ้องทองคำที่อยู่ห้องข้างๆ เคาะผนังเอ่ยถาม

“จะมีแผนอะไรได้ หลังถูกไล่ออกก็จะไปทำอาชีพอื่นน่ะสิ ข้าจะไม่ทำงานเป็นสายลับแล้ว ลูกเมียก็อยู่ที่เมืองหลวงกันหมด” เจียงลวี่จงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“เฮ้อ ข้าไม่มีลูกไม่มีเมีย ยังสามารถไปท่องยุทธภพได้ ข้าเบื่อสถานที่แบบเมืองหลวงแล้วเหมือนกัน” ฆ้องทองคำผู้นั้นเอ่ย

“กับผีน่ะสิ” เจียงลวี่จงเยาะหยัน “ก่อนหน้านี้เจ้ายังบอกว่าอยากจะแต่งเมียมีลูก แล้วลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวงอยู่เลย ข้าล่ะเกลียดนักที่หลายปีมานี้ไม่เคยจะโกยเงินเป็นกอบเป็นกำสักที ได้กำไรเท่าขี้เล็บมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเข้าคุกครั้งนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องอยุติธรรมหรอก”

“อะ ถ้าอย่างนั้นออกจากคุกเมื่อไหร่เจ้าก็ไปเป็นโจรสิ”

“ไปให้พ้น”

ผลที่ร้ายแรงที่สุดคือถูกไล่ออก อย่างน้อยก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ตราบใดที่ทหารระดับสูงไม่ได้ทำผิดร้ายแรงนัก ราชสำนักก็จะไม่ตัดสินโทษประหาร

ทหารระดับสูงที่บ้าคลั่งขึ้นมามีพลังทำลายล้างที่ไม่อาจดูแคลนได้เลย

“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบงันอันยาวนาน

เมื่อออกจากคุกใหญ่ เจ้ากรมอาญาก็เอ่ยถามว่า “ทำไมไม่เห็นเจ้าเศษเดนแซ่สวี่คนนั้น”

“เหมือนจะหนีไปแล้วขอรับ” เจ้าหน้าที่ตอบกลับ

“ออกประกาศจับหรือยัง”

“เขียนเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ รอให้หน่วยราชการประทับตราก็ออกประกาศได้แล้วขอรับ”

เจ้ากรมซุนพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้านั่นยักยอกเงินไปเท่าไหร่”

“เมื่อวานส่งคนไปค้นที่จวนสกุลสวี่ ค้นเจอแค่ผ้าแพรไหมหลายร้อยพับ แต่เงินกลับมีไม่มากเท่าไหร่” เจ้าหน้าที่บอก

เจ้ากรมซุน ‘อืม’ ขึ้นมา “ยึดผ้าแพรไหมพวกนั้นเอาไว้ก่อน รอให้เรื่องจบแล้วค่อยส่งไปให้ใต้เท้าในทำเนียบ”

“เอ่อ…พวกเราไม่กล้ายึดของพวกนั้นขอรับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยเสียงเบา

สายตาของเจ้ากรมซุนคมกริบขึ้นมา “หือ”

เจ้าหน้ายิ้มขมขื่น กล่าวว่า “นั่น นั่นคือของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ ไม่มีใครกล้าเอาไปหรอกขอรับ เดี๋ยวเจ้าสวี่ผิงจื้อผู้นั้นจะยื่นฎีกาได้…”

“…ได้ยินว่าเจ้านั่นไปสำนักสังคีตบ่อยๆ นี่” เจ้ากรมซุนหาช่องโหว่อื่น

“ใช่ขอรับ พวกเราส่งคนไปสอบถามแม่เล้าของสำนักสังคีตแล้ว ช่วงสองเดือนสั้นๆ นี้ เจ้าคนแซ่สวี่ไปหลับนอนกับคณิกาแปดนางของสำนักสังคีต และมีความสัมพันธ์อันดีกับฝูเซียงแห่งหออิ่งเหมยด้วยขอรับ”

“นี่ยังไงล่ะ” เจ้ากรมซุนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ที่แท้ก็เอาเงินไปปรนเปรอสตรีนี่เอง คำให้การของบรรดาหญิงสาวของสำนักสังคีตพวกนั้นสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้เช่นกัน”

เจ้าหน้าที่เอ่ยอย่างลำบากใจ “แต่คำให้การของผู้หญิงพวกนั้นล้วนตรงกันอย่างยิ่ง…”

เจ้ากรมซุนมองเขาด้วยสายตาสอบถาม เจ้าหน้าที่เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “สตรีเหล่านี้กล่าวว่าพวกนางชื่นชมความอัจฉริยะของเจ้าคนแซ่สวี่ ยินยอมปรนนิบัติให้ด้วยตนเอง ไม่เก็บเงินแม้แต่น้อยขอรับ”

เจ้ากรมซุนตัวสั่นเทิ้มด้วยความโมโห แทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว

“ไอ้สารเลว ไม่มีจุดอ่อนก็สร้างจุดอ่อนให้มัน ไม่มีเงินก็เอาเงินให้มันเสีย!” เจ้ากรมซุนเอ่ยเสียงขรึม “ข้าไม่ปล่อยไอ้เศษเดนนี่ไปหรอก”

เขากลับไปยังห้องโถงด้วยความกรุ่นโกรธ ดื่มชาอุ่นๆ ไปจิบหนึ่ง นั่งลงก้นยังไม่ทันอุ่น เจ้าหน้าที่ก็รีบร้อนวิ่งเข้ามารายงานว่า

“ใต้เท้าเจ้ากรม ในวังมีคำสั่งมา ฝ่าบาททรงเรียกพบขอรับ”

เจ้ากรมซุนเหลือบมองน้ำหยดที่มุมห้อง ตอนนี้ได้ผ่านพ้นการประชุมยามเช้าไปแล้ว ฝ่าบาททรงเรียกพบ ถ้าไม่มีเรื่อง ก็ต้องเป็นประชุมเล็ก

‘ทำไมฝ่าบาทขยันขันแข็งเช่นนี้นะ เรียกรวมขุนนางมาปรึกษาราชการเสียสามวันสองหน…’ เจ้ากรมอาญาพยักหน้า “เตรียมเกี้ยว!”

……………………………………