บทที่ 209 กองกำลังวิกฤต

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 209 กองกำลังวิกฤต

หลังจากที่เห็นว่าตนเองสลัดไม่หลุดแล้ว เฉินเฉียงจึงตัดสินใจที่จะหันไปสู้กับคนที่เหลือ

เฉินเฉียงยังคงใช้ดาบดั้นเมฆป้องกันการโจมตีของมนุษย์กลายพันธุ์ ในขณะเดียวกันก็ยังใช้การโจมตีทางจิตเสริมการโจมตีของตนไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยดาบดั้นเมฆที่คมกริบของเขานั้นก็ทำให้ฆ่าเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้จนหมดด้วยเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงดี

หลังจากที่เขาได้รับฟังก์ชั่นการเลือกทักษะมาแล้วนั้น เฉินเฉียงก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดูดซับซากร่างของมนุษย์กลายพันธุ์อีกต่อไป และนี่ทำให้เขาดูดซับพลังจากมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดที่ฆ่าได้

และสิ่งที่ทำให้เขาดีใจมากที่สุดนั่นก็คือมนุษย์กลายพันธุ์แต่ละตนนั้น ในแหวนจะมีแผ่นพลังงานตนและหนึ่งแผ่น

มนุษย์กลายพันธุ์ที่เข้ามาที่นี่สมควรอยู่ในระดับนี้กันทุกคน

และทุกตนนั้นสมควรจะได้รับแผ่นพลังงานนี้มาด้วยอย่างน้อยๆก็คนละหนึ่งแผ่น

และเพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้รับแผ่นแก่นพลังงานมาทั้งหมดยี่สิบแผ่น เฉินเฉียงนั้นมีความสุขมากจริงๆ และเขาได้เริ่มกำหนดทิศทางต่อไปของเขา

ในสายตาของเว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆนั้นต่างก็คิดว่าแก่นวิญญาณนั้นคือสมบัติที่มีค่าเหนือกว่าแก่นคริสตัลมากมายนัก

แต่กับเขาแล้ว ก่อนที่จะขึ้นไปอยู่ในระดับกึ่งราชาได้นั้น แผ่นพลังงานนี้มีค่าเหนือคณานับ

น่าเสียดายที่เขาปล่อยให้เฉียวกังหลุดรอดไปได้ก็ตาม แต่ถึงกระนั้น เขายังคงโจมตีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดในขณะที่อยู่ที่นี่พร้อมทั้งคอยช่วยเหลือเหล่านักรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่มากมายหลายครั้ง

และเพื่อความปลอดภัยแล้ว ในตอนนี้เขาได้อยู่ในรูปลักษณ์ของหลิวหลางอีกครั้ง เขาเก็บดาบดั้นเมฆของตนเอาไว้และใช้กระบี่ยาวของมนุษย์กลายพันธุ์แทน

ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ดูดซับทักษะกระบี่สะบั้นลมมานั้น เขาบรรลุอยู่ในระดับขั้นต้น ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับเคล็ดวิชาสายฟ้าทำลายวิญญาณของเขา แต่ด้วยการที่อาวุธต่างกันเกินไปทำให้เขานั้นไม่สามารถใช้เคล็ดวิชานั้นได้ยามที่ใช้กระบี่นี้

หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว เฉินเฉียงก็สยายปีกและบินขึ้นฟ้าไป

อีกฟากฝั่งหนึ่ง จางหยวนยังคงพยายามทำหน้าที่ลาดตระเวนอยู่อย่างเต็มความสามารถ และเป็นตอนนี้ที่เขาได้พบว่ามีสัตว์ประหลาดนับร้อยตัวมุ่งตรงไปที่กองกำลังของตน

จางหยวนจึงรีบหนีไปและส่งข้อความบอกเจิ้งยี่และคนในกองกำลัง

แต่ในระหว่างที่หลบหนีไปนี้ เขาดันทิ้งร่องรอยไว้มากเกินไปจนทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดได้รับรู้

และนี่ทำให้อินทรีย์ดาราบินไปอยู่เหนือจางหยวนในชั่วพริบตา มันส่งเสียงกรีดร้องที่ลากยาวจนทำให้กองกำลังของมันนั้นได้รับรู้และพุ่งตรงไปยังกองกำลังเทียนเว่ยอย่างสุดกำลัง

“ฉิบหายแล้ว” เมื่อจางหยวนได้พบเรื่องนี้ เขาจึงรีบพุ่งไปหากองกำลังของตนเอง เป็นตอนนี้เจิ้งยี่และคนในกองกำลังได้พบจางหยวน พร้อมกับสัตว์ประหลาดกองใหญ่ที่วิ่งตามหลังมาจนฝุ่นตลบจนกลายเป็นฉากหลังให้จางหยวน

“รีบๆวิ่งเร็วเข้าโว้ยยยยยย สัตว์ประหลาดกองเบิ้มกำลังมา…..”

จางหยวนตะโกนก่อนจะวิ่งนำทุกคนไป

ด้วยการที่ทั้งกองกำลังนั้นมีเพียงจางหยวนเท่านั้นที่มีท่าเท้าที่ดีที่สุดก็ยังโดนไล่ทัน นี่ทำให้กองกำลังสัตว์ประหลาดได้มาถึงกองกำลังเทียนเว่ยคนอื่นอย่างรวดเร็ว

จางหยวนไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหันกลับไปช่วยคนในกองกำลัง

ในกองกำลังสัตว์ประหลาดกองนี้ นอกจากอินทรีย์ดาราที่อยู่ในระดับนายพลขั้นกลางแล้ว ตัวที่เหลือนั้น อยู่ในระดับนายพลขั้นสูง

เพียงแค่จางหยวนและคนอื่นๆเพียงสิบกว่าคนนี้ คนที่มีความมีความแข็งแกร่งพอจะสู้ได้นั้นมีเพียงเจิ้งยี่ จางหยวน กัวเหลียง และหนี่เฟิง

เมื่อเห็นว่าพวกตนโดนล้อมไว้แล้ว ทุกคนทำได้เพียงหน้าถอดสีและด้านชา

กัวเหลียงเห็นว่านี่เป็นโอกาสจึงได้รอบส่งข้อความไปหาเฉินเฉียง

หากเฉินเฉียงไม่ได้จากไป เขาคงพอทุกคนหลบหนีได้อย่างน้อยๆก็ด้วยการดำดินไป

ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนนี้ กัวเหลียงยังเชื่อไม่ลงจริงๆกลับเรื่องที่เฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์

หลังจากรุมล้อมจางหยวนและพวกไว้แล้ว หัวหน้ากองกำลังสัตว์ประหลาด เสือหัวขาวได้พุ่งเข้าใส่กองกำลังเทียนเว่ยเป็นตัวแรก

เมื่อเห็นฉกานี้ เจิ้งยี่เองก็พุ่งเข้าใส่เสือหัวขาวตนนี้ในทันที

จางหยวนขึ้นไปรับมือกับอินทรีย์ดารา

ด้วยการที่อินทรีย์ดาราตัวนี้รวดเร็วและมีมุมการโจมตีที่หลากหลาย มีเพียงจางหยวนที่เร็วที่สุดเท่านั้นที่พอจะรับมือได้

ส่วนสัตว์ประหลาดตัวอื่นอย่างหมาป่าจันทร์หลอนนั้น เขาปล่อยให้หนี่เฟิงจัดการ

ส่วนคนอื่นนั้น พวกเขาไม่มีทางเลือกทำได้เพียงรับมือกับสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่มีระดับขั้นการบ่มเพาะที่สูงกว่าหนึ่งขั้นด้วยตัวคนเดียว

ที่ห่างไกลไปกว่าสองพันไมล์ เฉินเฉียงนั้นได้อยู่ในที่ที่สงบและทำการปิดตาและฝึกเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรเพื่อเสริมสร้างจิตวิญญาณของตน

“ปี๊บบบบปี๊บบบบบปี๊บบบบบบ”

เฉินเฉียงได้เปิดตาดูก็เห็นว่ามีข้อความเข้ามาในกำไลสื่อสารของตน เมื่อเห็นข้อความ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีและรีบใช้ทักษะอินทรีย์สยายปีกพุ่งตรงไปยังจุดของกัวเหลียงในทันที

ด้วยทักษะที่ดูดซับมาจากเหยี่ยวทองคำนี้ทำให้เขานั้นได้พบเจอกองกำลังเทียนเว่ยด้วยเวลาเพียงไม่ถึงสิบห้านาที

เมื่อเห็นเสื้อผ้าของกัวเหลียงและพวกพ้องคนอื่นเต็มไปด้วยสีสันที่แดงฉาน เฉินเฉียงได้คำรามลั่นก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่กองกำลังสัตว์ประหลาดพร้อมทั้งปีกสีเงินที่โบกสะบัดไปมาอย่างสุดกำลัง

กัวเหลียงเป็นคนแรกที่สังเกตุเห็นเฉินเฉียง ถึงแม้ในตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของเขาจนเรียกได้ว่าแปลกหน้าแปลกตาและมีกระบี่ยาวอยู่ในมือ กัวเหลียงก็ยังจดจำเฉินเฉียงได้เพียงแรกเห็น

ส่วนคนอื่นนั้นก็จดจำเฉินเฉียงได้เกือบจะทุกคน

นั่นก็เพราะต่อให้เฉินเฉียงจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน แต่ปีกสีเงินที่ไม่เหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ตนใดนี้ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้

และเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงโจมตีอย่างบ้าคลั่งนี้ คนในกองกำลังก็รีบหลีกออกไปในทันทีเพื่อไม่ให้ได้รับลูกหลงจากปีกของเฉินเฉียง

และนี่ทำให้เหล่าสัตว์ประหลาดนั้นต้องสะดุ้งสะเทือนกันเป็นแทบ

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สัตว์ประหลาดกว่าร้อยก็ตกตายไปกว่าครึ่ง และนี่ทำให้กัวเหลียงและคนอื่นๆในกองกำลังเริ่มตีโต้ได้

และเมื่อเห็นจังหวะ เฉินเฉียงก็ได้ใช้ธนูดำยิงเข้าใส่อินทรีย์ดาราที่กำลังสู้กับจางหยวนอยู่ เพียงดอกเดียวเท่านั้นก็ตัดปีกของอินทรีย์ดาราตนนี้ได้ในทันที

หลังจากอินทรีย์ดาราโดนตัดปีกไปแล้ว มันก็ย่อมไม่อาจแสดงความทรงพลังในระดับนายพลขั้นกลางได้อีกต่อไป และนี่ทำให้จางหยวนเล่นงานมันได้ง่ายขึ้น

หลังจากฆ่าสัตว์ประหลาดได้เกินครึ่งแล้ว เฉินเฉียงได้หุบปีกของตนลง ก่อนจะกำกระบี่ยาวในมือแน่นและมองไปที่หมาป่าจันทร์หลอนที่กำลังสู้กับหนี่เฟิงอยู่

หนี่เฟิงที่ร่างโชกเลือดนี้ได้ยิ้มให้เฉินเฉียงอย่างดีใจไปทีหนึ่งก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาดตนอื่นปล่อยหมาป่าตัวนี้ให้เฉินเฉียงจัดการ

สองชั่วโมงผ่านไป ในที่สุด สัตว์ประหลาดอีกหนึ่งกองกำลังก็ได้ตกตายสิ้น

แต่การต่อสู้นี้เองก็เกือบจะล้างบางกองกำลังเทียนเว่ยไปเช่นกัน

คนที่เจ็บหนักที่สุดคือหนี่เฟิง เจิ้งยี่ และเม่ยหลัวหลัน

เม่ยหลัวหลันเองเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นต้น และเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง

ถึงแม้หนี่เฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ด้วยการที่เธอนั้นต้องรับมือกับหมาป่าจันทร์หลอนที่มีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น นี่เรียกได้ว่าเกินแรงเธอมากเกินไป

หากว่าไม่ใช่เฉินเฉียงมาได้ทันเวลา เธอเองก็คงต้องตกตาย

แต่ที่เจ็บหนักที่สุดคือเจิ้งยี่

เขานั้นเป็นสุดยอดศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักเสือขาวและมีระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในกองกำลัง

แต่กระนั้น การต่อสู้เมื่อครู่ เฉินเฉียงได้ช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ยกเว้นเพียงเจิ้งยี่

นั่นก็เพราะเขารู้ดีว่าเจิ้งยี่สามารถจัดการเสือหัวขาวนั่นได้ด้วยตัวเอง