เมื่อเห็นว่าฉินมู่ไม่เป็นอะไร บรรพชนแรกก็ระบายลมหายใจโล่งออก และแนะนำอย่างจริงจัง “มีดเล่มนี้อันตรายมาก มันถูกสร้างขึ้นมาจากศีรษะของยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่จำเป็นก็ไม่ใช้มันจะดีที่สุด”
หลิงอวี้จิวยังคงไม่หายจากความตื่นตระหนก และกำลังตบเนื้อตัวตนเองไปมา นางค่อยวางใจลงเมื่อพบว่าศีรษะของตนยังอยู่ดี
ในเวลาเดียวกันนั้น ผานกงสั่วก็แตะหัวตัวเอง และเขาก็ระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าศีรษะยังตั้งไม่ร่วงลงไป
“อ้า น่าเสียดายจริงๆ ข้าไม่ได้ฉวยโอกาสนี้สังหารผู้สูงศักดิ์ไปด้วย…”
ฉินมู่เก็บกล่องเข้าไปในถุงเต๋าตี้ เขานั่งยองๆ ลงไปเพื่อศึกษาดูซากศพของเทพอีกาไฟ และเขาพบว่าตรงจุดที่ศีรษะถูกตัดออกนั้นไม่มีรอยเลือด เลือดของเขาทั้งหมดได้หายสาบสูญราวกับว่าพวกมันถูกดูดกลืนไปจนเกลี้ยวในเสี้ยวพริบตา เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นซากร่างแห้งเหี่ยวสองชิ้น!
“นี่เป็นอาวุธอันอาฆาตและอันตรายจริงๆ”
ฉินมู่รู้สึกหัวใจเต้นระรัวและกล้ามเนื้อก็บิดกระตุก “โดนมีดนี้โจมตีเข้าไปเมื่อไหร่ ก็ไม่มีโอกาสรอดสักนิด! ที่น่ากลัวที่สุดคือหากว่ามีดเทวะนี้โจมตีไม่โดนศัตรู มันก็จะหันกลับมาแว้งกัดเจ้าของ…แต่ถึงอย่างไรมันก็ค่อนข้างมีประโยชน์ดี ใช้สังหารเทพเจ้าได้ราวกับผักปลา…”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกฉงนฉงาย เขาถาม “ข้าไม่เห็นเจ้าฝึกวิชามุทราของข้า งั้นทำไมเจ้าถึงเชี่ยวชาญพวกมันนัก ถึงขนาดที่ใช้ชี้แนะข้าซึ่งเป็นผู้คิดค้นวิชาได้”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและยืดหลัง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีกายาจ้าวแดนดิน นั่นจึงทำให้ข้าเชี่ยวชาญในทุกอย่างที่ร่ำเรียนโดยทันที”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมีสีหน้าหมองลง และมีบรรยากาศอันซึมเศร้า
ฉินมู่รีบกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ฝึกปรือมันโดยตรง แต่ข้าไตร่ตรองมันนับพันครั้งในจิตคิด บรรพชนแรก วิชามุทราของเจ้าไม่ได้แย่ แต่ว่าเจ้าขาดประสบการณ์รับมือพยุหะศึก ข้าคิดว่าข้าสามารถสอนเจ้าถึงวิธีการบุกทะลวงฝ่าแนวรบของศัตรู และทลายฝ่าพยุหะศึก ข้าได้เรียนมาจากท่านปู่บอดค่อนข้างมาก ทั้งยังเคยผ่านการรบหลายสนามด้วยเช่นกัน”
บรรพชนแรกได้ยินคำอธิบายของเขา และยิ่งหดหู่เข้าไปใหญ่ “เจ้าสอนข้าเถอะ…”
เขาเหมือนกับมะเขือยาวที่วางตากแดด ทั้งคอตกและน่าเวทนา
ฉินมู่กล่าว “ในการทลายฝ่าพยุหะ เจ้าจะต้องคำนึงถึงทุกๆ คนที่อยู่ข้างใต้เจ้า พยุหะอีกาไฟเมื่อครู่นั้นดูทรงพลังอำนาจ และเทพอีกาไฟสี่พันแปดร้อยตนได้ทำให้กระบวนพยุหะแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อเจ้าโจมตีหัว หางก็จะจู่โจม เมื่อเจ้าโจมตีหาง หัวก็จะจู่โจม และเมื่อเจ้าติดกับอยู่ในกระบวนพยุหะนี้ เจ้าก็จะพัลวันไปหมดและไม่อาจกำหนดเล็งศัตรูได้ ในจุดนี้ เจ้าต้องคิดว่าศัตรูทั้งหลายเป็นตัวเลข ตัวเลขทั้งหมดสี่พันแปดร้อยจำนวน เมื่อตัวเลขเหล่านี้เปลี่ยนตำแหน่ง ไม่นานเจ้าก็จะมองพยุหะได้ทะลุปรุโปร่ง”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสนใจขึ้นมาทันที เขาย้อนนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ และพยุหะอีกาไฟก็ปรากฏขึ้นมาในจิตคิดของเขา เมื่อเขาทดแทนเทพอีกาไฟทั้งหลายด้วยตัวเลข แง่อัศจรรย์ของพยุหะศึกก็ถูกเขาอ่านจนทะลุ!
ในกรณีนี้ ก็แปลว่าพยุหะอีกาไฟดำเนินไปตามกฎที่แน่นอน!
“การเปลี่ยนแปลงภายในพยุหะนั้นเร็วเกินไป พวกมันมีโทรจิตสื่อสารกัน ทำให้จุดอ่อนของกระบวนพยุหะพลิกผันไปในเสี้ยวพริบตา แล้วข้าจะทำลายพยุหะได้อย่างไร” ไม่นานกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็พบข้อผิดสังเกต และเขาถามขอความรู้อย่างจริงใจ
ฉินมู่ชี้แนะเขาอย่างแช่มช้า “กระบวนท่าไหนล่ะที่ข้าบอกให้เจ้าใช้ทำลายกระบวนพยุหะ”
“หมุนสวรรค์ผันดินหฤทัยไม่เปลี่ยนแปลง!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตระหนักขึ้นมาทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อโลกหมุนเหวี่ยงไป ห้วงอวกาศก็สับสนรวนเร และตัวเลขทั้งหลายก็ถูกเขย่าให้โกลาหล ดังนั้นกระบวนพยุหะก็เลยกระจัดกระจายไปด้วยเช่นกัน ข้าเห็นแล้วล่ะ!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง”
“ศิษย์เข้า–”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันได้สติ และรีบหุบปาก ใบหน้าเขาแดงฉาน และเขายกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้
คำอธิบายของฉินมู่ ทำให้เขารู้สึกโดยไม่รู้ตัวราวกับว่ามีอาจารย์ผู้หนึ่งกำลังสั่งสอนและชี้แนะเขาอย่างใจเย็น นี่ทำให้เขาเผลอพูดคำว่า ‘ศิษย์เข้าใจแล้ว’ โชคยังดีที่เขาตอบสนองทัน และไม่พูดจนจบ
ชื่อซีทำความสะอาดเรือ และเก็บสมบัติทั้งหลายที่ร่วงปักกับพื้น เขาโยนศพของเทพอีกาไฟลงไปจากเรือและเดินเข้ามา “พวกเทพอีกาไฟมีโทรจิตอันพิสดารที่สามารถติดต่อสื่อสารกับพรรคพวกได้ในระยะทางอันห่างไกลอย่างสุดแสน ในเมื่อเทพอีกาไฟเจอตัวพวกเรา นี่หมายความว่าเทพครองดาวมหาตะวันก็อยู่ไม่ไกลแล้ว เทพอีกาไฟที่เหลือไม่มีทางตามพวกเรามาทันได้ แต่เทพครองดาวมหาตะวันจะต้องตามพวกเรามาทันอย่างแน่นอน พวกเราจะต้องรีบไปในทันที!”
ฉินมู่เดินไปที่ดาดฟ้าเรือและมองไปข้างหลัง เขาพบว่าอีกาไฟทั้งหลายที่ถูกกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกโยนออกไป ยังคงเหาะไล่ตามเรือมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ในคราวนี้ พวกมันไม่อาจหยิบยืมพื้นผิวดวงอาทิตย์เพื่อเพิ่มพูนความเร็ว ทำให้ระยะห่างระหว่างเรือกับพวกมันยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปทุกที
“สละเรือ”
ฉินมู่กล่าวทันที “พวกเราเหาะไปยังที่ไหนสักแห่งที่เทพอีกาไฟมองพวกเราไม่เห็น จากนั้นพวกเราก็สามารถใช้เรือลำอื่นเพื่อแล่นจากไปได้ พวกเราจำเป็นต้องสละเรือลำนี้เพื่อดึงความสนใจของเทพครองดาวมหาตะวันเอาไว้ เจ้ามีเรือลำอื่นอีกไหม”
ชื่อซีส่ายหัว กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ทำเช่นเดียวกัน
“ผู้อาวุโสชื่อซี เจ้าก็รู้ว่าจะมีศัตรูไล่ล่าพวกเรามา ทำไมเจ้าไม่เตรียมเรืออื่นอีกลำ อย่างเช่นตอนที่ข้าหลอมปรุงยาพิษ ข้าก็จะเตรียมอีกชุดเอาไว้เผื่อฉุกเฉิน”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “พวกเจ้ายังจัดการเรื่องราวได้อ่อนหัดเกินไป”
ผานกงสั่วรีบนำสมุดเล่มเล็กออกมาและเขียนถ้อยคำของฉินมู่ พลางครุ่นคิดในใจ ยิ่งข้ารู้เกี่ยวกับเขามากเท่าไร ก็จะยิ่งรับมือได้ง่ายขึ้นเท่านั้น!
ชื่อซีกล่าว “รัชสมัยเทวะแสงฉานของข้าถูกทำลายล้างไปแล้ว และการที่ยังเหลือเรือเช่นนี้อยู่หนึ่งลำก็นับว่าวิเศษมากแล้ว”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกใคร่ครวญและกล่าว “พวกเราไม่สามารถสละเรือได้ ก็มีแต่ต้องสู้ แม้ว่าเทพครองดาวมหาตะวันจะแข็งแกร่งทรงพลัง แต่พวกเราก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน! พวกเรามีโอกาสที่จะสลัดการไล่ล่าของเทพครองดาวมหาตะวันหลุดไป หากว่าทำให้เขาบาดเจ็บได้!”
ชื่อซีลังเลไปเล็กน้อย ฝีไม้ลายมือของบรรพชนแรกเมื่อครู่นี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยไปยังสนามรบมาก่อน เขานั้นทำอะไรไม่ถูกเมื่อเผชิญกับพยุหะศึก และถึงกับต้องรับฟังการสอนสั่งจากฉินมู่
แน่นอนว่า ชื่อซีไม่ใช่แม่ทัพ และเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับพยุหะกระบวนทัพเช่นไรด้วยเช่นกัน
หากว่าไม่ใช่เพราะฉินมู่ ผู้ซึ่งผ่านการศึกสงครามมากมาย และเชี่ยวชาญในทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เพียงแค่พยุหะอีกาไฟอย่างเดียว ก็อาจจะทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำเสียกำลังใจได้
เทพครองดาวมหาตะวันเป็นเทพเจ้าผู้เลื่องชื่อ และเขาได้ลับฝีมือตนเองจนสมบูรณ์แบบมาเป็นร้อยๆ ปี หากว่าเขาตามคณะเดินทางมาทันได้ ก็คงจะยากที่จะต่อสู้ป้องกันเขาจากลำพังกำลังฝีมือของบรรพชนแรกและชื่อซี
ทันใดนั้น หลิงอวี้จิวกล่าว “ดูดวงอาทิตย์สิ!”
ทุกคนบนเรือหันไปมองทันที และพวกเขาก็เห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังแปลงเปลี่ยนรูปลักษณ์
การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตะวัน พื้นผิวของดวงตะวันยุบเข้าไปข้างใน ก่อขึ้นมาเป็นวงแหวนอันซับซ้อนวงแล้ววงเล่า อันยุบถล่มเข้าไปข้างใน เมื่อมองดูอย่างละเอียดแล้ว วงแหวนเหล่านั้นคือวงจรพยุหะอันก่อขึ้นมาจากอักษรรูนสลับซับซ้อน!
ผ่านไปครู่หนึ่ง วงจรพยุหะอันซับซ้อนอย่างสุดขั้วก็ก่อขึ้นมาที่พื้นผิวภายในไปจนถึงภายใน เมื่อวงจรเหล่านั้นยุบเข้าด้วยกัน ก็กลายเป็นดวงตาอันมองเห็นได้จากที่ไกลๆ!
“เทพครองดาวมหาตะวันมาถึงแล้ว!” ชื่อซีร้องด้วยเสียงพร่า เขาว้าวุ่นอย่างถึงที่สุด
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสูดลมหายใจลึกและยืนอยู่ที่ท้ายเรือ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “สู้กันหนึ่งต่อหนึ่งข้าอาจจะเอาชนะเขาไม่ได้! ในเมื่อพวกเราไม่อาจหลบหนีการไล่ล่าของเทพครองดาวมหาตะวัน งั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บและไล่ให้ผวาไปจะดีกว่า!”
ฉินมู่มองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็นำเอาเนตรหยกตะวันออกมา และศึกษาเพ่งดู จากนั้นเขาก็มองไปที่ดวงตะวันและร้องออกมา “คนที่มาเป็นเทพครองดาวมหาตะวันแน่หรือ”
“เป็นเทพครองดาวมหาตะวันอย่างแน่นอน!”
ชื่อซีวางตึกสยบสวรรค์ไว้บนท้องฟ้าเหนือเรือเหาะ เขาพุ่งเข้าไปในตึก มุ่งหน้าไปยังชั้นบนสุด และนำเอาสมบัติสำคัญออกมา เขากล่าวอย่างเคร่งเครียด “นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่มีอำนาจในการขับเคลื่อนพลานุภาพของดวงอาทิตย์!”
สำนึกรู้ของฉินมู่ปั่นป่วนเล็กน้อยพลางพึมพำ “แต่ทำไมโครงสร้างพยุหะในเนตรหยกตะวันถึงแทบจะเหมือนกับโครงสร้างพยุหะของดวงอาทิตย์นี้เลยล่ะ…เนตรหยกนี้เป็นสมบัติวิเศษจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง และเทพครองดาวมหาตะวันก็น่าจะดำรงอยู่ในยุคสมัยหลงฮั่นไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงใช้วิชาพยุหะของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง…”
หลิงอวี้จิวกล่าว “เทพครองดาวตะวันได้ผ่านยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมา ดังนั้นเขาก็สามารถเรียนทักษะเทวะพยุหะของยุคสมัยนั้นได้ มีอะไรน่าแปลกหรือ”
“ไม่ นั่นไม่ถูกต้อง!”
ฉินมู่ส่ายหัว “ทักษะเทวะขึ้นอยู่กับมรรคาของแต่ละคน และเมื่อวิชาฝึกปรือของคนผู้นั้นเป็นรูปร่างแน่นอนแล้ว คนผู้นั้นก็ย่อมจะดำเนินต่อไปตามมรรคาของตน ไม่ว่าพวกเขาจะเรียนรู้ทักษะเทวะของผู้อื่นมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจจะไปถึงจุดสูงสุดได้ ผู้สูงศักดิ์เป็นตัวอย่างหนึ่ง”
ผานกงสั่วโมโหจนระงับไว้ไม่อยู่ เขาตะโกนไป “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เวลาเจ้ายกตัวอย่าง รู้จักคิดถึงความรู้สึกคนอื่นบ้างไม่ได้หรืออย่างไร ถึงอย่างไรข้ากับเจ้าก็ลงเรือลำเดียวกันอยู่!”
“เดิมทีผู้สูงศักดิ์ฝึกปรือเวทมนตร์หมอผี และเขาเป็นปรมาจารย์อันหาได้ยากในเวทมนตร์หมอผี วรยุทธของเขาในด้านดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นก็หาได้ยากในโลกหล้า แต่ทว่า เขาเบี่ยงเบนความสนใจและไปเรียนกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า ธรรมะแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม วิชาฝึกปรือแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ และวิชาฝึกปรือแห่งนครหยกน้อย ดังนั้นกำลังฝีมือของเขาจึงครึ่งๆ กลางๆ”
ฉินมู่คิดอนุมานอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “หากว่าข้าเป็นเทพครองดาวมหาตะวัน ข้าก็จะเรียนวิชาพยุหะแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง แต่ข้าก็จะเปลี่ยนแปลงมันให้เหมาะสมกับตัวข้ามากที่สุด แต่เทพครองดาวมหาตะวันผู้นี้มิได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ดังนั้นนี่จึงดูไม่สมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสชื่อซีว่าเขาเป็นเทพเจ้าที่ถือกำเนิดจากดวงตะวัน ดังนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเรียนทักษะเทวะแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เขาไม่มีทางเรียนได้เลยด้วยซ้ำ”
หลิงอวี้จิวสับสน “ทำไมเขาถึงเรียนมันไม่ได้ล่ะ”
“หากว่าเขาถือกำเนิดจากดวงตะวัน เต๋าอันยิ่งใหญ่ในร่างกายของเขาก็จะตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่การปฏิรูปเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงทักษะเทวะ การเปลี่ยนแปลงทักษะเทวะเปลี่ยนหลักกฎ และการเปลี่ยนแปลงหลักกฎก็เปลี่ยนมรรคาเต๋า เมื่อมรรคา วิชา และทักษะเทวะเปลี่ยนแปลง เต๋าอันยิ่งใหญ่ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน”
ฉินมู่อธิบายต่อ “เต๋าอันยิ่งใหญ่ในเทพครองดาวมหาตะวันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป และเขาก็ย่อมจะไม่สามารถเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นี่เหมือนกับภูติบดี ภูติบดีนั้นก็เป็นเทพก่อนฟ้าดิน ดังนั้นเขาน่าจะไม่สามารถเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะของท้าวยมราชได้”
จากระยะไกลอย่างมาก พยุหะของดวงตะวันได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว ลำแสงหนาเข้มทะลวงออกมาโดยฉับพลัน จากอวกาศอันถูกบีบอัด และยิงพุ่งมาทางเรือเหาะ!
เมื่อลำแสงนี้ผ่านดวงดาวหนึ่ง ดาวดวงนั้นก็ถูกแทงทะลุโดยฉับพลัน เกิดรูใหญ่บนนั้น
พลานุภาพนี้แข็งแกร่งกว่าพลานุภาพของเนตรหยกตะวันหลายเท่าตัว!
ที่ท้ายเรือ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและชื่อซีกระวนกระวายอย่างหนัก ส่วนฉินมู่นั้นเพียงแต่เดินไปเดินมา พลางทึ้งขนแพลมใต้คางของตนเอง
“หากว่าข้าเดาไม่ผิด เทพครองดาวมหาตะวันนี้มิใช่เทพครองดาวมหาตะวันตนเดิม เขานั้นเป็นเพียงเทพเจ้าจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ถ้าแบบนี้แล้ว เทพครองดาวมหาตะวันตัวจริงหายไปไหน บรรพชนแรก เจ้าสามารถเอาโลหิตของเทพครองดาวมหาตะวันมาสักหน่อยได้หรือไม่ เพื่อให้ข้าศึกษามันดู”
ชื่อซีทั้งว้าวุ่นและแทบหายใจไม่ออก “แค่พวกเรารอดไปได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะโกน “ซ่อนในห้องเรือ เร็วเข้า!”
ฉินมู่วิ่งไปยังห้องเรือขณะที่หลิงอวี้จิวยืนอยู่ตรงนั้น ผานกงสั่วกำลังจะขังฉินมู่ไว้ข้างนอก แต่หลิงอวี้จิวคว้าคอของเขา และฟาดเขาลงกับพื้น
ฉินมู่รีบพุ่งไปยังห้องเรืออย่างรวดเร็ว และขณะที่เขาจะปิดประตูนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงปังดังสนั่น แรงสั่นสะเทือนขนาดหนักส่งมา และเขย่าโยนทั้งสามคนลอยขึ้นไปบนอากาศ กระเด้งชนทั่วไปหมด!
ที่ท้ายเรือ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกชักกระบี่ออกจากสะเอว และขับเคลื่อนพลังวัตรทั้งหมดของเขาเพื่อฟันลงไป กระบี่หยกสว่างขยายขนาด และฟาดทลายแสงเข้มข้น แต่มันก็ร้อนฉ่าจนแดงฉานในพริบตา!
บรรพชนแรกถูกขับไล่ให้ถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชื่อซีขับเคลื่อนสมบัติวิเศษสะกดตึกสยบสวรรค์ มันคือกระบี่เทวะหกเล่ม และพวกมันก็ฟาดฟันลงไปยังแสงเทวะ กำลังฝีมือของเขาไม่เพียงพอ แต่พลานุภาพของกระบี่เทวะทั้งหกแข็งแกร่งอย่างเหลือล้น ได้ฝืนเพิ่มพูนกำลังฝีมือของเขาไปอย่างมาก
ทั้งสองคนร่วมมือกัน และในที่สุดก็สามารถสกัดขัดขวางพลานุภาพจากเนตรเทวะตะวันได้ เพลิงไฟอันเข้มข้นและรังสีเทวะได้ถูกทั้งสองคนผ่าแยกออกเป็นสอง ทำให้เพลิงไฟและรังสีเหล่านั้นพุ่งเฉียดข้างเรือไป ทิ้งร่องรอยสองเส้นอันเปล่งแสงจัดจ้า
ในตอนนั้นเอง เรือเหาะก็หยุดชะงักโดยพลัน เทพเจ้าหัวนกร่างมนุษย์ที่มีสามขา ขี่แสงเทวะมา และลงไปเหยียบที่ท้ายเรือ เขามิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพครองดาวมหาตะวัน!
ข้างในห้องเรือ ฉินมู่ร้องบอก “บรรพชนแรก อย่าลืมเก็บตัวอย่างเลือดของเขา!”
“หยุดพูดได้แล้ว!” บรรพชนแรกอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด