บทที่ 185 ไม่หัวเราะ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 185 ไม่หัวเราะ (3)
เมืองชาใส

เสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงดังอย่างต่อเนื่อง คนในเมืองพากันหลีกทาง คนหาบเร่ที่ผลักรถอยู่ก็พากันหลบเช่นกัน

บนถนนที่ไม่นับว่าใหญ่มาก บุรุษสตรีสวมชุดเข้ารูปสีดำกลุ่มหนึ่งควบม้า คนที่เป็นผู้นำคือชายชราผมขาว แบกอาวุธประหลาดไว้บนหลังทั้งสองคน

บนตัวคนเหล่านี้ปักรูปปลาสีแดงที่มีจำนวนแตกต่างกันไว้บนเสื้อผ้า น้อยสุดคือปลาสองตัว มากสุดมีปลาห้าตัว

ชายชราทั้งสองคนที่เป็นผู้นำปักรูปวาฬขาวไว้บนเสื้อผ้า

แต่ว่าสิบกว่าอึดใจ คนขี่ม้าทั้งสิบกว่าคนนี้ก็หายไปจากถนนในชั่วพริบตา ชาวบ้านและคนหาบเร่ไม่น้อยค่อยได้สติ อย่างคุ้นเคยกันดีก็พูดคุยกันเกี่ยวกับว่าคนที่ควบม้าเหล่านี้เป็นใคร

ลุงเจ้าของแผงน้ำชาที่การข่าวฉับไวมองทิศทางที่พวกเขาหายไป ก่อนถอนหายใจยาวๆ

“มีเรื่องน่าเป็นห่วงเกิดขึ้นอีกแล้ว” เขาส่ายหน้า

“ลุงโจวทำไมกล่าวเช่นนี้ พวกที่ผ่านไปเมื่อครู่ไม่ใช่คนของพรรควาฬแดงหรือ พรรควาฬแดงเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การรักษาระเบียบและความสงบส่วนใหญ่มีพวกเขาออกหน้า ผิดปกติตรงไหนหรือ” แขกคนหนึ่งที่นั่งดื่มชาถามอย่างสงสัย

“ข้าย่อมจำได้ว่านั่นเป็นพวกใต้เท้าจากพรรควาฬแดง พวกท่านไม่รู้ สองคนที่นำหน้าเป็นบุคคลระดับวาฬขาว” ลุงเจ้าของแผงน้ำชาเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าอยู่ในเมืองชาใสมาเกือบสามสิบปี เพิ่งเคยเห็นยอดฝีมือที่มีสัญลักษณ์วาฬขาวมาที่นี่เป็นครั้งแรก”

“อ้อ อย่างนั้นก่อนหน้านี้ท่านเคยเห็นเมื่อไหร่ สัญลักษณ์วาฬขาวนี้แตกต่างกันตรงไหนหรือ ข้าเพียงรู้ว่าจำนวนลวดลายปลายิ่งมาก ตำแหน่งพลพรรควาฬแดงก็ยิ่งสูง” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอีกคนเดินเข้ามาถาม

ลุงเจ้าของแผงน้ำชาส่ายหน้า

“สัญลักษณ์วาฬขาวมีแค่ผู้อาวุโสกับผู้จัดการภารกิจภายในจึงมีคุณสมบัติใช้ สูงยิ่งกว่าหัวหน้าสาขาหนึ่งขั้น เป็นบุคคลที่ใกล้กับระดับรองประมุขพรรค บุคคลยิ่งใหญ่แบบนี้ถึงกับมาเมืองเล็กๆ ของพวกเรา นอกจากเกิดเรื่องใหญ่ ยังมีความเป็นไปได้ใดอีก”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ลูกค้าร้านน้ำชาที่กำลังฟังอย่างเพลิดเพลินสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

แต่ละคนสบตากัน ครู่หนึ่งค่อยมีคนเอ่ยขึ้น

“หรือจะเป็นเพราะเรื่องคนหายที่ลือกันบ่อยๆ ในช่วงนี้”

“เป็นเรื่องที่รายงานทางการแล้วไม่มีผลลัพธ์หรือ”

“บุคคลยิ่งใหญ่ของพรรควาฬแดงคงไม่แส่หาเรื่อง ไม่มีอะไรทำจึงมาที่นี่เอง ถึงเมืองชาใสของพวกเราจะมีดี แต่ก็เทียบกับเมืองห่วงหยกกับเมืองเลียบคีรีที่เจริญกว่าไม่ได้”

ทุกคนคุยกันไม่นานก็แยกแยะความเป็นไปได้

“มีเรื่องกังวลมากมายจริงๆ…” ลุงเจ้าของแผงน้ำชารำพึงรำพัน แล้วก้มหน้าต้อนรับลูกค้าต่อ

ในหุบเขาลึก กลางดึก

คบเพลิงหลายอันเคลื่อนตัวอยู่กลางหุบเขา ตามหาเป้าหมายไปทั่ว

แสงเพลิงสีแดงเจิดจ้าแยงตาใต้แสงจันทร์ที่เย็นเยียบ

สวีฉวนโจวสีหน้าขึงขัง ถือสามง่ามคู่หนึ่ง ตาเสือกวาดมองรอบๆ ขณะเดินอยู่กลางป่า

“หาเจอแล้ว ด้านหน้ามีแสงไฟ คล้ายเป็นแสงจากโคมไฟสีขาว!” พลพรรคคนหนึ่งพลันร้องตะโกน

“ที่ใด!?” สวีฉวนโจวก้าวยาวๆ ไปยังตำแหน่งที่พลพรรคคนนั้นอยู่

เขากับผู้อาวุโสอีกคนได้รับคำสั่งประมุขพรรคมาตรวจสอบเรื่องนี้ เดิมทีสมควรหยุดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหว รอรับจ้าวเจียวเจียวที่ออกเดินทางมาก่อน แต่เขาทนไม่ไหว พาคนเข้าไปในหุบเขาลึกที่เกิดเรื่องเล่าลือ

ครั้งนี้เขาพายอดฝีมือสิบกว่าคนมุ่งมา ทั้งหมดเป็นคนสนิทจากหมู่บ้านโฉมแดงในสังกัดของเขา

ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าประมุขพรรค เขาคงไม่ใช้ขุมกำลังลับของตนเอง

สวีฉวนโจวทราบดีว่าตอนนี้พรรควาฬแดงปกครองแดนเหนือ สะกดขุมกำลังอื่นๆ จนโงหัวไม่ขึ้น ผู้คนเรียกประมุขพรรคว่าราชาดาบแดนเหนือ มีวรยุทธ์กล้าแข็งและพลังยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสู้ได้ ถ้าหากว่าดึงดูดความสนใจ และเข้าสู่สายตาของประมุขพรรคลู่ในช่วงที่พรรควาฬแดงเจริญรุ่งเรืองเช่นตอนนี้ได้ จะเป็นความก้าวหน้าขั้นสูงสุดต่อรากฐานกิจการในภายภาคหน้าของเขา

ดังนั้นหลังจากเขาชั่งผลดีผลเสีย ก็พากองกำลังลับของตัวเองมา คิดจัดการความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่อย่างรวดเร็วและยอดเยี่ยม

จัดการได้เร็วยิ่งดี ไม่แน่จะดึงดูดความสนใจของประมุขพรรค

เขากระโจนหลายครั้ง ไปถึงด้านข้างพลพรรคซึ่งส่งเสียงผู้นั้นอย่างรวดเร็ว

“อยู่ตรงนั้น!” พลพรรคคนนั้นชี้ไปที่ส่วนลึกของป่าทึบ

สวีฉวนโจวมองดู เห็นแสงสีขาววับแวมอย่างที่คิด

“ทุกคนตามข้ามา!” เขาตวาดเสียงเฉียบขาด

ยอดฝีมือที่อ่อนแอที่สุดเป็นระดับปลาคู่ อยู่ด้านนอกถือเป็นมือดีที่ดูแลเขตถนนสายหนึ่ง ตอนนี้คิดฉวยโอกาสสร้างผลงาน

ตอนนี้เรื่องประหลาดทั่วทั้งแดนเหนือถูกกวาดล้างจนแทบไม่เหลือ อุตส่าห์พบสถานที่ที่สร้างผลงาน พลพรรคเหล่านี้ต่างกระเหี้ยนกระหือรือ

คนสิบกว่าคน คบไฟสิบกว่าอันต่อแถวกันเป็นงู ไม่ทันไรก็ถึงด้านหน้าหมู่บ้านน้อยแห่งหนึ่ง

หมู่บ้านสร้างบนพื้นหินสีดำเหมือนเปลือกไม้แก่ๆ บ้านหินแต่ละหลังกระจายอยู่บนเนินที่สูงต่ำไม่ราบเรียบ

แสงสีขาวส่องลอดออกมาจากในบ้านหินหลังใหญ่บนเนินแห่งหนึ่ง

สวีฉวนโจวเพ่งดู ประตูของบ้านหินหลังนั้นมีบันใดหิน แสงสีขาวกับแสงไฟส่ายวูบ เห็นได้ว่าบันไดหินมีอายุอยู่บ้าง ด้านบนยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

“ไป เข้าไปดู” เขาสั่ง “แบ่งคนครึ่งหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอก หงจื่อ เสี่ยวอี เสี่ยวเฉิน พวกเจ้าพาคนตามข้าเข้าไป!”

“ขอรับ!” เหล่าคนสนิทพากันขานรับ

พวกเขาเป็นยอดฝีมือของพรรควาฬแดง ผู้อาวุโสสวีมีพลังยุทธ์วิชาเร่งนางแอ่นล้ำลึก โดยเฉพาะหลังผ่านการสั่งสอนอย่างลับๆ ของประมุขพรรค พอกลับมาก็หยั่งคาดไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ตรวจสอบเรื่องประหลาดสองสามครั้งได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นตอนนี้เขาจึงค่อนข้างมั่นใจ

สวีฉวนโจวพาคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นบันใดหิน มาถึงหน้าบ้านหินที่มีแสงสีขาวส่องสว่าง แล้วเคาะประตูเบาๆ

เอี๊ยด

ประตูไม้ไม่ได้ปิด เปิดออกเอง

ด้านในเป็นลานกว้างขวาง

สวีฉวนโจวหรี่ตา พลิกมือชักสามง่ามเล่มหนึ่งออกมา ก่อนสาวเท้าเดินเข้าไป

กลุ่มคนด้านหลังเขาชูคบเพลิงขึ้น ชักดาบยาวบนหลังพลางเดินเข้าลานอย่างระมัดระวัง

“ในบ้านมีคน!” พลพรรคคนหนึ่งตาดี เห็นเงาคนที่นั่งในโถงหลักทันที

สวีฉวนโจวเยื้องย่างไปถึงกลางลาน มองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าบนพื้นไม่มีรอยเท้าแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ตรงประตูบ้านก็ไม่มีเช่นกัน ทั้งหมดเป็นตะไคร่น้ำหนา เหมือนไม่มีคนเดินผ่าน

รอบๆ เงียบสงัด มีแค่เสียงเปรี๊ยะๆ จากคบเพลิงดังอยู่ชั่วขณะ

สวีฉวนโจวใคร่ครวญครู่หนึ่ง

“ข้าคือสวีฉวนโจวผู้อาวุโสพรรควาฬแดงแห่งแดนเหนือ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นขุมกำลังใดหรือฝ่ายไหน ก่อกรรมทำชั่วใกล้เมืองห่วงหยก ก็ออกจะไม่เห็นพรรควาฬแดงอยู่ในสายตาเกินไปหน่อยกระมัง” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด

ในโถงหลักเงียบสงบ ไม่มีการตอบสนองใดๆ เงาคนที่สะท้อนบนกระดาษหน้าต่างไม่ขยับเขยื้อน คล้ายไม่ได้ยิน

สวีฉวนโจวเห็นดังนั้น ในใจเกิดโทสะ

“พังประตู!” เขาโบกมือ

บริวารคนหนึ่งเร่งฝีเท้ามาถึงหน้าประตู

ฮ่า!

เขาตวาด ชนใส่ประตู คาดไม่ถึงว่าประตูไม่ได้ปิด

คนผู้นี้ไม่ระวังถลันเข้าไป ชนประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย พริบตาเดียวก็เข้าไปในเรือนหลัก เกือบตั้งหลักไม่อยู่

สิ่งที่แปลกประหลาดคือ หลังจากประตูเปิดออก ด้านในเรือนหลักไร้ผู้คน เงาคนที่สะท้อนอยู่บนกระดาษหน้าต่างตอนนี้ไร้ร่องรอย

“ค้นให้ทั่ว!” สวีฉวนโจวโบกมือพลางกล่าวเสียงเย็นชา

หลังจากความวุ่นวายสงบลง เวลานี้พรรควาฬแดงก็ไร้ความกริ่งเกรงในแดนเหนือ ก่อนหน้านี้หวาดกลัวจัตุรัสแดงกับขุมกำลังส่วนหนึ่ง ตอนนี้คล้ายกับขุมกำลังอื่นๆ ต่างหลบเลี่ยงพวกเขา

เรื่องราวมากมายไม่ทันเจอความยุ่งยาก ก็หายไปเอง เรื่องประหลาดที่เขาเจอครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้

‘ครั้งนี้อาจไม่ต่างกันมากนัก’ สวีฉวนโจวกล่าวในใจ ถือสามง่ามเดินเข้าไปในโถงหลัก บริวารหลายคนเริ่มกระจายกันค้นหาร่องรอยคน

โถงหลักสว่างโร่ วางโคมไฟสีขาวจนเต็ม แสงไฟสว่างไสว บนผนังแขวนเครื่องประดับรูปร่างพิลึกกึกกือเป็นจำนวนมาก

ตรงข้ามกับประตูใหญ่มีคันฉ่องโบราณขนาดใหญ่บานหนึ่งตั้งอยู่

‘นี่คืออันใด…’ สวีฉวนโจวย่นหัวคิ้วเดินเข้าไปพิจารณาคันฉ่องบานนี้

คันฉ่องเป็นคันฉ่องแก้วที่หายากยิ่ง มีราคาแพงมาก คันฉ่องบานใหญ่แบบนี้หากวางขายในตลาด แทบกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติประเมินค่าไม่ได้ มีค่าควรเมือง

“เรียนผู้อาวุโส ในบ้านหลังนี้ไม่มีใครเลย” ผู้นำที่เป็นบริวารหลายคนรีบกลับมารายงาน

สวีฉวนโจวหันกลับมากวาดตามองทุกคนด้านหน้าตน

อยู่ๆ เขาก็นิ่วหน้า

“เสี่ยวเฉินเล่า”

ทุกคนสบตากัน

“ไม่เห็นเจ้าค่ะ เมื่อครู่เขาบอกว่าจะไปดูลานด้านนอกบ้าน” ศิษย์สตรีคนหนึ่งเอ่ยเบาๆ

“นอกบ้านหรือ” สวีฉวนโจวทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“พวกเราออกไปดูก่อน” เขารู้สึกไม่ดี ตั้งแต่เข้ามาที่นี่จนถึงตอนนี้ คล้ายมีบางอย่างกำลังแอบซุ่มอยู่ในที่ลับ จับจ้องพวกเขาอย่างเงียบงัน

ขณะทุกคนกำลังจะถอยออกจากโถงหลัก

โครม!

โครมๆๆ!

ทันใดนั้น ประตูหน้าต่างด้านในบ้านก็ปิดลง เหมือนกับมีคนปิดงับอย่างแรงจากด้านนอก

ตึง!

ดาลบนประตูใหญ่ตกลง พวกเขาถูกขังอยู่ในบ้าน

“ถอย!” สวีฉวนโจวตวาด นำหน้าพุ่งไปยังประตูใหญ่ก่อน

ฟิ้ว

เหมือนกับใครเป่าไฟตะเกียงจนดับ

แสงไฟทั้งหมดในโถงหลักและบนคบเพลิงดับพรึ่บ

ในบ้านเงียบงัน คล้ายไม่มีใครสักคนเดียว

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ในลานสงบเงียบ พวกผู้อาวุโสสวีที่พาคนเข้าไปไม่มีการเคลื่อนไหว

เปรี้ยง!

ทันใดนั้นประตูไม้ถูกกระแทกเปิด เงาคนท่อนบนที่ทั่วตัวอาบเลือด พุ่งออกมา แต่ว่าด้านหลังคล้ายถูกบางสิ่งจับลากกลับเข้าไปในบ้าน

“เจ้ารอดูเถอะ พรรควาฬแดงไม่มีทางปล่อยเจ้า! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร!” เงาที่ตะโกน ถึงกับเป็นสวีฉวนโจว ทั่วทั้งตัวโชกเลือด เล็บมือสองข้างขูดกับพื้นเป็นรอยเลือดยาวๆ สองสาย จากนั้นก็ถูกลากเข้าไปในบ้าน

เปรี้ยง!

ประตูบ้านปิดแน่น ในบ้านไร้สรรพเสียง

“คนไม่น้อยหายตัวไปติดต่อกันหรือ” ลู่เซิ่งทางหนึ่งมองศิษย์ของศิษย์พี่หลายคนที่ฝึกวรยุทธ์ในลานฝึก ทางหนึ่งฟังองครักษ์ใกล้ชิดรายงานเบาๆ

“ผู้อาวุโสสวีกับผู้อาวุโสเฉินไปทางนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีข่าวคราว” องครักษ์ใกล้ชิดกระซิบ

ลู่เซิ่งหรี่ตา

ผู้จัดการภารกิจภายนอกเฉินกับผู้อาวุโสสวีเป็นสมาชิกระดับสูงที่เขาเพิ่งคัดเลือกเข้ามา ก่อนหน้านี้เมืองห่วงหยกปรากฏปัญหา เขาจึงส่งสองคนนี้ไปช่วยจัดการ

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ผ่านไปสิบกว่าวัน แต่ข่าวสารขาดหายไป

“รายงาน” องครักษ์ใกล้ชิดอีกคนรีบรุดมาถึง สองมือประคองจดหมายฉบับหนึ่ง “เรื่องด่วนจากเมืองห่วงหยก!”

ลู่เซิ่งรับจดหมายมาคลี่อ่านดู เพิ่งอ่านเนื้อหาจบ สีหน้าเขาก็เคร่งเครียดทันที

……………………………………….