ตอนที่ 185 ข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

อินหงหลันเปิดล่วมยาอย่างชำนิชำนาญ ก่อนจะส่งยาขวดหนึ่งให้เซียงเสวี่ย จากก็หยิบพวกผ้าพันแผล กรรไกรให้กับภรรยา เปิดถุงที่ใส่เข็มซึ่งวางอยู่ในกล่อง หยิบเข็มทองที่ยาวที่สุดออกมาสามเล่ม ก่อนจะใส่เส้นด้ายที่ใสกระจ่างลงไปในก้นเข็มทองทั้งสามเล่มด้วยความระมัดระวัง

ซินหรันใบหน้ามืดมนลงไปเล็กน้อย “สะใภ้ของเจวี๋ยเอ๋อร์บาดเจ็บหนักอย่างนั้นรึ?”

“ไม่หรอก!” อินหงหลันแบ่งเส้นด้ายไปพันที่มือด้านขวา จากนั้นใช้มือขวาจับเข็มทองเอาไว้ ถูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ด้านซ้ายเล็กน้อย คล้ายกับได้มีประกายไฟขึ้นมาระหว่างนิ้ว หลังจากเขาจัดแจงเข็มทองสามเล่มนั้นอย่างระมัดระวังแล้ว ก็ค่อยๆ ฝังเข้าไปในอกด้านซ้ายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ตรงใกล้ๆ กับปิ่นด้ามนั้น

“ซินหรัน เจ้าและเด็กคนนี้ขึ้นไปบนเตียง รอจนปิ่นออกมา ก็พันแผลให้นาง!” อินหงหลันค่อยๆ ดึงด้ายให้แน่น ดึงรั้งอย่างเป็นขั้นตอน เข็มทองสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนปิ่นด้ามนั้นจะคล้ายกับมีการเคลื่อนไหวขึ้นมา

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ซินหรันถอดรองเท้า ขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะปลดม่านลงมา เซียงเสวี่ยช้าไปเล็กน้อย คล้อยหลังก็ตามขึ้นไปเช่นกัน กลับพบว่าภายใต้แสงสลัว ซินหรันใช้กรรไกรตัดเสื้อที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือดตรงตำแหน่งที่ใกล้ปิ่นด้ามนั้น ในขณะเดียวกันก็ตัดเสื้อด้านข้างเข็มทองออกอย่างระมัดระวัง  เผยให้เห็นผิวขาวราวกับหิมะ ปิ่นด้ามนั้นแทงลึกเป็นอย่างมาก กระนั้นจากการสั่นไหวของเข็มทองที่ใช้ความเร็วจนแทบมองไม่ทันกลับค่อยๆ ดึงมันออกมา

“นี่คือ…” เซียงเสวี่ยมองฉากที่น่าแปลกประหลาดนี้อย่างตกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีภาพที่น่าตกใจเช่นนี้ขึ้นได้ และก็เปลี่ยนมุมมองใหม่ต่ออินหงหลันทันที…มีคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดาขนาดนี้ด้วยหรือนี่!

“นี่คือทักษะเฉพาะตัวของหงหลัน ข้าก็น้อยครั้งที่จะได้เห็นความสามารถของเขาเช่นกัน!” ซินหรันเองยังคงแปลกใจที่อินหงหลันตั้งใจทุ่มเทพลังในการรักษาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงขนาดนี้ แม้นางจะเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี แต่ชีพจรที่แผ่วเบากลับยังเต้นสม่ำเสมอ ลมหายใจที่เบาบางก็มั่นคง บาดแผลดูไม่ได้ร้ายแรงเท่าไร ขอเพียงแค่สกัดจุดสำคัญและระบบไหลเวียนเลือดได้ ในยามที่ดึงปิ่นออกก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเลือดจะออกมาก จากนั้นก็ให้นางกิน ‘ยาหุยเทียนตัน’ (ยาพลิกชีวิต) พักรักษาตัวช่วงหนึ่ง อาการก็จะดีขึ้นแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ปราณเข็มทอง ค่อยๆ ใช้ลมปราณดึงปิ่นออกมาไปพลาง ทั้งใช้ลมปราณฟื้นฟูบาดแผลของนางไปพลาง แม้จะพูดว่าการทำเช่นนี้ นางจะสามารถฟื้นฟูหายภายในสี่ห้าวัน แต่สำหรับอินหงหลันกลับเป็นการสูญเสียกำลังเหมือนใช้แรงวัวเก้าตัวรวมกับเสือสองตัว[1]

“เด็กน้อย นี่เรียกว่าปราณเข็มทอง หรือจะเรียกว่าเข็มทองทะลวงก็ได้ เป็นหนึ่งในความสามารถเฉพาะตัวของข้า คนทั่วไปอย่าว่าแต่พบเห็นเลย เกรงว่าแม้กระทั่งได้ยินก็ยังคงไม่เคยได้ยินมาก่อน” เสียงที่แฝงด้วยความเคร่งขรึมของอินหงหลันดังเข้ามาจากนอกม่าน “แม้จะกล่าวว่านางมีหัวใจที่เอนเอียงแต่กำเนิด ทั้งปิ่นด้ามนี้ก็ไม่ได้แทงเข้าที่จุดสำคัญอันใด แต่อย่างไรก็ระมัดระวังไว้ย่อมดีกว่า ไม่อาจปล่อยให้นางเกิดผลกระทบในภายหลังได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ รักษาให้หายเร็วหน่อย นับว่าเป็นเรื่องดีต่อทารกในครรภ์”

“นี่ก็คือเข็มทองทะลวงนั่นเอง!” เซียงเสวี่ยจำได้อย่างเลือนรางว่าป้าโม่เคยพูดถึง กล่าวว่าวิชานี้เป็นวิชาแพทย์ชั้นสูง ตัวนางเองก็เคยเปิดหูเปิดตาอยู่บ้าง แต่กลับไม่เข้าใจหลักการภายในของมัน

“เจ้าเคยได้ยินมาก่อนสินะ” อินหงหลันรู้สึกดีใจที่ตัวเองเหลือเด็กคนนี้เอาไว้ ดูท่าเด็กคนนี้คงจะเป็นคนสนิทของใครบางคนจริงๆ มิเช่นนั้นจะได้ยินวิชาเข็มทองทะลวงมาก่อนได้อย่างไร!

“ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าพูดหรอกรึ?” เซียงเสวี่ยตอบกลับอย่างระวัง คนทั่วไปไม่เคยได้ยิน นางก็ไม่อาจจะแตกต่างไปได้หรอก

“การรักษาบาดแผลโดยใช้เข็มทองทะลวงล้วนเป็นบาดแผลที่อยู่ในจุดสำคัญ ไม่อาจจะเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าได้ แม้จะกล่าวว่าไม่นับเป็นจุดสำคัญถึงชีวิตของมี่เอ๋อร์ แต่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ธรรมดา ใช้วิธีนี้ดึงปิ่นออกมา ไม่เพียงแต่จะลดความเจ็บปวด แต่ยังสามารถรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็วด้วย รวมกับทายาปลูกกล้ามเนื้อขวดนั้นที่ข้าให้เจ้า สี่ถึงห้าวันก็สามารถหายดีแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจัดขี้ผึ้งหิมะขาวให้นางสักหน่อย รับประกันว่าแม้แต่รอยแผลเป็นก็จะไม่หลงเหลือสักนิด”

“เอ๊ะ…หงหลันระวัง!” ซินหรันฟังสามีที่เจียดสมาธิไปพูดคุยกับเซียงเสวี่ย แต่ตัวเองกลับมองปิ่นนั้นค่อยๆ ถอนออกมาอย่างตั้งใจ จู่ๆ ก็พบว่าผิดปกติ “ปิ่นนี้บิดงอ เจ้าระวังหน่อย”

“ข้ารู้แล้ว!” ที่จริงในยามที่อินหงหลันใช้ลมปราณตรวจสอบอย่างระมัดระวังก็ได้พบว่าปิ่นนี้บิดงอตั้งนานแล้ว คงจะเป็นตอนที่ถูกแทงเข้าเนื้อ นางใช้วิธีบางอย่างทำเพื่อลดอาการบาดเจ็บลง กระนั้นกลับเป็นการเพิ่มความยากให้กับเขา

“เอาล่ะ!” ในยามที่ปิ่นออกมาสามส่วนจากสี่ส่วนแล้ว ซินหรันก็กดเสียงต่ำ เข็มทองหยุดสั่นไหวทันที ซินหรันกล่าวกับเซียงเสวี่ย “ข้าจะดึงปิ่นออก เจ้าใส่ยา จะต้องทำด้วยความรวดเร็ว!”

“เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยพยักหน้าอย่างตั้งใจ ซินหรันใช้มือจับปิ่น หลังจากผงกศีรษะบอกเป็นนัยแล้วก็ดึงออกทันที เซียงเสวี่ยไม่รอให้เลือดได้ไหลออกมา ก็เทยาปลูกกล้ามเนื้อในมือลงไปบนบาดแผล กล้ามเนื้อของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ได้สติสั่นสะท้านเล็กน้อย คล้ายกับรับรู้ถึงความเจ็บปวด ทั้งยังส่งเสียงร้องครางเจ็บปวดอย่างแผ่วเบาออกมาครั้งหนึ่ง

ซินหรันค่อยๆ ใช้ผ้าปิดแผลเกลี่ยยาปลูกกล้ามเนื้อปิดให้ทั่วแผล เสียงเรียก ‘กลับมา’ ดังขึ้น ก่อนจะเห็นเข็มทองเหล่า นั้นลอยขึ้นออกไปจากม่าน เซียงเสวี่ยไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น แต่กลับพยุงร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้น เมื่อใช้ผ้าพันแผลพันรอบเสร็จแล้ว ยามนี้ก็รอให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

ยกผ้าห่มคลุมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ไม่ได้สติอย่างระมัดระวังแล้ว ซินหรันก็หยัดกายแขวนม่านขึ้นไป มองแวบเดียวก็เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวทั้งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของอินหงหลัน

“คงจะเหนื่อยมากสินะ!” ซินหรันเช็ดเหงื่อออกให้สามีเบาๆ แม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่สามีทำถึงขนาดนี้ แต่เรื่องช่วยเหลือชีวิตคน นางนั้นเชื่อมั่นในสามี ทั้งยังคุ้นชินที่เชื่อฟังและทำตาม แม้ว่าตอนนี้จะเป็นผู้ช่วยของเขา แต่ก็น้อยครั้งที่จะถามเขาว่าเพราะอะไรเช่นกัน

“ยังพอไหว” อินหงหลันไม่ได้เสียแรงในการรักษาคนเช่นนี้มานานแล้ว ทั้งยังพยายามทุ่มเทให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว กระทั่งจะปล่อยให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวดก็ไม่ยอม ดังนั้นจึงทุ่มเทเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งร่างล้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เซียงเสวี่ยวัดชีพจรให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง พบว่าใกล้เคียงกับคนทั่วไปอยู่บ้างแล้ว มั่นคงและแรงขึ้น ลมหายใจก็ค่อยๆ สงบราบเรียบเหมือนกับคนนอนหลับ

“ไม่เป็นอันใดหรอก!” อินหงหลันเห็นเซียงเสวี่ยเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ ก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “รอให้นางสะสมพลังพอแล้วก็ย่อมฟื้นคืนสติ เวลานั้นนางจะรู้สึกดีกว่าตอนก่อนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเสียอีก”

“ขอบคุณนายท่านอินที่ช่วยเหลือสะใภ้ใหญ่ของเราเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยลงจากเตียง โขกศีรษะให้อินหงหลันอย่างจริงใจ แม้นางจะมั่นใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่เป็นอะไร แต่สามารถฟื้นฟูได้รวดเร็วขนาดนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกัน

“อื้ม…” อินหงหลันมีเรื่องมากมายที่อยากถามนาง และก็มีเรื่องอยากถามกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากมายเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ทั้งเขาก็ไม่มีแรงเหลือเฟือขนาดนั้นด้วย

“ซินหรัน หยิบ ‘ยาฟู่หยวนตัน’ (ยาฟื้นคืน) ให้นางด้วย!” คำพูดของอินหงหลันทำให้ซินหรันที่ประหลาดใจอยู่แล้วตกใจมากขึ้นไปอีก แต่นางก็ยังคงไม่ถามอะไร กระทั่งคำเดียวก็ไม่พูดออกมา หยิบขวดเล็กๆ ในล่วมยาส่งให้กับเซียงเสวี่ย

“ในนี้คือยาฟู่หยวนตัน รอนางฟื้นแล้วให้นางทานหนึ่งเม็ด หลังจากนั้นทุกหกชั่วยามให้ทานหนึ่งครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ด รอจนบาดแผลหายดีแล้วก็สามารถงดได้ วัตถุดิบยาในนี้ไม่มีผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ ให้นางวางใจเถิด”

“ขอบคุณนายท่านอิน!” เซียงเสวี่ยกลับไม่แน่ว่าจะปล่อยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทาน แต่อย่างไรรับไว้ก่อนย่อมดีกว่า

“เจ้าก็ดูแลนางดีๆ เถิด ข้าก็จะไปพักแล้วเช่นกัน!” อินหงหลันส่งสายตาเป็นนัยให้ภรรยาถือล่วมยา ก่อนทั้งสองจะเดินเคียงกันออกไป

“ลุงอิน…” ซั่งกวนเจวี๋ยเอาแต่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูไม่กล้าจะถอยห่างออกไปแม้เพียงชั่วครู่ เมื่อเห็นอินหงหลันออกมาในสภาพที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ถลาเข้าไปหาอย่างตกใจ กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะถามอย่างขมขื่น “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว!” อินหงหลันตบบ่าเขา กล่าวอย่างเรียบง่าย

พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว? ซั่งกวนเจวี๋ยสมองอื้ออึงไปพักใหญ่ แข้งขาอ่อนแรงสะเปะสะปะ ถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว พละกำลังทั้งหมดสูญสลายหายไปในชั่วพริบตาเดียว เบิกตากว้างมองอินหงหลัน อ้าปากค้าง กลับพบว่าตัวเองพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

“เจ้าหมอเถื่อน!” แม่นมฉินพุ่งเข้ามา ผลักอินหงหลันลงพื้นทันที ชกหมัดไปที่หน้าเขาสองที กล่าวทั้งร้องห่มร้องไห้ “เจ้าคืนมี่เอ๋อร์มาให้ข้า!”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข่าวร้ายทำให้ตกใจหรือไม่ นอกจากซินหรันที่อยู่ด้านข้างอินหงหลันแล้วก็ไม่มีใครเข้ามาขัดขวางแม้แต่คนเดียว แม่นมฉินที่บ้าคลั่ง จู่ๆ ก็มีพละกำลังเสียยิ่งกว่ากระไร ซินหรันเองก็ไม่ได้มีพื้นฐานวรยุทธ์เท่าใด อินหงหลันถูกผลักลงพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งไม่อาจจะชกหมัดกลับไปยังคนแก่ได้ รอจนในยามที่ซินหลันดึงแม่นมฉินออกมา ใบหน้าก็โดนหมัดไปหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะที่ตาข้างขวาบวมปูดเป็นสีเขียวออกมา

“พวกเจ้ายังไม่ดึงนางไว้อีก!” แม้ซินหรันจะคิดสมน้ำหน้าสามีที่หาเรื่องเอง แต่ก็ไม่อาจทนมองเขาถูกต่อยอยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้ อธิบายให้คนที่ยืนนิ่งตกใจพวกนั้น “ช่วยคนกลับมาให้พวกเจ้าแล้ว ก็ปฏิบัติกับผู้ที่มีบุญคุณช่วยชีวิตเช่นนี้รึ?”

“ช่วย…ช่วยกลับมาแล้ว?” แม่นมฉินถามขึ้นมาอย่างยากจะเชื่อ

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ซี้ด…” อินหงหลันฉวยโอกาสยามที่ภรรยาดึงแม่นมฉิน ลุกขึ้นมา ได้ยินคำพูดของแม่นมฉินก็ตอบกลับทันที น่าสงสารที่มุมปากของเขาถูกต่อยไปด้วย พอพูดออกมาก็เจ็บจนต้องสูดปาก แต่ก็ยังคงต้องพูดต่อไป “ก็ไม่คิดเสียบ้าง ข้าออกโรงช่วยเหลือถึงปานนี้จะช่วยกลับมาไม่ได้อย่างไร? ซี้ด…”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงพูดว่าเจ้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว?” จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ฟื้นคืนดวงตาที่พร่าเลือนกลับมา มองอินหงหลันอย่างโกรธเคือง เมื่อครู่เขาน่าจะทำเหมือนแม่นมฉินชกเขาสักทีสองที พูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร? เขายังคิดเสียว่ามี่เอ๋อร์…

“แน่นอนว่าข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว!” อินหงหลันกระโดดย่ำเท้า ไม่สนใจความเหนื่อยล้าทั่วร่างทั้งบาดแผลบนใบหน้า ชี้ด่าไปที่ซั่งกวนเจวี๋ย “เจ้าก็ไม่ใช้สมองคิดเสียบ้าง ข้าล้วนพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจะช่วยคนไม่ได้อย่างนั้นรึ? เจ้ามันคนไม่รู้คุณคน ยืนมองข้าถูกแม่นมเฒ่าชกเสียเปล่า! ซี้ด…เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”

ซั่งกวนเจวี๋ยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ถลาเข้าไปในห้องทันที เห็นเซียงเสวี่ยเฝ้าอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ก็กล่าวถามเสียงเบา “สะใภ้ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“แค่ยังไม่ฟื้นเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว” เซียงเสวี่ยพูดไม่ทันจบดี เสียง ‘ตุ้บ’ ก็ดังขึ้น ซั่งกวนเจวี๋ยที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ค่อนวัน ทั้งยังถูกคำพูดของอินหงหลันที่ว่า ‘พยายามอย่างถึงที่สุด’ ทำให้ตกใจแทบจะวิญญาณหลุดออกจากร่าง เข่าอ่อนลงไปกับพื้นทันที คิดจะลุกก็ลุกไม่ขึ้น

“คุณชาย!” โดยยามปกติแล้วม่านเหอมักจะมองอินหงหลันด้วยความศรัทธา แต่คราวนี้กลับถลึงตามองเขาอย่างไม่เกรงใจ พุ่งตัวเข้ามาในห้องพร้อมกันจื่อหลัวเป็นคนแรก ประคองซั่งกวนเจวี๋ยขึ้นมา สาวใช้ทั้งสองสบสายตามองกัน ก่อนจะกอดกันร้องไห้ด้วยความดีใจขึ้นมา

เสียงของเซียงเสวี่ยนั้นดังเป็นอย่างมาก คนด้านนอกห้องล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็พากันอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยกเว้นคนหนึ่ง…

“ข้าเป็นคนช่วยนาง เหตุใดจึงไม่มีคนขอบคุณข้า!” อินหงหลันไหนเลยจะรู้สึกเสียใจ แทบที่จะโมโหโดยสิ้นเชิง คนพวกนี้เหตุใดจึงไม่แสดงน้ำใจกับเขาที่เป็นหมอเทวดาแม้แต่คนเดียว? ยังมีม่านเหอสาวใช้ผู้นั้น คาดไม่ถึงว่าจะกล้าถลึงตาใส่ตน!

“ใครให้เจ้าพูดจาไร้สาระล่ะ!” ซินหรันมองใบหน้าของสามีที่ช้ำม่วงด้วยความขบขัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกรื่นหูรื่นตายิ่งนัก นางคิดว่าตัวเองห้ามทัพเร็วไปหน่อย ตาข้างขวาเขียวบวมปูดออกมา แต่ตาข้างซ้ายกลับไม่ได้บาดเจ็บอันใด ช่างน่าเสียดาย หากแม่นมเฒ่าคนนั้นชกตาซ้ายให้เขียวด้วยก็คงจะน่าดูยิ่งกว่านี้อีก

“ข้าก็แค่อยากจะเห็นท่าทีของเจวี๋ยเอ๋อร์ว่าเป็นอย่างไร จะถึงกับลงไม้ลงมือหรือไม่เท่านั้น?” อินหงหลันลูบบาดแผลที่ล่างมุมปากเบาๆ ก่อนจะสูดปาก เขาก็ได้รับความไม่เป็นธรรมเหมือนกันแหละ…

———————————-

[1] ใช้แรงวัวเก้าตัวรวมกับเสือสองตัว อุปมาว่า ทำเท่าที่จะทำได้จนสุดกำลังความสามารถ ใช้พละกำลังอย่างมาก