บทที่ 211 พันธมิตรชั่วคราว

ไหปีศาจ

บทที่ 211
พันธมิตรชั่วคราว

หลังจากเดินมานาน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ปลอดภัย
ลมหายใจของลั่วอู๋อ่อนแรง และใบหน้าของเขาซีดเซียวเพราะความเหนื่อย

“นายน้อย!” หลี่หยินตะโกนขึ้น
ลั่วอู๋ส่ายหัว “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าแค่ใช้พลังวิญญาณไปมาก เจ้าไปพักเถอะ”

แม้มันจะดูเหมือนว่าลั่วอู๋ ไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ก็สามารถปราบทั้ง 4 คนจากทีมฮันซานได้อย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงนั้นมันไม่ง่ายอย่างที่เห็น

เพราะเขาต้องจ่ายพลังวิญญาณอย่างมากในการควบคุมแมลงกินวิญญาณระดับนางพญาในการทำแบบนั้น
แมลงกินวิญญาณนั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน แม้ว่าศัตรูจะหาพวกมันไม่พบ แต่พวกเขาก็สามารถยับยั้งได้ด้วยการปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอันทรงพลัง

ยิ่งไปกว่านั้นความแตกต่างของระดับมิติวิญญาณระหว่างแมลงกินวิญญาณและศัตรู มีผลทำให้แมลงกินวิญญาณระดับนางพญาต้องใช้พลังวิญญาณมากขึ้นอีกด้วย

ซึ่งแน่นอนว่าพลังวิญญาณที่แมลงกินวิญญาณระดับนางพญานั้นต้องจ่ายก็ได้รับมาจากลั่วอู๋อีกที

ดังนั้นหากสมาชิกทั้งสี่คนของกลุ่มฮันซานปฏิเสธที่จะหยุดใช้พลังวิญญาณและเลือกที่จะข่มพลังวิญญาณที่เดือดพล่านเหล่านั้นด้วยพลังวิญญาณของตนเอง

ลั่วอู๋ก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะพวกเขาได้เลย
โชคยังดีที่พวกเขาคิดว่าตัวเองถูกวางยาพิษ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าใช้พลังวิญญาณสุ่มสี่สุ่มห้า

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วอู๋หลี่หยินก็โล่งใจ
ส่วนลั่วอู๋ก็ปล่อยผีนับร้อยออกมาให้ทำหน้าที่เฝ้ายาม จากนั้นเขาก็หลบไปนอนพักผ่อนกับหลี่หยินที่เดิม
……
……

ขณะเดียวกันที่อีกด้านหนึ่ง
สมาชิกทั้งสี่คนจากทีมฮันซานรู้สึกโกรธมาก
“พี่ชาย พวกเราจะปล่อยมันไปอย่างนี้จริง ๆ เหรอ ?” คนในกลุ่มบางคนรู้สึกไม่พอใจมาก

ชายในชุดสีฟ้าขาวเองก็ดูโกรธ “แน่นอนสิ มันไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ ที่จะจัดการกับลั่วอู๋ใช่ไหมล่ะ ? ถึงอย่างนั้นข้าก็จำหน้าตามันได้แล้ว ไว้เอาคืนมันทีหลังก็ได้”

“ถึงอย่างนั้นพวกเราก็เสียแผ่นยกไป 13 แผ่นเลยนะ ข้าเกรงว่ามันคงจะยากสำหรับพวกเราที่จะผ่านรอบสองนี้ไปได้ทุกคน”

ทั้งสี่คนต่างคร่ำครวญ
ตอนนี้มันยากมากที่ทั้งสี่คนจะติดอันดับ 50 คนแรก โดยเฉพาะเมื่อการทำงานหนักตลอดเวลาสามวันของพวกเขาได้สูญเปล่าไปแล้ว มันจึงยากยิ่งขึ้นไปอีก

“จนกว่าจะถึงเวลานั้น พวกเรามาช่วยกันชิงแผ่นหยกเพื่อพยายามให้มีคนผ่านรอบสองได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กันเถอะ ส่วนพี่น้องคนที่ไม่ผ่านรอบสองข้าจะจ่ายค่าชดเชยให้เอง” ชายในชุดสีฟ้าขาวกล่าว

จากนั้นพวกเขาก็รวมตัวกันพร้อมที่จะมองหาเหยื่อรายใหม่ เพื่อชดเชยแต้มที่สูญเสียไป

ทันใดนั้นเองคลื่นพลังวิญญาณอันน่ากลัวนับไม่ถ้วนก็พุ่งโจมตีพวกเขา มันเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า

“การโจมตีจากข้าศึก ทุกคนระวัง! ” ชายในชุดสีฟ้าขาวคำราม
ในเวลาต่อมาหัวใจของพวกเขาก็เย็นยะเยือก
การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้มีทักษะพลังวิญญาณระดับทอง และดูเหมือนว่าผู้ที่โจมตีมาบางส่วนก็เป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินด้วยซ้ำ

มันเป็นการโจมตีที่ลอบกัดที่เผลอ
ช่างเป็นการปิดล้อมจู่โจมที่ไร้ยางอาย
“อ้ากก”
เสียงตะโกนอันน่าเศร้าหลายครั้งดังขึ้น
เหล่าคนจากทีมฮันซานไม่มีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโจมตีพวกเขา พวกเขาถูกโจมตีบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

ร่างสิบร่างปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ พวกเขากระซิบกันอย่างแผ่วเบา เสียงนั้นดูเหมือนกำลังซ่อนตัวอยู่ มันทั้งเรียบและต่ำจนหากไม่ตั้งใจฟังก็คงจะไม่ได้ยิน

“ทำไม พวกเขาถึงไม่มีแผ่นหยกกัน”
“พวกเราโชคร้ายจริง ๆ ที่ต้องมาเจอกับผู้แพ้”
“รีบไปหาเป้าหมายต่อไปกันเถอะ”
พวกเขาคุยกันสั้น ๆ แล้วก็ออกเดินทางไปต่ออย่างรวดเร็ว
ในความมืดมิดนั้นมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขา

ฉูจงฉวนที่กำลังเหนื่อยอ่อน ร่างของเขาพิงอยู่กับต้นไม้แห้ง จากนั้นเขาก็นวดขมับของตัวเองและพยายามทำให้จิตใจของเขาร่าเริงขึ้น

ตลอดสามวันที่ผ่านมา เขายังไม่ได้หลับตาลงนอนเลยแม้แต่น้อย

เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจำนวนมาก ปกติคราบเลือดเหล่านี้จะถูกกำจัดออกไปโดย ฉูจงฉวนผู้รักความสะอาดอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้พลังวิญญาณของเขาในการทำความสะอาดคราบเลือดบนเสื้อแต่อย่างใด

เพราะเขาต้องการรักษาพลังวิญญาณของเขาเอาไว้ เขาจึงไม่สามารถสูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างสิ้นเปลืองได้
เนื่องจากเขาวิ่งหนีมาเป็นเวลานาน อาการของเขาจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาถูกซุ่มโจมตีโดยกลุ่มชายลึกลับหลายคนหลังจากที่เขาได้เข้าสู่พื้นที่ล่าสัตว์

ฉูจงฉวนนั้นได้รับบาดเจ็บ เขาจึงต้องจำใจโยนแผ่นหยกออกไป เพื่อดึงดูดความสนใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาหนีรอดออกมาได้

จิตใจของฉูจงฉวนเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดชัง

อีกฝ่ายบังอาจแอบโจมตีเขาทีเผลอ เขาจึงคิดที่จะกลับไปตามหาตัวอีกฝ่ายเพื่อค้นหาใบหน้าที่แท้จริงของพวกมัน แล้วไล่คิดบัญชีไปทีละคนอีกรอบ

การติดตามนี้ใช้เวลาร่วมสามวัน
“ดีจริง ๆ เลยที่มีพวกเจ้าอยู่กับข้า” ฉูจงฉวนกระซิบกับภูตทะเลทรายและภูตไฟ

ภูตทะเลทรายใช้ทักษะของมัน เพื่อปกปิดลมหายใจของฉูจงฉวน ทำให้ไม่มีใครหาตัวเขาพบได้

ร่างกายของภูตไฟผีเริ่มควบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และพลังวิญญาณสีแดงภายในก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างของมนุษย์อย่างชัดเจน

ใช่แล้ว มันกำลังจะก่อตัวเป็นรูปร่าง
“ได้โปรดเถอะเป็นรูปร่างของหญิงสาว” ฉูจงฉวนพูดกับตัวเอง

ทันใดนั้นก็มีเสียงกระซิบดังมาจากข้างนอก
หัวใจของฉูจงฉวนแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารีบไปซ่อนตัวอยู่หลังใบกระบองเพชรขนาดใหญ่อย่างระมัดระวังคอยดักฟังทุกสิ่งทุกอย่าง

กลุ่มที่เขาติดตามมา ดูเหมือนว่าจะมาที่นี่เพื่อพบกับพรรคพวกของพวกเขามากกว่า 20 คน และพวกเขาก็เริ่มสนทนากันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน

“พวกเจ้าได้แผ่นหยกมากี่แผ่น”
“ไม่มากมันแค่ 27 แผ่นเอง”
ฉูจงฉวนตกตะลึง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นประกาย สีอันดุร้าย เสียงนี้เป็นที่เขาคุ้นเคย นี่มันคือเสียงของมู่เฉิงแห่งตระกูลมู่

กลับกลายเป็นว่าคนที่ไล่ต้อนเขา คือศัตรูคู่อาฆาตของเขานั่นเอง

“ข้าไม่แปลกใจเลย” ฉูจงฉวนขบฟันของเขา
ทั้งสองตระกูลมีความแค้นกันมาอย่างยาวนาน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะทะเลาะมีเรื่องกัน

ถ้าเขาออกมาสู้กันตัวต่อตัว และฆ่าฉูจงฉวนลงได้ด้วยตัวคนเดียว ฉูจงฉวนก็เต็มใจที่จะตาย แต่รอบนี้อีกฝ่ายกลับใช้ประโยชน์จากการโจมตีทีเผลออีกทั้งยังเล่นวิธีสกปรกรุมโจมตีอีก

“ข้าจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นคู่แข่งอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้เจ้าเป็นศัตรูของข้า”
คู่แข่งนั้นเป็นได้ในสองบริบท
อาจเป็นในบริบทที่เกลียดชังหรือน่านับถือ
เป็นการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือ ที่มีความเห็นใจเมตตาซึ่งกันและกันในยามที่อีกฝ่ายลำบาก

แต่ศัตรูนั้นมีเพียงแค่บริบทเดียว
เป้าหมายที่ต้องถูกกำจัด
ฉูจงฉวนยกหูของเขาขึ้นเพื่อดักฟัง เขารู้สึกตกตะลึงมาก
ที่นี่มีคนมากกว่ายี่สิบคน พวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มคนมีพรสวรรค์จากต่างมณฑลซึ่งมารวมกลุ่มเขาด้วยกันโดยฝีมือของชายลึกลับคนหนึ่ง

เป้าหมายของพวกเขานั้นเข้าใจได้ง่ายมาก – การผ่านการทดสอบในรอบที่สอง

ชายลึกลับเกิดความคิดที่จะทำให้แน่ใจว่าทุกคนในกลุ่มของเขาจะผ่านการทดสอบรอบที่สอง

นั่นคือการร่วมมือกันและฆ่าคนอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมด
ตราบใดที่มีผู้เข้าร่วมการทดสอบรอบที่สองเหลือน้อยกว่า 50 คน คนที่มีชีวิตอยู่ก็จะผ่านไปได้โดยปริยาย ใช่หรือเปล่าล่ะ?

ต้องบอกว่าความคิดนี้นั้นช่างโหดร้ายกว่าการล่าแผ่นหยกแบบดั้งเดิม

ชายปริศนาได้สอนวิธีการแกะรอยและระบุตัวตนพวกเดียวกัน ทำให้แผนการนี้เริ่มต้นได้ด้วยดี ซึ่งมู่เฉิงเองก็เป็นสมาชิกของพันธมิตรชั่วคราวนี้

“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นสินะ” ฉูจงฉวนหลงอยู่ในภวังค์ของความคิด

จู่ ๆ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและคำรามออกมา “มีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ ข้า และตอนนี้ข้าก็สังเกตเห็นมันแล้ว”

ฉูจงฉวนตกใจ
มันไม่จริงใช่ไหม ?
ความสามารถในการปกปิดตัวตนของเขานั้นน่าจะแนบเนียนที่จะผสมผสานไปกับสภาพแวดล้อมได้

ในขณะที่เขากำลังจะหนีชายร่างใหญ่ก็เปิดปากและปล่อยลมปราณออกมา ไม่ไกลนักมีผีอยู่ตัวหนึ่งลอยอยู่ ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันถูกหลอมละลายหายไปในทันที

ฉูจงฉวนรู้สึกกลัวจนเหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผาก
โชคดีที่เขายังไม่โดนพบตัว
มันเป็นแค่ผี
เดี๋ยวนะ ผีงั้นเหรอ? ใบหน้าของฉูจงฉวนเปลี่ยนไปผีแบบนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?

“มันมาจากที่ไหนกัน สัตว์วิญญาณแบบนี้ไม่น่าจะปรากฏขึ้นในพื้นที่ล่าสัตว์ได้นี่นา” ชายร่างใหญ่พูดอย่างสงสัย “ ไม่สิ มันต้องมีใครบางคนควบคุมผีเหล่านี้อยู่แน่”

“ไปล่ามันกันเถอะ”
พรรคพวกกว่า 20 คนตั้งท่าอำพรางตัวอีกครั้งและแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว