ตอนที่ 119 วางหมากลงตรงไหน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 119 วางหมากลงตรงไหน

ฉินโม่เหวินกำลังแข่งหมากล้อมกับฉินปิ่งจงที่ลานกว้าง

เขาครองหมากสีขาว ในยามนี้มังกรตัวใหญ่ได้ถูกหมากสีดำล้อมไว้แล้ว จะขยับซ้ายหรือไปทางขวาท้ายที่สุดก็แก้ไขมิได้อยู่ดี

ฉินปิ่งจงกล่าวขึ้นมาว่า “หมากนี้หากเป็นฟู่เสี่ยวกวน เขาจะรีบทิ้งมังกรใหญ่และไปจัดการทางเดินแทน”

“หากไร้ตัวอำนาจใหญ่แล้ว การวางทางเดินจะมีประโยชน์อันใด ? ”

“เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้คนมักจะให้ความสนใจกับตัวที่มีอำนาจใหญ่ จนละเลยรายละเอียดเล็ก ๆน้อย ๆ ข้าเองก็เคยแพ้เยี่ยงนี้มาก่อน มิมากมาย แค่เสียหมากเดียว”

ฉินโม่เหวินเงยหน้าขึ้นมา และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านลุง ความหมายของท่านคือ ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งมังกรใหญ่ไปแต่กลับใช้ตัวเล็กที่เหลืออยู่ชนะท่านด้วยตัวเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่ ข้ายังจำคำพูดของเขาได้ เขากล่าวว่า…โลกก็เหมือนหมาก เพื่อมิให้ใครมารังแกข้าได้ จิตใจต้องเหมือนมหาสมุทร ที่สามารถรองรับผู้คนที่เหมือนแม่น้ำร้อยสายได้ น้องชายของข้าผู้นี้ มองขาดได้มากกว่าผู้คนมากมายในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงมิอยากเป็นเพียงขุนนางในกรมคลัง แต่เลือกที่จะเป็นเหวินซ่านกวน”

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่พระราชวังจินเตี้ยนในวันนี้ฉินโม่เหวินรับรู้มาแต่เนิ่นแล้ว และได้บอกกับฉินปิ่งจงแล้ว เพราะเขามิเข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดจะทำอันใด

“แต่ฉาวซ่านต้าฟูนี้มิมีประโยชน์ต่อการก้าวหน้าของเขาในราชสำนักแม้แต่น้อย” ฉินโม่เหวินวางหมากอย่างยอมแพ้ และพูดคุยกับฉินปิ่งจงว่าท้ายที่สุดแล้วในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายเยี่ยงไรกันแน่

“ข้าคิดว่ามีใครอีกหลายคนที่มองเหมือนเจ้า แต่ข้ามิคิดอย่างนั้น ดังพระบัญชาของฝ่าบาท ในราชโองการฉบับนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมีความรู้ในการปกครองบ้านเมือง เป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในใต้หล้า บุคคลเยี่ยงนี้หากคิดจะกระทำการใหญ่ก็มิยากลำบากเกินไป โดยเฉพาะเขาที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท  แต่เหตุใดเขาถึงเลือกเป็นเหวินซ่านกวน ? เพราะโอกาสยังมามิถึงอย่างไรเล่า ! เจ้าใคร่ครวญดู เขาอายุยังมิทัน 17 ปีดี แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท หากจะทำตนได้คืบจะเอาศอกอีก พวกผู้อาวุโสในราชสำนักเหล่านั้นจะมิขัดขาเขาเยี่ยงนั้นรึ เขาจะเหมือนมังกรใหญ่ของเจ้าที่ถูกโอบล้อมไว้อย่างแน่นหนาและมิสามารถทะลวงออกมาได้ เพราะเขานั้นมิมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอ เกรงว่าต่อให้มีฝ่าบาทคอยหนุนหลังก็ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ ในเมื่อเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ถอยมาหนึ่งก้าว อย่าได้ไปสร้างมังกรตัวใหญ่ขึ้นมา เยี่ยงนั้นแล้วการโอบล้อมนี้ก็จะหายไปโดยธรรมชาติ”

ฉินโม่เหวินครุ่นคิดคิ้วขมวด หยิบหมากมังกรสีขาวบนกระดานขึ้นมา บนกระดานมีหมากสีดำอยู่จำนวนมาก แต่หมากมังกรใหญ่ได้มาอยู่ในเงื้อมมือแล้ว

มิลงหมาก กระดานหมากนี้ก็จะมิมีประโยชน์อันใด

ชายผู้นั้น เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

เยี่ยงนั้น แล้วเขาจะวางหมากต่อไปเยี่ยงไร ?

ฉินโม่เหวินหยิบหมากขาวในมือวางลงไปบนกระดานอีกหน โดยวางไว้ตรงมุมของกระดาน

ฉินปิ่งจงลูบเคราเบา ๆ และส่ายหน้า

“มิใช่”

“หรือว่าเขาจะมิวางหมากไปตลอดไป ? ”

“ไม่ หมากของเขาจะมิวางอยู่บนกระดาน”

ฉินโม่เหวินเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ และจ้องมองฉินปิ่งจง หากมิวางบนกระดานแล้วจะรุกฆาตได้เยี่ยงไร ?

“ข้าเองก็มิทราบ แต่ตามที่ข้าได้ลองใคร่ครวญมิมีอะไรมากไปกว่าสองจุดนี้ ประการแรกเขาเล่นหมากอยู่ในกระดานอื่น อาจจะกล่าวได้ว่าเขามิได้เดินหมากกับเสนาบดีในราชสำนัก หากเหล่าเสนาบดีอยากจะเล่นหมากด้วย เยี่ยงนั้นก็มีแต่ต้องไปที่กระดานของเขา ประการที่สอง…ขอบเขตของกระดานนั้นบางทีอาจจะอยู่ที่ซีซาน ณ หลินเจียงก็เป็นได้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคิด นโยบายที่เขาออกว่าให้ชาวฮวงสร้างพระราชวังตามแบบต้าหยูนั้น ก็เป็นหมากของเขาเช่นกัน”

ฉินรั่วเสวียได้ยินเยี่ยงนั้นก็ตะลึงงัน ทุกคนต่างก็มีอายุที่ไล่เลี่ยกัน เหตุใดจึงได้มีความแตกต่างมากมายถึงเพียงนี้ ? แท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่รอบคอบเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ที่ท้องพระโรงเขาก็คงกล่าวไปเพียงส่ง ๆ เท่านั้น หรือว่ายังมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่หรือเจ้าคะ ? ”

ฉินปิ่งจงเอ่ยขำ ๆ “เจ้าลองครุ่นคิดดู ดินแดนที่ชาวฮวงอยู่อาศัยเป็นสถานที่ทุรกันดาร หากพวกเขาต้องสร้างพระราชวังขึ้นมา ประการแรกต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ประการที่สองต้องใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง หากจะกล่าวว่าเรื่องนี้เสียทั้งแรงงานเสียทั้งเงินทองก็มิเกินจริงนัก สำหรับชาวฮวงแล้วนั้นมีอันตรายเป็นร้อยและไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น เป็นกลยุทธ์ที่มองการณ์ไกลใช่หรือไม่ ? ”

ฉินรั่วเสวียกำลังใคร่ครวญตาม ฉินโม่เหวินพยักหน้าน้อย ๆ

อย่างไรก็ตามฟู่เสี่ยวกวนที่ได้ก้าวเข้ามาในจวนฉินยามนี้แท้จริงแล้วมิได้คิดมากถึงเพียงนั้น

เขาเพียงต้องการโล่ปกป้องตนเท่านั้น ในยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขายังคงอยู่ที่ซีซาน

เขาต้องฝึกฝนหน่วยที่มีความสามารถทางการรบเป็นพิเศษขึ้นที่ซีซาน และยังต้องสร้างปืนหินเหล็กไฟและปืนใหญ่ขึ้นที่ศูนย์วิจัยที่ซีซานออกมาให้จงได้

ในยุคสมัยอาวุธโลหะเย็นนี้ สิ่งของเหล่านี้ต่างหากที่เป็นอาวุธที่สังหารอย่างแท้จริง สำหรับนโยบายการทำสงครามที่ถูกปฏิเสธที่ห้องทรงพระอักษร เขาค่อนข้างเสียใจเล็กน้อย แต่นี่ก็มิสามารถขวางแผนการที่เขาวางไว้ได้

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ดันบังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ฉินปิ่งจงวิเคราะห์เอาไว้ แท้จริงแล้วเขามิได้วางหมากไว้ที่เมืองหลวง หมากนี้แท้จริงแล้วถูกวางไว้ที่ซีซาน

สำหรับชาวฮวง มโนธรรมต่อฟ้าดิน ความคิดเห็นนั้นแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไปเพียงส่งเดชเท่านั้น แต่กลับนำหายนะไปสู่พวกเขา

“พี่ฉิน ข้ามารบกวนอีกแล้ว” หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายฉินปิ่งจง

คิ้วหนาตาโต โดยเฉพาะลักยิ้มที่สองมุมข้างปากที่เหมือนแกะสลักก็มิปาน ดูเป็นทรงและมีชีวิต

เคยเจอมาก่อน ที่เขตจินหลิงแห่งนั้น

“ เขาคือหลานชายของข้า ฉินโม่เหวิน เป็นผู้ว่าการเขตจินหลิง ”

“คำนับพี่โม่เหวิน ! ”

“คำนับพี่ฉิน ! ”

เมื่อคำนับทั้งสองแล้ว ฉินปิ่งจงจึงกล่าว “มามา มานั่งกันเถิด รั่วเสวีย ไปต้มชากาใหม่มาหน่อยสิ”

ทั้งหมดนั่งลง ฉินปิ่งจงจึงกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อครู่ข้ากับโม่เหวินกำลังพูดคุยกันเรื่องของเจ้า เจ้าในตอนนี้เป็นถึงผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวง ในวันนี้คงได้รับเทียบเชิญมามากมายแล้วใช่หรือไม่ ?”

มิมีสิ่งนั้นจริง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า แล้วถอนหายใจเบา ๆ “พี่ชาย ข้าจะกล่าวกับท่านอย่างมิปิดบัง นอกจากเทียบเชิญของพี่โม่เหวินฉบับนี้แล้ว ข้าก็มิได้รับเทียบเชิญจากผู้อื่นอีกเลย ท่านดูสิ ท่านยังกล่าวเลยว่าข้านั้นเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวง แต่ความจริง มันไร้ค่าในสายตาของผู้อื่น ! แต่กล่าวกันตามจริงแล้ว ตัวข้าเองก็มิชอบการคบค้าสมาคมที่ยุ่งเหยิงเยี่ยงนั้น มันไร้ความหมาย เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ มิเหมือนท่านที่ข้าสามารถสนทนาได้อย่างมีความสุขโดยมิต้องพะว้าพะวังใด ๆ ”

ฉินปิ่งจงหัวเราะร่า ฉินโม่เหวินเองก็รู้สึกชายผู้นี้เป็นคนที่ดูเปิดเผยและอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับเทียบเชิญจากผู้อื่นนั่นทำให้ฉินโม่เหวินประหลาดใจเล็กน้อย จากมุมมองนี้ ขุนนางมากมายในราชสำนักต่างตกอับแล้ว จึงต้องลอยแพผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวงผู้นี้ไป

“ฝ่าบาทให้เจ้าไปมาระหว่างกั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลังได้อย่างอิสระ เจ้าจะวางแผนไว้เยี่ยงไร ? ”

“ข้าจะขอดูก่อน เมื่อต้องไปก็คงต้องไป แต่อย่างไรก็คงไปเดินเล่นเพียงเท่านั้น ในช่วงนี้คงต้องหาโอกาสไปเจรจากับฝ่าบาท ข้าอยู่ที่เมืองหลวงไปก็ไร้ประโยชน์ ขอให้ฝ่าบาทปล่อยข้ากลับหลินเจียง ทางนั้นยังคงมีเรื่องวุ่นวายอีกมากที่รอให้ข้ากลับไปจัดการ”

เป็นไปตามการคาดคิด ฉินโม่เหวินรู้สึกว่าสายตาของท่านลุงช่างแม่นยำนัก ชายผู้นี้อยากจะหนี มิใช่อยากจะอยู่

ในตอนนี้ฉินเฉิงเย่ก็ได้ออกมา “ท่านจะกลับซีซานเมื่อใด ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมามอง “ข้าย่อมคิดว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ในยามนี้ยังมิใช่ข้าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ”

ฉินเฉิงเย่หันมองฉินปิ่งจง และเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านปู่ ข้าอยากไปซีซาน”

ฉินปิ่งจงคิ้วขมวดนิ่ว และเอ่ยถามกลับไป “เหตุใดเจ้าจึงอยากไปซีซานกัน ? ”

“หลานคิดว่า หนทางนับพันสาย  มิได้มีเพียงเส้นทางของการศึกษาเพียงเท่านั้น หลานชอบการศึกษาและค้นคว้า อยากไปซีซานเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า”

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึง ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงไม่ไปตามทางปกติเล่า !

ฉินปิ่งจงเงียบไปหลายอึดใจ หันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีความรู้สึกว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก จะให้ข้าเป็นคนตอบเยี่ยงนั้นรึ ? ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่าว่าใจของท่านอยากจะให้เขาไปหรือมิอยากให้เขาไปกัน?

ดังนั้นเขาจึงถามฉินเฉิงเย่ “เจ้าทำอะไรได้รึ ? ”

“ข้ารู้สึกสนใจปืนไฟเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เคยได้ลองไปศึกษาโดยละเอียดที่สำนักอาวุธปืนมาแล้ว เจ้าปืนไฟนี้ยังมิอาจนำไปใช้ในสนามรบได้เพราะยังคงมีข้อบกพร่องอยู่อีกหลายประการ ข้าอยากแก้ไขปัญหานี้ แต่มีเพียงที่ซีซานเท่านั้นที่จะทำให้ข้าค้นคว้าขึ้นมาได้”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบหันไปกล่าวกับฉินปิ่งจงในทันที “ข้ารู้สึกว่าเขาใช้ได้ ! ”