ตอนที่ 208 อย่าเชื่อเรื่องงมงาย

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

“หัวหน้าหน่วย ให้ทำยังไงกับแพะดีครับ” มีคนถาม

หลี่ชิงเจิ้งตัดบท “อย่าเรียกฉันว่าหัวหน้าหน่วย ให้เรียกฉันว่าจ้าวหมาป่า! ชื่อภูเขาเราชื่ออะไรนะ อ๋อใช่ เขาคุนซาน! นับแต่นี้ไปให้เรียกฉันว่าจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซาน!”

เฉินอู๋ตี๋ที่อยู่ใกล้ๆ ถาม “อาจารย์ ให้ข้าปราบปีศาจหรือไม่”

“ตอนนี้ยังก่อน” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ

เฉินอู๋ตี๋เข้าใจแล้ว ตอนนี้ยังไม่ปราบ แสดงว่าในอนาคตต้องได้ปราบ “ท่านอาจารย์ เมื่อไรพวกเราจะได้กินเนื้อแพะ” เฉินอู๋ตี๋สูดน้ำลาย

“ตอนนี้เลยเป็นไง” เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงสูดน้ำลายของเฉินอู๋ตี๋แล้วสีหน้าก็เกือบดำคล้ำไป

ทุกคนเตรียมจะตัดเนื้อแกะและทำกองไฟ นักเรียนชายนามหวังอวี่ฉือมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างสงสัย เขากดเสียงตัวเองถาม “หัวหน้าห้อง ตอนที่หมาป่าโผล่มาครั้งล่าสุด แปบเดียวหัวหน้าห้องก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายตัวโตท่ามกลางหิมะตกหนัก รอบนี่หมาป่าโผล่มาอีกรอบ พวกมันก็เอาแพะมาให้พวกเราก่อน ไม่บังเอิญไปหน่อยมั้ง”

พวกนักเรียนกับเฉินอู๋ตี๋หันมามอง หวังอวี่ฉือพูดเบาพอให้ยินกันแค่พวกเขา

เริ่นเสี่ยวซู่เพียงมองพวกเขาและหัวเราะ “ฮาๆ ก็บังเอิญจริงนั่นแหละ” สภาพการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาได้แต่บอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

หวังอวี่ฉือถาม “หัวหน้าห้อง ทำไมหมาป่าถึงเอากระต่ายมาให้นายล่ะ เพราะงั้นหัวหน้าห้องถึงบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกมันสินะ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่านักเรียนพวกนี้ฉลาดมากจริงๆ แค่ได้ข้อมูลเล็กน้อยไปก็เดาอะไรๆ ออกแล้ว เขากระซิบ “อย่าพูดเรื่องนี้กับใคร”

อย่างไรถ้าเกิดมีคนรู้ว่าเขามีความเกี่ยวข้องหมาป่าคงเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย ในเมื่อหลี่ชิงเจิ้งยอมกลายเป็นแพะให้เขา เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยินดีจะให้เป็นตามนั้น

ทว่าหวังอวี่ฉือกลับพูดขึ้น “พวกเราต้องให้มันอะไรกลับไปหรือเปล่า”

“คิดว่าไม่ต้องนะ” เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง “พวกเราไม่มีอะไรจะให้อยู่ดี”

คืนเดียวกันนั้น ทั้งหน่วยมานั่งรอบกองไฟหน้าป้อมสังเกตการณ์ กลิ่นหอมของเนื้อแกะย่างตีเข้าจมูกอย่างจัง เมื่อผู้ลี้ภัยกัดไปบนเนื้อพวกเขาก็เริ่มน้ำตาไหลออกมา พวกเขาอดอยากมาหลายวันแล้ว หลังจากถูกเกณฑ์เข้ามาแล้วก็ยังไม่มีใครให้อาหารเลย

หลี่ชิงเจิ้งกับคนของเขานั้นเป็นผู้อพยพที่ถูกเกณฑ์เข้ามาตอนกองกำลังส่วนตัวขยายกำลังพล การกินก่อนหน้าไม่มีปัญญาจะมีเนื้อได้ เขาคร่ำครวญ “จริงๆ ตอนแรกที่รู้ว่าต้องมาประจำการณ์อยู่ที่ป้อมฉันรู้สึกแย่มาก ยังไงที่นี่อยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ต่างกับโดนเนรเทศเลย ถ้าเจออันตรายอะไรอยู่ข้างนอก พวกเราคงได้กลายเป็นตัวรับกระสุนไปแทน”

เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้ว ไม่คิดเลยว่าแม้หลี่ชิงเจิ้งจะไม่ได้แสดงออกมานัก แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ตนเองดีมาก

หลี่ชิงเจิ้งรำพันต่อ “แต่ดูเราตอนนี้สิ มีเนื้อให้กินไม่เลวเลย กลิ่นโคตรหอม!”

“พวกเรามีปืน ออกไปล่าสัตว์คงได้” เริ่นเสี่ยวซู่เสนอ

“แต่พวกเราต้องเก็บปืนไว้รับมือศัตรู” หลี่ชิงเจิ้งปัด

เริ่นเสี่ยวซู่วิเคราะห์ “คิดงี้นะ พวกเรามีปืนแค่สิบกว่ากระบอกเอง ปืนแค่นี้ถ้าศัตรูมาจริงเราจะทำอะไรได้ล่ะ”

“เรื่องนั้นก็จริง” หลี่ชิงเจิ้งคิดตามพักหนึ่งแล้วว่า

พวกนักเรียนที่อยู่ด้านข้างพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีทักษะกล่อมคนไม่ธรรมดาเลย…

หลี่ชิงเจิ้งกำลังแทะขาแพะอยู่ เขาพูดพร้อมยิ้มว่า “ได้ยินมาว่าพวกคนใหญ่คนโตในป้อมปราการมีเนื้อย่างให้กินทุกมื้อ แถมยังต้องเตรียมของอย่างเลมอนกับหอมใหญ่ไว้ด้วย เนื้อสุกแบบปานกลาง ให้น้ำในเนื้อยังอยู่ดี!”

ยุคสมัยนี้ของอย่างเลมอนหายากไม่น้อย ทุกคนเคยได้ยินชื่อผลไม้ชนิดนี้มาก่อนแต่ไม่เคยกินกับปาก พวกเขาได้ยินเพียงแต่ว่ามันเปรี้ยวมาก ส่วนหอมใหญ่นั้นถือว่าเห็นได้โดยทั่วไป

เฉินอู๋ตี๋กระซิบ “อาจารย์ คนจะใช้เลมอนกับหอมใหญ่เพื่อย่างเนื้อไปทำไม”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ฉวยโอกาสบีบเลมอนหรือขยี้หอมใหญ่ใส่ตาคนอื่นและฉกเนื้อมามั้ง?”

เฉินอู๋ตี๋ “???”

คนอื่นรอบๆ มองมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า หลี่ชิงเจิ้งพูด เสียงฟังดูประหลาดใจไม่น้อย “จริงจังปะเนี่ย…”

แต่ทันใดนั้นหลี่ชิงเจิ้งก็เห็นแสงจากหน้ารถมุ่งเข้ามา เขายืนขึ้นทันที “ดึกๆ ดื่นๆ ทำไมมีคนมาไกลขนาดนี้”

รถออฟโรดมุ่งมาหาพวกเขาเพียงคันเดียว จะตะลุยเข้าแดนรกร้างในยุคสมัยนี้น้อยคนจะกล้ามาโดดๆ ปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะเดินทางเป็นขบวนรถมากกว่า การที่มีรถแค่คันเดียวโผล่มาแบบนี้นั้นแปลกมาก

ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์มายืนที่ทางเข้า หลี่ชิงเจิ้งกับทหารนายอื่นที่มีปืนก็สะพายปืนขึ้นมา

พอรถออฟโรดมาถึงทางเข้าป้อมสังเกตการณ์ แสงไฟหน้ารถส่องตรงมายังใบหน้าของพวกเริ่นเสี่ยวซู่ราวกับไม่สนใจว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร

มีคนสองคนกระโดดลงมาจากรถ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นทั้งสองคนสวมเครื่องแบบของสมาคมตระกูลหลี่ แต่ดูแล้วเนื้อผ้าดีกว่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนมาก

ไม่สิ เขาเคยเห็นเนื้อผ้าแบบนี้มาก่อน ผู้บัญชาการของกองพลจะสวมเครื่องแบบอย่างสองคนนี้เลย

พอหลี่ชิงเจิ้งเห็นอินทรธนูก็วันทยหัตน์ “สวัสดีครับผู้พัน พวกเรายินดีต้อนรับตรวจค่ายครับ”

นายทหารทั้งสองผิวพรรณขาวกระจ่างดูสง่างาม รองเท้าหนังเหยียบลงบนหิมะเกิดเสียงสวบ พวกเขาสวมถุงมือสีดำ ทั้งยังดูหนุ่มมาก พอเขาคนหนึ่งเห็นแพะย่างก็ยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าทุกคนจะอิ่มหนำขนาดนี้ หลังจากตรวจมาหลายป้อมสังเกตการณ์ พวกเราเห็นว่าทุกคนลำบากกันมากดีเดียว มีแต่พวกนายที่ดูสบายดีกัน เอาเก้าอี้มาให้พวกเราสองตัว” พูดเสร็จก็เดินเข้าไปในป้อมสังเกตการณ์พร้อมกับนายทหารอีกคน หลี่ชิงเจิ้งให้คนไปขนเก้าอี้มาสองตัวให้นายทหาร ส่วนเขาเตรียมจะนั่งลงกับพื้น

แต่ก่อนที่ก้นเขาจะทันแตะพื้น นายทหารก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ใครให้นั่ง ลุกมายืนด้านข้าง!”

เขาถอดถุงมือออกแล้วตัดแบ่งเนื้อแกะมาเล็กน้อย หลังจากกัดไปคำหนึ่งเขาก็หน้านิ่วคิ้วขมวด “ปรุงไม่ดี รสชาติห่วยแตก! ถุย!”

เริ่นเสี่ยวซู่มองคนผู้นี้คายเนื้อถุยน้ำลายใส่แพะย่าง แบบนี้พวกเขาที่เหลือจะกินต่อได้อย่างไร!

แต่สิ่งที่ที่เขาทำคือ…ห้ามเฉินอู๋ตี๋ เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบ “อย่าเพิ่งใจร้อน ฉันจะฆ่าพวกมันตอนปลอดคนเอง”

แสงจากกองไฟสาดส่อง เริ่นเสี่ยวซู่พลันเห็นประกายสีเงินในนัยน์ตาของนายทหารสองคนนี้ พวกเขาต้องมีเบื้องหลังแน่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะกล้าออกมาผจญกลางดึกได้อย่างไร และดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้พกอาวุธหนักมาด้วย

นายทหารล้างมือด้วยหิมะและสวมถุงมือกลับคืน นายทหารที่เป็นผู้นำกล่าวเสียงนิ่ง “ตั้งใจเฝ้าป้อมสังเกตการณ์ให้ดี ถ้าเห็นว่ามีศัตรูเข้ามาก็อย่าลืมรายงานทันที ถ้ารายงานช้าพวกนายทุกคนจะถูกจับขึ้นศาลทหาร และคำตัดสินเดียวที่จะได้คือการประหาร!”

หลี่ชิงเจิ้งก้มตัวเล็กน้อย พยักหน้าหงึกหงัก “ครับๆ พวกเราจะตั้งใจเฝ้าป้อมสังเกตการณ์ให้ดีครับ”

ชายสองคนพูดจบก็กลับขึ้นรถไป เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม รถเคลื่อนตัวออกปล่อยให้หิมะมีแต่รอยโซ่พันล้อสำหรับพื้นหิมะ

สองคนนั้นทำอารมณ์ดีๆ ของทุกคนมืดครึ้มไปหมด มีคนถาม “พวกเราจะปล่อยพวกเขาไปแบบนั้นเหรอ”

หลี่ชิงเจิ้งได้แต่ยอมแพ้ “ดับไฟและเข้านอนเถอะ ไม่ปล่อยพวกเขาไปแล้วพวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ จะโทษก็โทษชีวิตเวรๆ ของพวกเราเหอะ ยังไงพวกเขาก็เป็นคนของตระกูลหลี่นี่”

“เจ้าแพะนี่เอาไงดี” มีคนเอ่ย

“ตัดส่วนที่โดนน้ำลายออกยังกินได้อยู่” หลี่ชิงเจิ้งว่า ในฐานะที่เป็นผู้อพยพ เรื่องถูกน้ำลายรดหน้าจนแห้งเองนั้นฝังในสันดานไปแล้ว โกรธแค้นขับข้องใจแล้วยังไง ไม่ใช่ว่าต้องมีชีวิตต่อไปหรือ!

จากนั้นเขาก็เดินเข้าบ้านตัวเองไป เริ่นเสี่ยวซู่มองยังคนอื่นๆ แล้วว่า “ทุกคนไปนอนกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพวกเราเก็บกวาดให้”

‘พวกเรา’ ถือว่าคือกลุ่มเล็กๆ ที่มีเขา เฉินอู๋ตี๋ และพวกนักเรียน ซึ่งคนอื่นๆ ก็เข้าใจดี ไหนๆ พวกนักเรียนก็มุ่งมั่นทำงานตลอด เลยไม่มีใครคิดอะไร

พอทุกคนกลับเข้าบ้านพักผ่อนแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ว่า “ค่อยๆ เก็บกวาดไปนะ ฉันออกไปข้างนอกแปป”

พวกนักเรียนได้ยินแบบนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย “หัวหน้าห้องเจ๋งมาก!”

รถออฟโรดขับตามทางบนภูเขาไปช้าๆ ต่อให้รถจะมีโซ่พันล้อแล้ว พวกเขาก็ยังขับเร็วในพื้นหิมะไม่ได้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงขับลงเขาแบบนี้

ทำนองเพลงแจ๊สบรรเลงในรถ นายทหารที่นั่งเบาะหน้าหัวเราะและใส่เทปเพลงอีกม้วน “พอเห็นความกลัวในสายตาคนแล้วถึงจะสัมผัสได้ถึงอำนาจที่สมาคมตระกูลหลี่มีเหนือดินแดนนี้”

“เห็นพวกเขาโกรธแต่ไม่กล้าแสดงออกนี่สนุกไม่เลว”

“หลังกลับไปรอบนี้พวกเราคงทำซิงโครไนซ์ขั้นสองได้แล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราก็จะมีนาโนแมชชีนฉีดเข้าร่างมากขึ้น ดูเหมือนว่าตอนนี้คนตระกูลหลี่ในป้อม 107 จะถึงกระบวนการขั้นสองกันหมด”

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พวกเราแค่เพิ่งเริ่ม”

สมาชิกตระกูลหลี่ล้วนมากสติปัญญา พวกเขาได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี และเข้าใจใบหน้าที่แท้จริงที่สุดของโลกใบนี้ ถ้าถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม พวกเขาก็คือผู้ที่เกิดในกรุงโรม

สมาคมตระกูลหลี่สร้างปีศาจอย่างหลี่เสินถานขึ้นมาได้ พวกเขาก็ย่อมสร้างปีศาจตนอื่นได้อีก ความแตกต่างคือฝั่งหนึ่งโดดเดียว แต่อีกฝ่ายไม่ใช่

ตอนที่คุยกันอยู่นั้นก็มีอะไรหล่นมาจากข้างบน พวกเขาแปลกใจ แต่ก็ตอบโต้ทันควันด้วยการเปิดประตูและกระโดดออกนอกรถ!

เกิดเสียงดังกึกก้อง ร่างแยกเงาพุ่งลงมาบดขยี้กลางตัวรถ ประกายไฟจากดาบทมิฬที่ตัดผ่านรถกลางรัตติกาลนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ!

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบมองภาพนี้จากเนินเขา ที่เขาประหลาดใจคือนายทหารทั้งสองนายโต้ตอบได้เร็วกว่าที่เขาคิด กระโดดลงจากรถมาที่เนินเขาสมควรมีอาการกระดูกแตกหักหรืออาการบาดเจ็บอื่นบ้าง แต่พวกเขายังครบสมบูรณ์ดี!

นายทหารทั้งสองยืนขึ้น ปัดเศษหิมะออกจากตัว คนหนึ่งแค่นเสียง “คนจากป้อมสังเกตการณ์?”

พวกเขาไม่โง่ คนที่กล้ามาโจมตีพวกตนยามนี้ต้องเป็นคนจากป้อมสังเกตการณ์แน่นอน แต่พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าป้อมสังเกตการณ์โทรมๆ นั่นจะมีผู้มีพลังพิเศษอยู่ด้วย

นายทหารถอดถุงออก สัมผัสถึงคลื่นสีเงินไหลไปตามกระแสเลือด นาโนแมชชีนรวมตัวขึ้นมาตามจิตสั่งการจนเลือดเขากลายเป็นสีเงิน

“นายจะเป็นผู้มีพลังพิเศษคนแรกที่ได้เผชิญพลังยิ่งใหญ่ของพวกเรา ควรรู้สึกเป็นเกียรติ…”

เขาสะอึกเงียบไป มองทันเพียงเงาร่างสีดำหายวูบไปจากหลังคารถและโผล่มาคว้าคอตนเอง เพียงบิดมือเล็กน้อย คอก็หักคาที่

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกเสียดายจริงๆ ที่หลัวหลานไม่อยู่เห็นภาพนี้ บอกเขาแล้วว่าอย่าไปเชื่อเรื่องงมงายให้มันมากนัก

ร่างแยกเงาหายวูบอีกครา นายทหารอีกนายหันตัวคิดหนีเข้าไปในแดนรกร้าง แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกร่างแยกเงาไล่ตามหลังมาทัน

ร่างแยกเงาส่งหมัดกระแทกไปที่กระดูกสันหลังของคู่ต่อสู้จนเกิดเสียงดังกร๊อบ เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่ากระดูกสันหลังมีพลังพิเศษบางอย่างเคลื่อนตัวอย่างหนักหน่วงเพื่อพยายามกระจายพลังของหมัดนี้ ทว่าพลังของร่างแยกเงาสูงล้ำเกินไป!

ก่อนที่คู่ต่อสู้จะทันได้สร้างเกราะป้องกัน มันก็สลายไปเสียแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ เดินทางออกมาจากป่า เขาพบว่าลำธารบนเนินเขาเหมาะจะทิ้งศพกับซากรถ แต่จะให้ร่างแยกเงาแยกรถมามันจะลำบากไปหน่อย อย่างไรรถก็หนักเป็นตัน

ตอนสู้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ใช้ดาบเลยเพราะกลัวว่าจะทิ้งรอยเลือดไว้ แต่อีกฝ่ายกลับรับการโจมตีครั้งเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนแรกเห็นสองคนหยิ่งยโสโอหังเสียเหลือเกินจนเริ่นเสี่ยวซู่ไม่กล้าประมาท ไม่นึกเลยว่าหมัดตัวเองจะดุดันขนาดนี้

ก็เหมือนกับตอนที่เขาต้องรับมือคนของก่อนอรุณ เขากะจะต่อสู้จนดุเดือดเลือดสาด แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น คู่ต่อสู้ก็ล้มลงไปเสียแล้ว…

บรรยากาศอุตส่าห์เข้มข้น กลับต้องอารมณ์เสียอย่างนั้น…

แต่วินาทีให้หลัง เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นประกายสีเงินยวงซึมออกมาจากผิวของทั้งสองร่าง มันราวกับถูกเจตจำนงของเขาชี้นำ

เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจ ดูเหมือนว่าเขา…จะควบคุมมันได้