ส่วนที่ 7 สลับตัวคุณหนูไฮโซ ตอนที่ 29-1 สลับตัวคุณหนูไฮโซ (จบ)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

คืนอันหนาวเหน็บของต้นฤดูใบไม้ผลิสายลมยังคงหนาวไปจนถึงกระดูก

 

 

ภายในย่านเมืองเก่าทางตอนเหนือของเมือง

 

 

D เวลายังไม่ถึงสองทุ่มท้องฟ้าก็มืดตึ๊ดตื๋อ

 

 

คนเดินถนนบางตา ร้านค้าสองข้างทางก็ปิดร้านเลิกงานกันไปก่อนแล้ว

 

 

โคมไฟส่องถนนที่ดูขมุกขมัวฉายให้เห็นเงายาว ๆ

 

 

ที่สะท้อนกลับด้านอยู่ตรงถนนอย่างเดียวดาย

 

 

เงาผอมบางเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดที่เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว

 

 

จากนั้นก็มีรถส่วนบุคคลแล่นจากมุมถนนเข้ามาอย่างช้า ๆ

 

 

พอเห็นรถคันนั้นเงาร่างนั่นก็ดูราวกับจะตกใจกลัวและพุ่งเข้าไปในซอยตันข้าง ๆ

 

 

ที่ไม่มีผู้คน

 

 

ภายในซอยไม่มีโคมไฟ

 

 

ข้างกำแพงกองพูนด้วยขยะที่ทิ้งกันเป็นประจำ และใกล้ ๆ

 

 

กองขยะก็เป็นที่พักพิงชั่วคราวของสุนัขจรจัดสองตัว

 

 

“โฮ่ง โฮ่ง! โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”

 

 

จู่ๆ

 

 

ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญพุ่งเข้ามาในซอยอย่างกะทันหัน

 

 

สุนัขจรจัดที่อยู่ในซอยตื่นตระหนกตกใจ พวกมันอดไม่ได้ที่จะเห่าตะโกนเสียงดัง

 

 

แล้วเงาร่างที่ดูร้อนรนนั่นก็ยกเท้าเตะส่ง ๆ ออกไปในความมืดสองสามที “อย่าเห่า!

 

 

อย่าเห่านะ!”

 

 

เป็นเสียงแหบต่ำของผู้หญิงที่จงใจกดเสียงให้เบาลง

 

 

สุนัขจรจัดสองตัวดูแล้วไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่

 

 

พอโดนเตะถูกก็ล้มลงไปกองกับพื้นพลางร้องเอ๋ง ๆ ออกมา

 

 

“ก็บอกพวกเธอแล้วไงว่าอย่าเห่า”

 

 

เจี่ยงโยวกระชับเสื้อคลุมบาง

 

 

ๆ ตัวนั้นให้แน่นหนาขึ้น เธอขมวดคิ้วรู้สึกเหมือนที่ปลายเท้าจะเหยียบถูกอะไรเข้า

 

 

นี่คือ…

 

 

พอสายตาของเจี่ยงโยวเริ่มคุ้นชินกับความมืดในซอยแล้ว

 

 

เธอก็ก้มศีรษะลงไปมองใต้เท้าของตัวเอง ดวงตาเธอเบิกกว้างขึ้น

 

 

เธอ…เหยียบแขนของคนผู้หนึ่งเข้า?

 

 

ช่วงที่กำลังสับสนอลหม่าน

 

 

เจี่ยงโยวก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งออกไปทันที

 

 

การตายของเวินเหวินเฮ่าได้ทิ้งเงามืดที่ไม่อาจลบล้างในใจเธอไปแล้ว

 

 

คืนนั้นภายในห้องใต้ดินอันมืดมิดนั่น

 

 

เธอถูกเวินเหวินเฮ่าที่กำลังเสียสติทำร้ายสารพัดเป็นเวลาหลายชั่วโมง

 

 

ประจวบกับตอนที่เธอกำลังสิ้นหวังและนึกว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ในนั่นแล้วนั้น จู่ ๆ

 

 

เวินเหวินเฮ่าก็ล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าซีดเผือก เขากลิ้งไปมาอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้น

 

 

ขณะที่เวินเหวินเฮ่ากำลังดิ้นอยู่กับพื้น

 

 

เจี่ยวโยวก็อาศัยจังหวะหยิบมีดที่พื้นขึ้นมาตัดเชือก

 

 

เธอในตอนนั้นบาดเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว แต่เพื่อเอาชีวิตรอดเธอจึงดึงพลังที่ซ่อนเร้นของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่

 

 

เพียงแต่ตอนที่เธอกำลังหลบหนีอยู่นั้น จู่ ๆ

 

 

เวินเหวินเฮ่าที่มีเลือดไหลไม่หยุดก็เข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้

 

 

ระหว่างที่คนสองคนกำลังยื้อยุดกันอยู่

 

 

เจี่ยงโยวก็ใช้มีดบนมือแทงทะลุหัวใจเวินเหวินเฮ่า

 

 

เลือดอุ่นร้อนกระเด็นเข้าหน้าเจี่ยงโยว

 

 

เวลานั้นราวกับโลกทั้งใบเป็นสีเลือด

 

 

เธอเห็นเวินเหวินเฮ่าเบิกตากว้างจากนั้นก็หมดลมหายใจไปทีละนิด ๆ ต่อหน้าเธอ

 

 

เขาตายแล้ว? ฉัน…ฆ่าคนลงไปแล้ว?

 

 

ฆ่าคน

 

 

เจี่ยงโยวไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะลงมือฆ่าคนได้

 

 

แต่ว่า…เธอไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจ

 

 

“ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉัน”

 

 

เจี่ยงโยวลุกลี้ลุกลนโยนมีดทิ้งไป

 

 

แล้วเดินโซซัดโซเซออกจากคฤหาสน์ของเวินเหวินเฮ่า

 

 

เจี่ยงโยวรู้ว่าตัวเองไม่อาจกลับบ้านได้ เธอจึงกดเงินจำนวนหนึ่งที่ตู้ ATM ของธนาคารเป็นสิ่งแรก จากนั้นค่อยหาทางหลบซ่อนตัว…

 

 

ขณะนี้ตำรวจในเมือง

 

 

D ได้ออกหมายจับตัวเธอแล้ว

 

 

เจี่ยงโยวจึงพยายามใช้เงินก้อนนั้นอย่างประหยัดและเช่าพักอยู่ในห้องใต้ดินที่เก่าโทรมของเมืองเก่า

 

 

เธอต้องรอให้เป็นเวลากลางคืนเท่านั้นถึงจะกล้าออกมาเดินรับลม

 

 

ซื้อของใช้ประจำวันบางส่วนได้

 

 

ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอเรื่องทำนองนี้ในซอยที่ไม่มีใครเอ่ยถึงแห่งนี้ได้

 

 

คนผู้นั้นตายหรือยังนะ

 

 

ถ้าหากตายแล้วล่ะก็พรุ่งนี้จะมีคนมาพบเข้าหรือเปล่า

 

 

ตำรวจจะสาวเรื่องมาเจอเธอถึงที่นี่ไหม

 

 

เจี่ยงโยวคิดอะไรไปมากมายอยู่ช่วงหนึ่ง

 

 

จากนั้นเธอก็รั้งเท้าที่เตรียมจะจากไปเอาไว้ ไม่

 

 

ไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

 

 

เธอเป็นผู้บริสุทธิ์

 

 

เธอไม่ได้ฆ่าเวินเหวินเฮ่า เป็นเวินเหวินเฮ่าที่ต้องการจะฆ่าเธอ

 

 

เธอป้องกันตัวต่างหาก

 

 

เธอไม่อยากติดคุก

 

 

เธอไม่อยากถูกจับตัว เธอเป็นผู้บริสุทธิ์นะ

 

 

พอคิดได้อย่างนี้เจี่ยงโยวก็กัดฟันหมุนตัวกลับไปยังจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้

 

 

เธอโค้งตัวออกแรงดึงแขนข้างนั้นของคนที่ดูท่าจะตายแล้วคนนั้นออกมา

 

 

ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจี่ยงโยวเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวและดูลึกล้ำคนหนึ่ง

 

 

อาจกล่าวได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อมาก และเวลานี้ร่างกายของเขายังอุ่นอยู่

 

 

เขายังมีลมหายใจ!

 

 

เขายังมีชีวิตอยู่

 

 

ไม่ใช่คนตาย

 

 

ในที่สุดเจี่ยงโยวก็ถอนหายใจออกมา

 

 

พอเห็นเลือดบนอกชายหนุ่มและเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่เห็นเด่นชัดว่ามีราคานั่นสวมอยู่บนข้อมือเขา

 

 

เจี่ยงโยวก็ลังเลไปพักหนึ่ง

 

 

หากเอานาฬิกาเรือนนี้ไปขายที่ตลาดมืดคงได้เงินจำนวนไม่น้อย

 

 

แต่การหยิบไปโดยไม่ถามไถ่ก็คือการขโมย

 

 

ถึงแม้เธอจะถูกหมายจับอยู่

 

 

แต่พอคิดไปว่าตัวเองเป็นถึงเจี่ยงโยวผู้ซื่อสัตย์ทั้งคำพูดและการกระทำจึงไม่ยอมให้ตัวเองทำตัวเป็นขโมยในเวลานี้ได้

 

 

ลังเลอยู่พักหนึ่งเจี่ยงโยวก็กระพริบตา

 

 

สุดท้ายเธอตัดสินใจออกแรงยกชายหนุ่มที่หมดสติอยู่พาดหลังของตัวเอง

 

 

จากนั้นก็ขยับเดินพาเขาออกจากซอยไปอย่างยากลำบาก

 

 

ในเมื่อคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่

 

 

เธอก็จะช่วยชีวิตเขา ถ้าหากตัวเขามีมูลค่าสูงจริง ๆ

 

 

เธอในฐานะผู้มีพระคุณช่วยชีวิตก็คงไม่ขาดทุน

 

 

เกิดเขาเป็นผู้มีอำนาจไม่แน่เขาอาจจะยังช่วยพลิกคดีให้เธอก็เป็นได้?

 

 

เจี่ยงโยวโอบกอดความรู้สึกอันซับซ้อนนี้แล้วแบกชายผู้นั้นไปที่บ้านของตัวเอง

 

 

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก

 

 

เพื่อช่วยชีวิตเขาเจี่ยงโยวก็เลยต้องหาหมอเถื่อนผู้หนึ่งโดยเอาเงินที่ตนมีอยู่ทั้งหมดมาจ่ายเป็นค่ารักษา

 

 

หลังการผ่าตัด

 

 

ชายหนุ่มยังคงหมดสติดังเดิม แต่สีหน้าเขาดูดีขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

พอถึงคืนวันที่สามเจี่ยงโยวที่อยู่ในสภาพหมดตัวก็หิวจนทนไม่ไหว

 

 

เธอมองชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงไม้ภายในห้องอันมืดมิดและอับชื้น

 

 

โดยมีนาฬิกาข้อมือประดับเพชรเรือนนั้นของเขาที่ยังคงส่องประกายระยิบระยับอยู่ในความมืด

 

 

เจี่ยงโยวกลืนน้ำลาย

 

 

สายตาลังเลเล็กน้อย

 

 

“โครกคราก”

 

 

ท้องร้องอย่างกลั้นไม่อยู่อีกแล้ว

 

 

เจี่ยงโยวที่หิวจนหัวหมุนไม่มีเรี่ยวแรงไปทั้งตัวในที่สุดก็ค่อย ๆ

 

 

ลุกขึ้นเดินทีละก้าว ๆ ไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม นิ้วเธอแข็งทื่อแต่สุดท้ายก็แตะไปที่นาฬิกาข้อมือมีราคาเรือนนั้น

 

 

“ฉัน…ฉันหิวมากจริง ๆ นะคะ ฉันขอเอามันไปจำนำหน่อยนะ แบบนี้ทุกคนก็จะได้มีอะไรทาน

 

 

คุณเปลี่ยนยาทานข้าวก็ต้องใช้เงินใช่ไหมล่ะคะ

 

 

ถ้าคุณไม่พูดก็แสดงว่าคุณเห็นด้วยแล้วนะคะ”