เล่ม 8 เล่มที่ 8 ตอนที่ 214 ความลี้ลับ วันเกิดเยี่ยโยวเหยา

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“อืม… ” เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาข้างหู

ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น

ทว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้ทำอันใด

อาการตื่นเต้นของซูจิ่นซีค่อยๆ ลดลงภายใต้บรรยากาศที่นิ่งเงียบเช่นนี้ ขณะที่นางกำลังจะลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาพูดอยู่ข้างหูว่า “ชายาที่รัก เมื่อครู่ที่เจ้าเอ่ยเช่นนั้น หมายความว่าอย่างไรหรือ? ”

ซูจิ่นซีหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันใด จู่ๆ แก้มก็ร้อนผ่าว

“เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… เหตุใดท่านถึงร้ายกาจเช่นนี้? ”

“ข้าร้ายกาจตรงไหน? ”

“เยี่ยโยวเหยา! ” ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ” เสียงหัวเราะร่าเริงของเยี่ยโยวเหยาดังอยู่ข้างหู

หลังจากสิ้นเสียงหัวเราะ เยี่ยโยวเหยาก็ดึงร่างของซูจิ่นซีเข้ามา เขาโอบศีรษะนางเข้าสู่อ้อมกอดของตน “นอนเถิด! ”

นอนเถิด?

เท่านี้เองหรือ?

ซูจิ่นซีไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยาเท่าใดนัก นางยังคงนอนเกร็งไปทั้งตัว ไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด

จนกระทั่งเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ ดังขึ้นเหนือศีรษะนาง ใจของซูจิ่นซีจึงเริ่มผ่อนคลายลง นางเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงปลายคางที่สวยงามของเยี่ยโยวเหยา เมื่อมองขึ้นไปอีกก็เห็นดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ภายในใจจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย

ในขณะเดียวกัน ไม่รู้เหตุใด ความรู้สึกว่างเปล่าจึงล่องลอยอยู่ภายในจิตใจ

ต้องพูดว่า เยี่ยโยวเหยามีใบหน้าที่หล่อเหลาจริงๆ ใบหน้าคมคายแม้จะเย็นชาเคร่งขรึม ทว่าไม่ใช่ลักษณะที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว และไม่ได้หล่อเหลาโดดเด่นเหมือนจิ่วหรงที่เป็นดั่งเทพมาจุติยังโลกมนุษย์ ทว่าเป็นเหมือนสิ่งที่เทพเจ้าได้แกะสลักออกมาอย่างประณีต งดงามไม่เหมือนผู้ใดในโลกใบนี้

ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยโยวเหยายังมีบุคลิกเงียบขรึม ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดาใจได้ อีกทั้งภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสูงศักดิ์ นางรู้สึกว่าหากใช้สำนวนที่งดงามกว่านี้มาพรรณนา ก็ยังเป็นการดูหมิ่นต่อเขา

บนโลกใบนี้เหตุใดถึงมีผู้ที่รูปงามได้ถึงเพียงนี้ เขาเป็นเหมือนกับขนมสอดไส้ที่หล่นลงมาจากฟ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ และตกกระแทกลงบนศีรษะของซูจิ่นซี

ในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาที่สุกสกาวของซูจิ่นซีเฝ้ามองเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบงัน นางรู้สึกราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง

หากวันเวลาไม่หยุดหมุน ท้องฟ้าไม่เปลี่ยนผัน คนไม่แก่ชรา ชีวิตไม่หยุดหายใจ คงจะดีหากชีวิตนี้ นางได้จ้องมองเขาเงียบๆ เช่นนี้

ดวงตาทั้งคู่ที่เฝ้ามองเยี่ยโยวเหยาเริ่มอ่อนล้า ในที่สุดก็ปิดสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังอย่างสม่ำเสมอ

ในค่ำคืนที่มืดมิด เยี่ยโยวเหยาที่เดิมทีหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้น

เขาขยับซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตนอย่างนุ่มนวล หาตำแหน่งที่ทำให้นางรู้สึกสบาย

ศีรษะของซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมอกของเยี่ยโยวเหยาขยับไปมาเล็กน้อย นางถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อนางนอนได้สบายขึ้นก็ผล็อยหลับไป

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีเงียบๆ ใบหน้าไม่มีอาการง่วงนอนแม้แต่น้อย เขาฟังเสียงซูจิ่นซีที่ละเมอพูดในความฝัน มุมปากพลันยกยิ้มเล็กน้อย

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าผู้ที่มีอำนาจในใต้หล้า เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถเรียกเฆมเรียกฝนบนฟากฟ้า สามารถฆ่าฟันศัตรูได้อย่างเลือดเย็นแบบโยวอ๋อง จะมีวันที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นนี้มอบให้สตรีนางหนึ่งได้

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อซูจิ่นซีตื่น เยี่ยโยวเหยาก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว ผ้าปูที่นอนด้านข้างนั้นเย็นเฉียบ เยี่ยโยวเหยาคงตื่นนอนสักพักหนึ่งแล้ว

บ่าวรับใช้เดินเข้ามาในห้อง นางนำสิ่งของที่ใช้สำหรับชำระล้างใบหน้ามาปรนนิบัติรับใช้ซูจิ่นซีหลังตื่นนอน

“ท่านอ๋องเล่า? ” ซูจิ่นซีถาม

“ท่านอ๋องกำลังฝึกซ้อมกระบี่เพคะ ท่านสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติรับใช้พระชายาหลังตื่นนอนเพคะ”

ฝึกกระบี่?

ก่อนหน้านี้แม่นมฮวาเคยบอกซูจิ่นซีว่า อาวุธของเยี่ยโยวเหยาคือกระบี่ วิชากระบี่ของเขาร้ายกาจมาก ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้

ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่เคยเห็นท่วงท่าของเยี่ยโยวเหยาตอนฝึกกระบี่มาก่อน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่แคว้นจงหนิง นางก็ไม่เคยเห็นเยี่ยโยวเหยาประมือกับผู้ใด ครั้งล่าสุดที่เห็นคือที่หุบเขาเทพโอสถและหุบเขาร้อยบุปผา

ในตอนที่เยี่ยโยวเหยาลงมือกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ใช้อาวุธ เขาต่อสู้ด้วยมือเปล่า ส่วนตอนที่ต่อสู้กับเหล่าองครักษ์สตรีชุดเขียวที่หุบเขาร้อยบุปผา แม้เยี่ยโยวเหยาจะใช้กระบี่ ทว่าก็เป็นสถานการณ์ความเป็นความตายที่คับขัน ซูจิ่นซีจึงไม่ได้ใส่ใจดูวิชากระบี่ของเยี่ยโยวเหยาว่าเป็นอย่างไร?

จู่ๆ นางก็คิดอยากจะไปชมเยี่ยโยวเหยาฝึกกระบี่

“ท่านอ๋องฝึกกระบี่อยู่ที่ใด? ” ซูจิ่นซีถาม

“ในป่าดอกเหมยหลังภูเขาเพคะ”

ซูจิ่นซีรีบล้างหน้าแต่งตัว จากนั้นก็ให้สาวใช้พานางไปที่ทุ่งดอกเหมยหลังตำหนัก

ซูจิ่นซีพบเยี่ยโยวเหยากำลังฝึกกระบี่อยู่จริงๆ นางกลัวว่าจะรบกวนเยี่ยโยวเหยา จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป ทำเพียงยืนดูอยู่ห่างๆ

เยี่ยโยวเหยาอยู่ในชุดสีน้ำเงิน ในมือถือกระบี่ยาวส่องประกายแสงเย็นเฉียบ ท่วงท่างามสง่า วิถีแห่งกระบี่ดั่งสายรุ้ง ทั้งร่างหลอมรวมเข้ากับทะเลดอกเหมย ผสานกับหิมะขาวท่ามกลางดอกเหมยสีแดง

แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจวรยุทธ์ ทั้งยังไม่รู้จักการใช้กระบี่ ทว่านางยังดูออกว่าวิชากระบี่ของเยี่ยโยวเหยานั้นมหัศจรรย์ไร้ผู้ใดเปรียบ

“ท่านอ๋องเรียนวิชากระบี่กับผู้ใดหรือ? ” ซูจิ่นซีอดถามไม่ได้

หญิงรับใช้ข้างกายมองซูจิ่นซีด้วยสายตาตกตะลึง ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย พลางพูดอย่างภูมิใจว่า “เมื่อก่อนนี้บ่าวเคยได้ยินแม่นมฮวาพูดว่า อาจารย์ของท่านอ๋องมาจากสำนักกระบี่คุนหลุน ทว่าสำนักกระบี่คุนหลุนนั้นแบ่งออกเป็นหลายสาย อาจารย์ของท่านอ๋องอยู่สายใดนั้น บ่าวก็ไม่ทราบเพคะ”

สำนักกระบี่คุนหลุน?

ซูจิ่นซีไม่ค่อยแน่ใจนัก

“ก่อนหน้านี้ แม่นมฮวาเคยมาที่นี่บ้างหรือไม่? ”

“เมื่อก่อน ช่วงฤดูหนาวของทุกปี เนื่องในโอกาสวันเกิดของท่านอ๋อง ท่านอ๋องมักจะมาอยู่ที่นี่สองสามวัน เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่มาก็จะมีแม่นมฮวาตามมารับใช้ด้วยตลอดเพคะ”

“วันเกิดของท่านอ๋องหรือ? ” ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

หญิงรับใช้แสดงสีหน้าตกใจ นางพูดว่า “พระชายา ท่านไม่ทราบหรือเพคะ? วันนี้เป็นวันเกิดของท่านอ๋อง! ”

วันนี้เป็นวันเกิดของเยี่ยโยวเหยา?

บุรุษผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยบอกอันใดนางเลย!

ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาซึ่งกำลังฝึกกระบี่ตรงที่ทะเลดอกเหมยห่างออกไป

“พระชายาเพคะ? ”

หญิงรับใช้เห็นว่าซูจิ่นซีไม่พูดอันใดอยู่ครู่ใหญ่ จึงร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง

“กลับกันเถิด! ”

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและหันหลังเดินกลับไป

แม้หญิงรับใช้จะไม่รู้สาเหตุ ทว่านางก็ไม่ได้พูดจาให้มากความ นางรีบหันหลังกลับตำหนักไปพร้อมกับซูจิ่นซี

“มีเทียนเหลือบ้างหรือไม่? ” ซูจิ่นซีถาม

“มีเพคะ ทว่ามีหลายชนิด ไม่ทราบว่าพระชายาต้องการเทียนชนิดใดเพคะ? ”

“พาไปดูได้หรือไม่! ”

หญิงรับใช้พาซูจิ่นซีไปยังห้องเก็บของ ซูจิ่นซีเลือกเทียนจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเลือกของอย่างอื่นอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เดินกลับไป

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาฝึกกระบี่เสร็จก็กลับมา

“พระชายาตื่นแล้วหรือ? ”

“ทูลท่านอ๋อง พระชายาตื่นแล้วเพคะ”

เยี่ยโยวเหยากำลังจะเดินเข้าห้องโถงใหญ่ ทันใดนั้นหญิงรับใช้สองนาง แม้จะมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ทว่ากลับยืนขวางหน้าเยี่ยโยวเหยาอย่างกล้าหาญ “ท่านอ๋อง โปรดยกโทษให้บ่าวด้วยเพคะ! ท่านอ๋อง พระชายาทูลว่า หลังจากท่านอ๋องกลับมา ให้เชิญท่านไปพักที่ตำหนักด้านข้าง วันนี้… วันนี้ ที่นี่พระชายาจับจองไว้แล้วเพคะ”

ครึ่งประโยคหลังเป็นคำพูดเดิมของซูจิ่นซี หากเป็นบรรดาหญิงรับใช้ คงไม่กล้าพูดจาเช่นนี้กับเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน

“จับจองแล้วหรือ? ”

แววตาของเยี่ยโยวเหยาแสดงความงุนงงเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมองไปยังประตูที่ปิดสนิท

“ท่าน… ท่านอ๋อง สิ่งของจำเป็นของท่านทั้งหมด ทั้งยังมีจดหมายที่องครักษ์เงาส่งมา พระชายาได้ช่วยท่านย้ายไปที่ตำหนักด้านข้างด้วยตนเองแล้วเพคะ”

สตรีนางนี้ ต้องการทำอันใดกันแน่?

นี่คือการยึดครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนใช่หรือไม่?

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็หันหลังเดินกลับไปยังตำหนักด้านข้าง

หญิงรับใช้ทั้งสองนางที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เมื่อครู่นั้นพวกนางตื่นเต้นจริงๆ ตื่นเต้นมาก

เกรงว่าท่านอ๋องจะโกรธแล้วบุกเข้าไป อย่างนั้นแผนการทั้งหมดของพระชายาคงสูญเปล่า