ตอนที่ 269 เป็นหัวหน้าทีมย่อยชั่วคราว

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก หรือว่ามั่วหร่านอีจำตนได้?

 

 

คิดเช่นนี้พลางอดยกตามองข้ามไปไม่ได้ กลับพบว่ามั่วหร่านอีเชิดคางขึ้นแผ่วเบา เดินตรงผ่านไปแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ พริบตาเดียวผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว นางยังคงนิสัยเช่นเดิม

 

 

ทว่าต่อจากนั้นกลับขมวดคิ้วขึ้นมา ปีนั้นท่านหัวหน้าตระกูลใช้คาถาลับเคลื่อนย้ายมั่วหร่านอีและหู่โถวไป ไยนางถึงกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ เช่นนั้นหู่โถวล่ะ พวกเขาไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่เดียวกันหรือ หรือว่า หู่โถวก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารด้วย?

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป เดินสิ” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินเหม่อมองทิศทางที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารกลุ่มนั้นจากไป จึงกระตุกแขนเสื้อนาง

 

 

มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา ถอนใจเบาๆ ว่า “ไปเถอะ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองทางนี้เงียบๆ ปราดหนึ่ง ออกคำสั่งให้ทุกคนเก็บกวาดสนามรบ หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเลือกย้อนกลับไปอย่างเฉียบขาด

 

 

ศึกครั้งนี้ ศิษย์เหยากวงสูญเสียหกคน บาดเจ็บสามคน ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ยังตัวเป็นๆ พริบตาเดียวก็หายไปหกคนแล้ว จะว่าไม่โหดร้ายไม่ได้

 

 

แม้พูดว่านี่เป็นศึกครั้งแรก ความสูญเสียต้องมากกว่าทีมย่อยที่ประสบการณ์ล้นหลามพวกนั้นแน่นอน แต่สัดส่วนเช่นนี้ยังคงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เก็บกวาดสนามรบแต่ละคนรู้สึกใจหาย

 

 

เพียงสิ่งเดียวที่เป็นการปลอบประโลม ก็คือทีมย่อยสามสิบกว่าคนของฝ่ายตรงข้าม นอกจากไม่กี่คนที่หนีรอดไปได้ ผู้บำเพ็ญเพียรมารทั้งหมดยี่สิบกว่าคนรวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งล้วนถูกฆ่าจนหมด ก็นับได้ว่าชนะศึกแล้ว

 

 

ทำร้ายศัตรูหนึ่งพันบาดเจ็บเองแปดร้อย นี่ก็คือสนามรบ มั่วชิงเฉินเหมือนกับคนอื่นๆ ตัดหูซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรมารคนหนึ่งออกอย่างสงบ ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่ประสบในวันนี้ก็คือชีวิตต่อจากนี้ สิ่งเดียวที่ตนสามารถทำได้ก็คือปรับตัวให้ได้และเติบโตขึ้น

 

 

“อะ อาจารย์อาเยี่ย ข้าไม่ไหวแล้ว…” หรวนหลิงซิ่วร่างกายเซไปเซมา มองเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสาร จากนั้นก็เอียงร่างกายไปทางเขา

 

 

“ศิษย์หลานต้วน รบกวนเจ้าดูแลศิษย์หลานหรวนที” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างสงบ จากนั้นเดินหน้าไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

“ศิษย์พี่หรวน เจ้าคงไม่เป็นไรนะ?” ต้วนชิงเกอเอ่ยอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

 

 

หรวนหลิงซิ่วสองแก้มแดงเรื่อ เปลี่ยนความอับอายเป็นความโกรธถลึงตาใส่ต้วนชิงเกอปราดหนึ่ง แล้วจากไปอย่างโมโห

 

 

“ศิษย์น้องลั่วหยาง นี่พวกเจ้า…” กลับถึงที่พัก เยี่ยเทียนหยวนนำพาทุกคนไปหานักพรตคงฉวนโดยตรง นักพรตคงฉวนเห็นสภาพของทุกคนแล้วอดตกใจไม่ได้ เอ่ยต่อว่า “นี่พวกเจ้าพบผู้บำเพ็ญเพียรมารเข้าหรือ?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าเงียบๆ

 

 

หายไปหกคน!

 

 

นักพรตคงฉวนกวาดมองปราดหนึ่งในใจก็รู้แล้ว รีบปลอบใจว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง พวกเจ้าสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่แดนวิญญาณปั่นป่วนครั้งแรก เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ก่อนนี้ไม่นานมีทีมที่มาใหม่พบผู้บำเพ็ญเพียรมารเข้า สูญเสียคนไปครึ่งหนึ่งทันที เฮ้อ ว่าไปแล้วระยะนี้ทีมย่อยที่ออกไปค้นหาไม่ค่อยได้พบผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้ว พวกเจ้านี่ช่างโชคไม่ดีจริงๆ” พูดถึงตรงนี้พลางส่ายศีรษะถอนใจทีหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้น ถุงเล็กใบหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่คงฉวน นี่คือหูซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายศัตรูที่ได้มา”

 

 

เต๋ามารสองฝ่ายปะทะกัน ก็ใช้หูซ้ายในการพิสูจน์จำนวนการฆ่าศัตรู เพราะหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าระดับสร้างรากฐาน ถอดร่างเปลี่ยนกระดูกนับว่าได้ก้าวเข้าประตูเซียนอย่างแท้จริงแล้ว โครงสร้างในร่างกายย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง สะท้อนถึงภายนอกร่างกาย หลังหูซ้ายก็จะเกิดลายยันต์ขึ้น ตามตบะที่สูงขึ้น รูปร่างของลายยันต์ก็จะเปลี่ยนแปลงอย่างสอดคล้องกัน ดังนั้นไม่มีอะไรเหมาะสมกว่าการใช้หูซ้ายในการพิสูจน์จำนวนการฆ่าศัตรูอีกแล้ว

 

 

นักพรตคงฉวนรับถุงเล็กมาแล้วกวาดมองปราดหนึ่งอย่างตามสบาย จากนั้นกลับต้องตกใจหน้าถอดสี หลุดปากออกมาว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้คนหนึ่ง” แล้วมองหูคนแน่นขนัดในถุงอีกปราดหนึ่ง สายตาที่มองไปที่ทุกคนยิ่งตกตะลึง

 

 

จำนวนหูคนในถุงนี้ อย่างน้อยก็ต้องมียี่สิบกว่าอัน เกินจำนวนคนของผู้บำเพ็ญเพียรในทีมนี้แล้ว พวกเขาทำได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้นำทีมฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางด้วย

 

 

นึกถึงตรงนี้ สายตาที่นักพรตคงฉวนมองเยี่ยเทียนหยวนเทียบกับแต่ก่อนแล้วแตกต่างไปมาก

 

 

แม้เขารู้ว่านักพรตลั่วหยางผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะท่านหนึ่ง ทว่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่เพิ่งก้าวเข้าระดับก่อแก่นปราณคิดจะสู้ชนะผู้บำเพ็ญเพียรที่คุณสมบัติธรรมดา กลับก่อแก่นปราณมานานก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายอยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางแล้ว

 

 

ดูท่าทางแล้ว นักพรตลั่วหยางผู้นี้ไม่ควรดูถูกจริงๆ!

 

 

นักพรตคงฉวนมีหน้าที่จัดการเรื่องประจำวันในหุบเขาลั่วเยี่ยน ย่อมดูแลการแจกจ่ายหินวิญญาณ เห็นดังนั้นก็ล้วงหินวิญญาณออกมาถุงหนึ่งว่า “ศิษย์น้องลั่วหยาง นี่คือรางวัลของพวกเจ้าในครั้งนี้ ทีมของพวกเจ้านี้ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางได้คนหนึ่ง ข้ายังต้องไปรายงานสักหน่อย หลังจากนั้นค่อยไปหาเจ้าปรึกษา”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพาทุกคนกลับที่พัก แล้วแจกจ่ายหินวิญญาณที่ได้มาลงไป ทุกคนมองดูถุงที่เก็บหินวิญญาณในมือ เมื่อนึกถึงว่านี่แลกมาด้วยชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันหกคน ความตื่นเต้นในตอนแรกก็จางลงไป

 

 

ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้สั่งให้ทุกคนกระจายตัวไป หากแต่สั่งให้ทุกคนออกไปรอข้างนอก แล้วเข้ามาคุยทีละคนในห้องของเขา

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าว่าอาจารย์อาลั่วหยางคุยอะไรกับพวกเขาบ้าง?” เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปแล้วก็ออกมาคนแล้วคนเล่า ต้วนชิงเกออดถามไม่ได้

 

 

“น่าจะกำลังทำความเข้าใจความถนัดของทุกคน กระทั่งท่าไม้ตาย” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ กำลังพูดอยู่ก็ถึงคราวนางแล้ว จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปทันที

 

 

“อาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินเข้าไปถึงในห้อง แล้วออกเสียงเรียก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยกตามองมา ชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้า…มีวิชาอะไรที่ถนัดหรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาคิดๆ ดูถึงเอ่ยว่า “คาถาธาตุไม้ เคล็ดวิชากระบี่” เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตายังคงไม่ได้พูดออกมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “วันนี้ของที่เจ้าโยนใส่ผู้บำเพ็ญเพียรมารคืออะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกในฝ่ามือปรากฏระเบิดสะท้านฟ้าขึ้นเม็ดหนึ่งว่า “นี่คือผลไม้วิญญาณที่ระเบิดได้ชนิดหนึ่ง อานุภาพใหญ่หลวงนัก ข้าเรียกมันว่าระเบิดสะท้านฟ้า”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าประหลาด ในใจแอบคิดว่านี่คงไม่ใช่ของที่ระเบิดถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดในปีนั้นหรอกกระมัง จึงเอ่ยทันทีว่า “ให้ข้าอันหนึ่งได้หรือไม่?”

 

 

นี่ไม่ใช่ของที่จะโยนส่งเดชได้ มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไปสองสามก้าววางระเบิดสะท้านฟ้าไว้กลางฝ่ามือเยี่ยเทียนหยวน แล้วรีบถอยหลังสองสามก้าวดึงระยะห่างออก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนอึดอัดเล็กน้อยเช่นกัน รีบเอ่ยว่า “ศิษย์หลานมั่ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉิยพยักหน้าเดินออกไป ยามที่หันกลับมาปิดประตูพบว่าสายตาเยี่ยเทียนหยวนยังตกอยู่ที่นางนี่ จึงรีบหันหน้ากลับแล้วรีบเดินจากไป

 

 

ข่าวที่ทีมย่อยเหยากวงที่เยี่ยเทียนหยวนนำทีมออกศึกครั้งแรกก็ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ยี่สิบกว่าคน ยังรวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณระยะกลางคนหนึ่งร่ำลือไปทั่วหุบเขาลั่วเยี่ยนทางฝั่งผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ศึกครั้งนี้ เรียกได้ว่าศึกเดียวสร้างชื่อ

 

 

หลายวันต่อมา เยี่ยเทียนหยวนเรียกตัวทุกคน วางแผนตามจุดเด่นของทุกคน

 

 

ไม่นับเยี่ยเทียนหยวน ทีมนี้เหลือเพียงสิบสี่คน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสี่คน ระดับสร้างรากฐานระยะกลางสิบคน

 

 

สี่คนในนี้พอมีความรู้ด้านค่ายกลอย่างงูๆ ปลาๆ เยี่ยเทียนหยวนหยิบธงเล็กสี่ผืนมอบให้ทั้งสี่คน สั่งให้ทั้งสี่คนยามเจอศัตรูให้ยืนให้ดีตามตำแหน่งสี่ลักษณะ[1] ใช้คาถาเคลื่อนธงเล็กป้องกันศัตรู

 

 

ธงเล็กชุดนี้เรียกว่าธงสี่ลักษณะ เป็นอาวุธเวทที่หลอมรวมค่ายกลเข้าไปชุดหนึ่ง ทั้งรุกทั้งรับ จำเป็นต้องใช้ผู้บำเพ็ญเพียรสี่คนเคลื่อนพลังพร้อมกันถึงสามารถแสดงอานุภาพได้มากที่สุด

 

 

สิบคนที่เหลือจัดตำแหน่งตามคาถาที่ตนถนัด ยามพบศัตรูกะทันหันสองสามคนไหนลงมือก่อน สองสามคนไหนคุ้มกันปกป้อง หลังจากนั้นรูปขบวนเปลี่ยนไปเช่นไรล้วนวางแผนไว้ทีละขั้น

 

 

มั่วชิงเฉินแอบตกใจจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนหยวนยามอยู่ระดับสร้างรากฐานนิ่งเงียบพูดน้อย ท่าทางปฏิเสธคนไม่คุ้นเคยไม่ให้เข้าใกล้ กลับตัดสินสิ่งต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม มิน่าใครๆ ก็ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมีเพียงคนที่ก้าวเข้าแถวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ถึงสามารถแสดงนิสัยที่แท้จริง ความสง่างามที่แท้จริงออกมาได้

 

 

หลังจากผ่านการแปรขบวนครั้งนี้ ทีมย่อยเหยากวงยามสืบค้นในหุบเขาได้เจอกับผู้บำเพ็ญเพียรมารอีกหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนชนะอย่างขาดรอย และไม่สูญเสียคนอีกอย่างคาดไม่ถึง

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทีมย่อยเหยากวงที่นำโดยเยี่ยเทียนหยวนชั่วขณะหนึ่งโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร ตัวเขาเองก็ยิ่งกลายเป็นบุคคลที่ใครๆ ก็รู้จัก

 

 

มั่วชิงเฉินพบว่าที่นักพรตคงฉวนพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ออกมาจะเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร กระทั่งสามารถพูดได้ว่าสามครั้งห้าครั้งได้เจอสักครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว วันแรกพวกเขาดวงตกมากจริงๆ

 

 

ที่น่าสนใจก็คือ ทุกครั้งที่เจอผู้บำเพ็ญเพียรมาร ยามที่ทั้งสองฝ่ายจำนวนคนสูสีกัน ฝ่ายตรงข้ามก็จะเป็นฝ่ายที่เลือกทำเหมือนมองไม่เห็น มีเพียงยามที่จำนวนคนมากกว่าฝ่ายตนอย่างเห็นได้ชัดถึงเข้าห้ำหั่นกัน นานวันเข้าทุกคนก็เข้าใจแล้วว่านี่เป็นการรู้กันโดยต่างฝ่ายต่างไม่ต้องพูด

 

 

พริบตาเดียวเวลาสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการสู้ที่โหดร้ายและสภาพการบำเพ็ญเพียรที่ย่ำแย่ในหุบเขาได้แล้ว ในระหว่างนี้พวกเขาพบศึกใหญ่บ้างเล็กบ้างก็มีสิบกว่าครั้งแล้ว น่าเสียดายมั่วชิงเฉินไม่เคยได้พบมั่วหร่านอีอีก

 

 

ช่วงเวลาที่บอบบางเช่นนี้ นางก็ไม่สะดวกสืบข่าว ความสงสัยเต็มอุราได้แต่รอให้กลับสำนักลั่วสยายามพบหน้ามั่วเฟยเยียนค่อยถามแล้ว

 

 

นางมักรู้สึกว่า มั่วเฟยเยียนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักลั่วสยาเสมอมาไม่ควรไม่รู้สถานการณ์ของมั่วหร่างอี อย่างน้อยเรื่องที่มั่วหร่านอีอยู่สำนักมารนางน่าจะรู้มานานแล้ว เพียงแต่ทุกอย่างนี้มีเพียงพบหน้ากันถึงยืนยันได้

 

 

ที่ทำให้มั่วชิงเฉินกลัดกลุ้มก็คือ ครั้งนี้ย้อนกลับสำนักจัดทัพไม่คิดว่าจะไม่ได้พบมั่วเฟยเยียน ลองสืบดูเงียบๆ ว่ากันว่าสนามรบที่มั่วเฟยเยียนอยู่ปรากฏที่อยู่ของมุกเจ็ดสีแล้ว บัดนี้เต๋ามารทั้งสองฝ่ายต่างจ้องตาเป็นมัน เตรียมเปิดศึกได้ตลอดเวลา การจัดทัพสามเดือนครั้งจึงยกเลิกไปแล้ว

 

 

กลับถึงในหุบเขาค้นหามุกเจ็ดสีต่อ ได้ยินรางๆ ว่าการแย่งชิงกันของเต๋ามารสองฝ่ายที่สนามรบที่มั่วเฟยเยียนอยู่เนินเซียนมารเข้าขั้นดุเดือดแล้ว เริ่มดึงตัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจากสนามรบอื่นไปหนุนอย่างต่อเนื่อง

 

 

ผ่านไปไม่นาน เยี่ยเทียนหยวนก็ถูกส่งไปเนินเซียนมารเช่นกัน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลืออยู่ในหุบเขาลั่วเยี่ยนคาดเดาได้รางๆว่าการแย่งชิงกันของเนินเซียนมารเกรงว่าอีกไม่นานก็เห็นผลแล้ว ถึงเวลาผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าผู้บำเพ็ญเพียรมารที่ยังรอดอยู่พวกนั้นต้องกระจายไปตามสนามรบอื่นเป็นแน่ เวลานั้นสนามรบเหล่านั้นเกรงว่าจะยิ่งโหดร้ายกว่ายามนี้อีก

 

 

“หัวหน้าทีมมั่ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า โบกมือว่า “ออกเดินทาง”

 

 

ตามการดึงตัวผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไปอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ทีมย่อยในหุบเขาลั่วเยี่ยนไม่สามารถรับประกันได้แล้วว่าทุกทีมจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคอยคุม ทีมของพวกมั่วชิงเฉินก็เป็นเช่นนี้

 

 

ยามที่เยี่ยเทียนหยวนจากไป ได้มอบสมบัติวิเศษกระดานหมากรุกที่สามารถปิดบังกลิ่นอายของทุกคนเป็นการชั่วคราวให้มั่วชิงเฉิน ออกคำสั่งให้นางเป็นหัวหน้าทีมแทนชั่วคราว

 

 

ทีมนี้ของพวกเขามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายเพียงสี่คน หนึ่งในนั้นยังแขนขาดอีก ต้วนชิงเกอค้นคว้าสัดส่วนของส่วนผสมยาที่ทำให้แขนงอกขึ้นใหม่ได้อยู่ตลอดเวลาจนบัดนี้ก็ไม่มีเงื่อนงำ สองคนที่เหลือเคยประจักษ์ความสามารถของมั่วชิงเฉินมาก่อนก็ไม่ได้พูดมาก กลับเป็นหรวนหลิงซิ่วที่บ่นไปสองสามประโยค ซึ่งทุกคนต่างก็ชาชินไม่ได้ใส่ใจ

 

 

อาณาเขตหุบเขาลั่วเยี่ยนกว้างใหญ่ มั่วชิงเฉินนำสมาชิกทีมค้นหาอย่างละเอียด ไม่นานก็เข้าสู่สถานที่ที่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี เมื่อยื่นจิตตระหนักออกไปกลับพบสิ่งผิดปกติเล็กน้อย

 

 

 

 

——

 

 

[1] สี่ลักษณะ หมายถึง ตำนานปรัมปราของลัทธิเต๋า เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นอสุรกายปกป้องคุ้มครองทิศทั้ง 4 ได้แก่สัตว์โบราณ 4 ชนิด ทิศตะวันตกคือ เสือขาว คุณสมบัติ ธาตุทอง ทิศตะวันออกคือ มังกรเขียว คุณสมบัติ ธาตุไม้ ทิศเหนือคือ เสวียนอู่ (รูปร่างเหมือนเต๋าและงู) คุณสมบัติ ธาตุน้ำ และทิศใต้คือ จูเช่ว์ (หงส์ไฟ) คุณสมบัติ ธาตุไฟ