“ท่านพี่ ข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่” มั่วหลีทำท่านั่งเก้าอี้ลมอยู่กลางแสงแดด มองดูพี่สาวที่นั่งห่างออกไปกินผลไม้วิเศษอย่างสบายใจ นางโมโหจนแก้มป่องจนจะกลายเป็นกบอยู่แล้ว ท่านพี่ทำเกินไป ผนึกพลังเซียนอันน้อยนิดของนาง ให้นางทำท่าเช่นนี้ภายใต้แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ท่านพี่ใจร้ายจริงๆ
“พูดมา” หลิวหลีโยนผลไม้เข้าปาก มองน้องสาวที่ใบหน้าโมโห สนุกจริง ๆ
“พี่สาว เพราะเหตุใดข้าถึงต้องมาทำท่านี้ด้วย” ปวดขาไปหมดแล้ว แถมยังไม่ยอมให้ขยับอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไหล่ทั้งสองข้างของนางยังต้องวางน้ำไว้หนึ่งถ้วยจะปล่อยให้หกไม่ได้ หากหกก็ต้องทำท่านั้นไปเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม พี่สาวใจกว้างที่อ่อนโยนของนางหายไปไหน นางมารผู้นี้คือใคร นางไม่รู้จัก
“ทำไมน่ะหรือ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนก็น่าจะเห็นผล” หลิวหลีลองคำนวนเวลาดูแล้วพูดขึ้น
“ตั้งหนึ่งเดือนเลยหรือ ทำไมนานขนาดนั้น” มั่วหลีทำหน้าจะร้องไห้ พี่สาวของนางได้รับความยินยอมจากท่านพ่อท่านแม่แล้ว สรุปคือตอนนี้คือพี่สาวมีสิทธิ์ตัดสินใจทุกเรื่องของนาง
“นานหรือ ผู้บำเพ็ญช่วงพื้นฐานเข้าฌานอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนแล้ว อีกอย่างมั่วหลี น้ำจะหกแล้ว เจ้าอยากจะทำเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมงใช่ไหม” หลิวหลีมองน้องสาวที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดขึ้น
“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านพี่ใจร้ายมาก” มั่วหลีทรุดลงไปนั่งกับพื้น ไม่สนว่าน้ำจะกระเด็นใส่ตนเองหรือไม่ ทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน ร้องไห้โอดครวญ
“เจ้าร้องไปเถอะ ที่นี่ข้าได้สร้างแนวเขตต้องห้ามไว้แล้ว ไม่มีใครเข้ามาได้นอกเสียจากจะมีพลังบำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าข้า”
หลังจากเสียงหลิวหลีสิ้นสุดลง มั่วหลีก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ลืมบอกไปเลย ข้างนอกก็ไม่ยินเสียงด้วย พ่อกับแม่จะเห็นแค่ว่าเจ้ากำลังตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝน เฮ้อ ข้ายังคิดว่ามั่วหลีจะเก่งกว่านี้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว” หลิวหลีถอนหายใจ และไม่ลืมที่จะส่งสายตาผิดหวังให้มั่วหลี
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่กลัวหรอก พี่สาวข้าขอน้ำอีกสองถ้วย ข้าทำได้แน่” มั่วหลีค่อยๆลุกขึ้นมาเมื่อถูกกระตุ้น ใช้มือเช็ดหน้าและมองหลิวหลีด้วยแววตามุ่งมั่น
หลิวหลีโบกมือ มั่วหลีก็กลับมาสะอาดสะอ้านตามเดิม น้ำสองถ้วยปรากฏขึ้นมาบนไหล่ของมั่วหลีอีกครั้ง รอบนี้ถึงแม้มั่วหลีจะทนไม่ไหวก็ยังพยายามจะกัดฟัน ไม่มีใครช่วยเหลือนาง ขามั่วหลีเริ่มสั่น ไหล่ขยับไหวน้อย ๆ แต่ก็พยายามอดทนต่อไป
“พอได้แล้ว มั่วหลี มาพักก่อน” หลิวหลีมองสีท้องฟ้า และมองมั่วหลีด้วยแววตาชื่นชม แต่ดูเหมือนนังหนูจะโมโห หลิวหลีเลิกคิ้วมองดูมั่วหลีที่เดินไปพักใต้ต้นไม้ อารมณ์รุนแรงไม่น้อยเลย
ผลคือไม่ว่าหลิวหลีจะให้นางทำอะไร มั่วหลีก็ยอมทำตามแต่โดยดี เพียงแต่ไม่พูดไม่จา ถึงตกดึกฤทธิ์ของยาจะทำให้นางเจ็บปวดทรมานเพียงใด นางก็กัดฟันทนไม่ร่ำร้อง จนนอนกลับก็ยังหันหลังให้หลิวหลี
“แม่เด็กดื้อ” เมื่อรู้สึกว่ามั่วหลีหลับสนิทแล้ว หลิวหลีจึงเดินพลังเพื่อปรับสภาพร่างกายให้น้องสาว และเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของเด็กหัวดื้อค่อยๆคลายลง
“นังหนู ดื้อรั้นไปอาจลำบากนะ” หลิวหลีบีบจมูกของมั่วหลีเบา ๆ
วันถัดมาก็ยังคงนั่งเก้าอี้ลมอยู่เหมือนเดิม จนกระทั่งล่วงเข้าวันที่ 15 มั่วหลีก็สามารถทำท่านี้ได้อย่างสบายใจ อีกทั้งยังมั่นใจว่าน้ำไม่หกแน่นอน นังหนูได้ใจอยู่สักพัก นางเหลือบตามองถ้วยที่เต็มไปด้วยน้ำบนศีรษะตนเอง พี่สาวของนางขี้เล่นเสียเหลือเกิน ว่าที่พี่เขยรู้เรื่องนี้หรือไม่นะ
เวลาอีก 15 วันก็ผ่านพ้นไป มั่วหลีสามารถวางถ้วยน้ำไว้อยู่บนหัวได้อย่างสบายๆแล้ว พี่สาวนางก็เอาถ้วยสองใบมาวางบนเข่านางอีก จนนางสามารถทนไหวและกำลังจะไปมองพี่สาวอย่างภาคภูมิใจนั้นเอง
“อืม ดูแล้วของพวกนี้คงไม่ยากอีกแล้วสินะ มั่วหลีทำได้สบายๆเลย” หลิวหลีเห็นสีหน้าลิงโลดของนังหนูก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ในเมื่อง่ายขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นมั่วหลีผู้เก่งกาจของพี่ ตรงนั้นมีกองฟืน ไปผ่าฟืนกองนั้นสิไป จำไว้ว่าต้องตัดให้เท่าๆกัน และใช่แล้ว นี่คือมีดผ่าฟืนของเจ้า” หลิวหลีส่งมีดให้นาง มั่วหลีหน้างอง้ำ ทำไมยังมีอีกเนี่ย
“อ้อจริงสิ ลืมบอกไป มั่วหลีเจ้าจะต้องนั่งเก้าอี้ลมในขณะผ่าฟืนด้วย อาหารวันนี้กับพรุ่งนี้จะมีเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับฟืนที่เจ้าผ่าแล้ว” หลิวหลีพูดจบ ก็นั่งเอนลงพิงเก้าอี้กินผลไม้ต่อ
มั่วหลีถือมีดไว้ทำหน้าจะร้องไห้ ฮือๆ พี่สาวของนางร้ายกาจจริงๆ แต่ความโกรธอีกฝ่ายที่ตนมีก็เบาบางลงเมื่อได้กินอาหารฝีมือพี่สาว แต่ตอนนี้แม้แต่ความสุขอย่างสุดท้ายก็ยังถูกพรากไป ว่าที่พี่เขยตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน รีบมาเอาท่านพี่ไปที
ท่าทางมั่วหลีไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เมื่อมองดูกองฟืนที่สูงกว่านางหลายเท่าตัว ท่านพี่ท่านจะทำอาหารมื้อใหญ่ขนาดไหนหรือ ถึงจำเป็นต้องใช้ฟืนมากมายขนาดนี้
“ท่านพี่ ไหนท่านบอกว่าข้าตัดฟืนได้เท่าไร ท่านก็จะใช้ทำกับข้าวเท่านั้นไม่ใช่หรือ ข้าขอถามท่านหน่อยเพลิงสีเขียวๆนั่นคืออะไร” มั่วหลีนอนแผ่หรา มองท่านพี่ใช้เพลิงอัคคีทำอาหารให้นาง ในโลกนี้คงจะมีแค่นางเท่านั้นที่จะได้อะไรเช่นนี้ เพียงแต่ทำไมต้องให้นางผ่าฟืนด้วย
“ฟืนจะเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่น ยาที่เจ้าใช้อาบต้องฟืนในการตุ๋น เดาว่าวันนี้ประสิทธิภาพของยาที่ใช้อาบน่าจะค่อนข้างแย่ เพราะว่าไม้ที่ได้มามีแค่นั้นเอง สำหรับเพลิงสีเขียวนั้น เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ข้าพิชิตเพลิงวิญญาณไม้มาได้อย่างไร” หลิวหลีมองดูฟืนที่มั่วหลีตัดไปตัดมาขนาดไม่เท่ากันด้วยแววตาเสียดาย
“ยาที่ข้าใช้อาบจำเป็นต้องใช้ฟืนมากมายขนาดนี้ใช้ต้มหรือ” มั่วหลีตกใจ นางไม่รู้จริงๆ ว่านางต้องใช้ของสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ น้องสาวของข้า จำเป็นจะต้องใช้ของที่ดีที่สุด” หลิวหลีรับประกันได้แน่นอนว่าในเรื่องนี้ไม่มีใครสู้น้องสาวของนางได้ ก็นั่นแหละ มีบางเรื่องก็บอกนังหนูไม่ได้ อย่างเรื่องฟืนพวกนี้ที่จริงๆก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยาที่นางใช้อาบ นางใช้เพลิงลมสลาตันต้มให้ ทุกวันต้องจำทนเจ้าลมปากมากนั้นพูดนานสองชั่วยาม เช่นไม่ใช่เพลิงอัคคีที่เกรียงไกรอย่างมันไปต่อสู้ แต่ดันใช้มันต้มยา ใช้ของไม่ถูกประโยชน์จริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบอกกับนังหนูอีกเช่นกัน
นังหนูเป็นรากวิญญาณธาตุลมกับธาตุไม้ เพลิงวิญญาณไม้กับเพลิงลมสลาตันเข้ากับธาตุภายในร่างกายของนาง ช่วยให้นังหนูสามารถดูดซึมได้ดีขึ้น
พอตกดึกเป็นเวลาที่มั่วหลีต้องแช่ยา นางก็ครุ่นคิดว่านางควรจะไปลองยาที่ใช้อาบของคนอื่นว่าต่างกับของนางอย่างไร จนกระทั่งนางมีเพื่อน แล้วถามพวกเขาถึงเรื่องยานี้ นางถึงเพิ่งได้รู้ว่าพี่สาวนางพูดไว้ไม่ผิด นางใช้ของดีที่สุดมาโดยตลอด เพื่อนของนางไม่รู้เรื่องยาอาบเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้น มั่วหลีผ่าฟืนอย่างตั้งใจ ถึงแม้มือสองข้างจะมีตุ่มน้ำใส แต่นางก็ยังพยายามต่อไป ทุกคืนหลังแช่ยา เข้านอนแล้วตื่นขึ้น มือก็จะหายเป็นปกติ มั่วหลีเชื่อมาโดยตลอดว่าเป็นเพราะประสิทธิภาพของยา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าพี่สาวของนางสงสารนาง ทุกวันจะใช้พลังเซียนให้ความชุ่มชื้นให้กับเส้นลมปราณ มีพี่สาวที่คอยดูแลนางขนาดนี้ มั่วหลีโชคดีลับๆอย่างยิ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนมั่วหลีจู่ๆผ่าฟืนขนาดเท่ากันได้ นางตื่นตกใจ เริ่มนึกถึงแรงและท่าทางที่ใช้ เพียงไม่นานก็ทำสำเร็จอีกครั้ง นางรู้วิธีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางผ่าฟืนเสร็จภายในวันเดียว หลิวหลีเหลือบมองแต่ไม่พูดจา วันที่สองวันที่สามก็ยังทำสำเร็จเช่นเดิม ในที่สุดหลิวหลีก็โบมือบอกให้นางหยุดผ่าฟืน
“พี่สาว ทำไมข้าต้องมาตักน้ำด้วย” มั่วหลีมองดูถังน้ำที่พี่สาวทำให้นางเป็นพิเศษ วางยังนิ่ง แล้วจะยกน้ำได้อย่างไร
“ยื่นแขนทั้งสองข้างให้ตรง ให้ขนานกับลำตัว 180 องศา เติมน้ำในอ่างที่อยู่ด้านหน้าให้เต็ม” หลิวหลีออกคำสั่งใหม่
“พี่สาว 180 องศาหมายความว่าอย่างไร” มั่วหลีมองพี่สาวนางและกระพริบตาปริบๆ
“ลืมไปแล้วงั้นหรือ ก็ท่านี้ไง” หลิวหลีเอามือกุมขมับ เด็กน้อยคงยังไม่เข้าใจคำว่า 180 องศา นางจึงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
“ท่านพี่ ทำไมข้าต้องมาตักน้ำด้วย” นางพูดขณะมองดูอ่างน้ำที่พี่สาวของนางเตรียมให้ อันขนาดนี้ใช้ทั้งบ้านก็ไม่หมด
“เพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เอามาใช้ต้มยาที่ไว้ใช้อาบของเจ้ามาจากลำธารศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากบ้านสกุลหลง ดังนั้นเจ้าต้องไปตักน้ำจากที่นั่นทุกวัน แล้วก็อีกอย่าง กำไลเพิ่มน้ำหนัก ใส่ไว้ที่มือกับขาทั้งสองข้าง ห้ามถอดเป็นอันขาด”
มั่วหลีลองขยับแขนขยับขาดู ก็ไม่รู้สึกอะไร จนถือถังน้ำที่พี่สาวของนางทำขึ้นมาให้นางอันนั้นเดินไปได้สักพัก ก็รู้สึกทั้งหนักทั้งเหนื่อย พี่สาวของนางไปเรียนจากใครมา ทำไมถึงมีวิธีแกล้งคนมากมายเช่นนี้ แถมหลากวิธีนัก ได้ยินมาว่าพี่สาวของนางมีอาจารย์ หรือว่าอาจารย์ของนางสอนมา
เสวียนหั่วที่อยู่ ณ สำนักเมฆาคล้อยที่อยู่ห่างออกไปก็จามออกมาเสียงดัง ใครกำลังบ่นเขาหรือนี่
ตกดึกมั่วหลีทิ้งตัวลงอย่างหมดแรงอีกครั้ง เมื่อเห็นพี่สาวของนางโบกมือหนึ่งครั้ง น้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลลงจากฟ้า แล้วนางไปตักน้ำมาเพื่ออะไรกัน
“พี่สาว ข้าไม่ตักน้ำแล้วได้หรือไม่” มั่วหลีอ้อนวอน
“ไม่ได้ ขนาดนั่งเก้าอี้ลมเเจ้ายังทนได้ ตัดฟืนก็ยังทนได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน” หลิวหลีตอบอย่างไม่เกรงใจ มั่วหลีเป็นคนค่อนข้างมีความอดทน นางเดาว่าพอนางปลดปล่อยพลังเซียนของอีกฝ่าย พลังบำเพ็ญเพียรของเด็กคนนี้ต้องกระโดดขึ้นไปสามช่วงเป็นอย่างน้อย
จนมั่วหลีเริ่มคุ้นเคย มีคืนหนึ่งนางอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็รู้สึกว่ามีคนวางมือบนหลังนาง ทำให้ร่างกายนางอบอุ่น ที่นี่มีแค่นางกับท่านพี่ เท่านั้น แสดงว่าคนผู้นี้คือพี่สาวของนาง ท่านพี่รักนางมากจริงๆด้วย
“นังหนู อย่ามัวแต่คิดไร้สาระ รีบนอน เด็กที่ไม่ยอมนอน ระวังจะไม่โต” หลิวหลีสัมผัสได้ว่ามั่วหลีเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น
“ท่านพี่ ท่านดีกับข้ามากจริงๆ” มั่วหลีพูดจบ ก็ทนกับความง่วงไม่ไหว ผล็อยหลับไป
“นังหนูคนนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าเอ็นดูเจ้า” หลิวหลีห่มผ้าให้มั่วหลี
………………………….