ตอนที่ 187 ถือว่าแก้ไข

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ในอาการสลบไสลสองวันและยังไม่ฟื้นขึ้นมา จากคำบอกเล่าของอินหงหลัน นางปกป้องตัวเองโดยสัญชาตญาณ ลดการทำร้ายร่างกายให้น้อยที่สุด ดังนั้นจึงไม่ได้สติมาตลอด นางเป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงมาก จะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่เชื่อในอุปนิสัยใจคอของเขามากนัก แต่ก็ยังคงเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่เสื่อมคลายและน้อมรับคำพูดของเขา ทว่าสิ่งที่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยโล่งใจอย่างแท้จริงก็คือแม้นางจะหลับใหล แต่สีหน้าก็แดงเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด หายใจสม่ำเสมอราวกับนอนหลับอยู่ก็มิปาน บวกกับอินหงหลันก็เริ่มตัดสินใจเองในครั้งนี้ว่าจะพักอยู่ที่ลี่โจวเป็นเวลานานจนกว่าจะคลอดลูก

ดังนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยก็มีความคิดเหมือนซั่งกวนอี้และซั่งกวนจิ่นเช่นกัน พวกเขาเริ่มลงมือจากทุกด้าน หาเบาะแสของกลุ่มคนที่บุกเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจ และในคืนถัดไปเขาก็นำกองกำลังติดอาวุธของตระกูลซั่งกวนบุกเข้าสู่เมืองลี่โจวในเรือนเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง

เรือนหลังนั้นเป็นบ้านของพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่งในลี่โจว เนื่องจากกิจการมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงขายบ้านซึ่งไม่คู่ควรกับสถานะของเขาอีกต่อไปให้กับพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยในเซิ่งจิง พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนนั้นหรือญาติสนิทมิตรสหายของเขาจะมาอาศัยอยู่ช่วงหนึ่งทุกปี คนเหล่านั้นจะอาศัยอยู่ในเรือนเล็กในนามญาติมิตรของพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่ไม่รู้จักชื่อแซ่คนนี้

ซั่งกวนเจวี๋ยและคนอื่นๆ จัดการคนในเรือนเล็กทั้งหมดอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว แต่เมื่อซักถามมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าตัวการหลักได้ออกจากลี่โจวไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว พาคนชุดน้ำเงินที่เคยอยู่ในเรือนหิมะสุขใจกลับไปรายงานข่าวดีกับเจ้านายที่เซิ่งจิง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนจำนวนมากออกจากลี่โจวในเวลาเดียวกัน แล้วจะไปกระตุ้นความสนใจของตระกูลซั่งกวน พวกเขาจึงอยู่ที่นั่นต่อไป รอให้งานประลองยุทธ์สิ้นสุดลง ยามที่คนจำนวนมากไหลออกจากลี่โจว พวกเขาก็จะผสมโรงจากไปด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าจะถูกตระกูลซั่งกวนจัดการไม่เหลือไว้เลยด้วยความเร็วปานอัสนีบาตฟาดเปรี้ยง

เช่นเดียวกับที่ซั่งกวนเจวี๋ยตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำว่า ‘ก็’ คนเหล่านั้นถูกส่งมาจากใครบางคนในราชสำนักจริงๆ สำหรับจะเป็นใครนั้น มีเพียงตัวการหลักเท่านั้นที่รู้ คนอื่นๆ ก็เก็บตัวซ่อนอยู่ ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่ได้ดำเนินการสอบสวนต่อไป แต่ได้สังหารผู้คนกว่าสิบคนในที่เกิดเหตุ และเสียบปิ่นปักผมไว้ที่หน้าอกของทุกคน เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องมีสายที่คอยเป็นหูเป็นตาสอดแนมอยู่ในลี่โจวแน่ เขาทำเช่นนี้เพื่อตักเตือนอีกฝ่าย แจ้งให้พวกเขาทราบว่ามีการเปิดโปงเรื่องนี้ สำหรับพวกเขายังจะมีลูกไม้อะไรต่อจากนี้ ตระกูลซั่งกวนจะติดตามเอง

สำหรับซั่งกวนจิ่นได้สืบทราบการสนทนาระหว่างแม่นมเจี่ย ทั่วป๋าซู่เยวี่ยและทั่วป๋าฉินซิน ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ทั่วป๋าเชียนเย่านายท่านตระกูลทั่วป๋าเพิ่งทราบเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ จึงโกรธเป็นอย่างมาก คิดว่าทั้งสองคนไม่ใช้สมองขบคิดปัญหา ทำให้ความสัมพันธ์ที่เหินห่างอยู่แล้วระหว่างตระกูลทั่วป๋ากับตระกูลซั่งกวนชะงักงันยิ่งขึ้น เขาจะมาถึงลี่โจวในต้นเดือนเก้า ด้านหนึ่งเพื่อแสดงความยินดีกับงานมงคลสมรสของหลิงหลง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือแก้ไขความขัดแย้งในครั้งนี้ เขาเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ทั่วป๋าฉินซินควรซื่อสัตย์สักหน่อย อย่าพยายามทำอะไรที่ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยรังเกียจและโมโหอีก

ซั่งกวนเจวี๋ยแยกกับซั่งกวนอี้ในระหว่างทาง ซั่งกวนอี้พาคนกลุ่มใหญ่กลับเรือนพำนักอวี้ฉิง ในขณะที่ซั่งกวนเจวี๋ยพาคนสองสามคนกลับเรือนหิมะสุขใจ เมื่อมาถึงประตูก็เห็นเยี่ยนเซียงเดินเทียวไปเทียวมาอยู่หน้าประตูดูมีความสุข

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว” เยี่ยนเซียงหยุดม้าให้ซั่งกวนเจวี๋ยแล้วยิ้มเอ่ยว่า “สะใภ้ใหญ่ฟื้นแล้ว เพิ่งกินข้าวต้มกุ๊ยชามเล็กไปครึ่งถ้วย ฟังลู่หลัวเล่าเรื่องราว สีหน้าดีขึ้นมาก บาดแผลเริ่มตกสะเก็ดแล้วเจ้าค่ะ!”

“จริงหรือ!” ซั่งกวนเจวี๋ยดีใจลิงโลด ควบอยู่บนหลังม้าตรงไป เมื่อมาถึงนอกเรือนเล็กที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พักอยู่ ก็เห็นแม่นมสาวใช้เข้าออกพลุกพล่านพร้อมกับรอยยิ้มแย้มแจ่มใสบนใบหน้าของพวกนาง

“นายน้อยกลับมาแล้ว” บรรดาสาวใช้ต่างพากันคลี่ยิ้มพลางแสดงความเคารพ ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเบิกบานใจ ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้มี่เอ๋อร์ยังไม่ฟื้น ใบหน้าของเขาจึงบึ้งตึงอยู่เรื่อยมา ทั้งเรือนเต็มไปด้วยความกดดัน อย่าว่าแต่หัวเราะเลย แม้แต่พูดจาก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว สะใภ้ใหญ้เอาแต่คะนึงนึกถึงท่านตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ!” จื่อหลัวระบายยิ้มและรับเสื้อคลุมที่ซั่งกวนเจวี๋ยถอดออก ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า หันไปทางฉากกั้น แน่นอนว่าเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้นแล้ว เอนตัวครึ่งหนึ่งนอนอยู่บนเตียง อมยิ้มมองเขาอยู่

“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยนั่งอยู่ตรงที่นั่งที่แม่นมฉินลุกออกไป แล้วจับมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เห็นอินหงหลันที่รอทักทายอยู่ด้านข้างเลย ทำให้เขากระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธและจากไปอย่างแค้นเคือง

“ทำให้ท่านพี่เป็นห่วงแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คาดคิดว่านางจะหลับไปนานขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจคือหลัง จากฟื้นตื่นขึ้น ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์แต่อย่างใดเลยนอกจากท้องว่างรู้สึกหิว ทั้งยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและอยู่ในสภาพที่ดีเป็นพิเศษ

“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มพรายพลางส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “มีตรงไหนไม่สบายตัวหรือไม่? เจ็บแผลไหม? ข้าจะขอให้ลุงอินมาตรวจเจ้า!”

“ลุงอินเพิ่งจะโกรธท่านเดินออกไปเมื่อครู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอ่อนหวาน ยามที่นางเพิ่งฟื้นนั้นม่านเหอก็เชิญลุงอินซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘หมอเทวดา’ มาตรวจ เขาตรวจชีพจรให้ตนอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าอวัยวะภายในยังคงสมบูรณ์ยกเว้นอาการบาดเจ็บเท่านั้น หลังจากตรวจแล้วจึงตัดสินใจให้ซั่งกวนเจวี๋ยกลับมาโค้งคำนับขอบคุณ แต่ไม่นึกว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเพิกเฉย เขาจึงโมโหเดินออกไปเลย

“เมื่อครู่ลุงอินอยู่ที่นี่หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เห็นอินหงหลันจริงๆ แต่ครั้นขบคิดอีกครั้ง นอกจากจื่อหลัวที่พูดกับเขาแล้ว เขาจำได้ว่ามีแม่นมฉินที่ลุกให้เขานั่ง

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะลั่นไม่ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะมีด้านที่สับสนขนาดนี้

ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกอับอายเล็กน้อยจึงมองรอบๆ ห้องอีกครั้ง แต่ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว น่าจะออกไปตอนที่เขาเอาแต่เป็นห่วงเป็นใยเยี่ยนมี่เอ๋อร์เท่านั้นกระมัง! แบบนี้ก็ดี เขาขึ้นไปบนเตียงตระกองกอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนแล้วกระซิบว่า “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้ารู้ไหมว่าถ้าไม่ใช่เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเจ้ามีร่างกายที่แตกต่างจากคนทั่วไปมาแต่กำเนิด เจ้าก็จะ…”

‘ถ้าไม่รู้ข้าก็จะไม่แทงตัวเองง่ายๆ หรอก!’ เยี่ยนมี่เอ๋อร์พึมพำในใจ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่าชมน่าเอ็นดู นางมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างตกใจหวาดผวาแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีทางเลือกมิใช่หรือ? คนผู้นั้นร้ายกาจมาก ไหนๆ ก็หนีไม่พ้น มิสู้ยอมง่ายๆ จะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องพาคนอื่นไปปรโลกพร้อมกับข้า”

“เจ้านี่นะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ แต่ซั่งกวนจิ่นพูดถูก ถ้าไม่ใช่เพราะความใจดีของมี่เอ๋อร์ นางก็จะไม่มีโอกาสอยู่รอด หลังจากชั่งน้ำหนักแล้วเพื่อไม่ให้ทำร้ายผู้อื่นจึงลงมือเสียเอง

“เจ้ามีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดตัว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สังเกตได้จริงๆ ตอนที่ซั่งกวนเจวี๋ยเดินเข้ามาใกล้ แต่กลิ่นนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา หรือว่าเขารู้ที่มาของคนชุดน้ำเงินแล้ว จึงไปจัดการคนผู้นั้นใช่ไหม?

“เราเพิ่งฆ่าใครบางคน!” ซั่งกวนเจวี๋ยอธิบายอย่างเรียบเฉย สังเกตสีหน้าของมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง แต่ไม่พบความหวาดกลัวหรือกังวลใดๆ บนใบหน้าและแววตาของภรรยา กลับพบท่าทางที่รู้อยู่แก่ใจดี

“ใช่คนชุดน้ำเงินผู้นั้นหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่าตระกูลซั่งกวนจะต้องระดมใช้สรรพกำลังที่คนธรรมดาไม่อาจคาดเดาได้ เพื่อค้นหาร่องรอยของคนเหล่านั้นในเวลาเพียงสองวันสั้นๆ ยามนี้ลี่โจวไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะงานประลองยุทธ์มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากมายเหลือเกินจริงๆ เพื่อค้นหาคนชุดน้ำเงินที่ปรากฏตัวในวันนั้นท่ามกลางคนเหล่านี้ออกมาให้ได้ จึงยากเย็นไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร

“เหตุใดเจ้าถึงฉลาดขนาดนี้ในตอนนั้น ยามที่เจ้าพบคนผู้นั้นก็ไม่ใช้หัวสมองที่ชาญฉลาดของเจ้ามาคิดให้มากสักหน่อย แล้วค่อยทำได้หรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยยังไม่อาจปล่อยวางการฆ่าตัวตายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ แม้รู้ว่านางจะคิดใคร่ครวญจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว

“ข้าก็คิดดีแล้วนะถึงได้ทำแบบนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ซุกใบหน้ากับหน้าอกของเขาอย่างที่ทำเป็นประจำแล้วพูดว่า “ข้าไม่อยากตาย ข้าตัดใจทิ้งเจ้าไว้ข้างหลังไม่ได้หรอก! ตอนที่พวกม่านเหอปรากฏตัวขึ้นในใจของข้าก็ไม่มีความหวังเลย นอกจากคน ขับรถม้าสองคนที่อาจเคยเป็นยอดฝีมือมาก่อนแล้ว นอกนั้นล้วนเป็นแม่นมสาวใช้และบ่าวไพร่ธรรมดา ถ้าคนชุดน้ำเงินไม่ใช่คนที่วรยุทธ์สูงส่งก็ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดพวกเดียวกัน เขาจะฆ่าข้าก็พูดได้ว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แทนที่จะทำร้ายคนอื่น ถ้าถูกเขาลบหลู่ฆ่าตาย ข้ายอมสู้ตายเองดีกว่า”

นั่นคือสิ่งที่นางพูดและพูดได้แค่นั้น แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่า ถ้าไม่ใช่เพราะนางรู้ว่าหัวใจไม่ได้อยู่ด้านซ้าย หรือคนผู้นั้นบั่นคอของนางล่ะก็ นางจะไม่ทำแน่นอน และแย่ยิ่งกว่าคือถ้าผู้คนนั้นใจคอคับแคบมาก เห็นว่านางถูกปิ่นปักผมแทงแล้วแต่ยังไม่โล่งใจ จะต้องรอให้นางขาดใจตายเสียก่อน นางก็มีหวังรอดแน่นอน แต่หากเป็นเช่นนั้น นางไม่อาจมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของทารกในครรภ์ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอยู่ในท้องเลย

“มี่เอ๋อร์เดาว่าพวกเขาเป็นใคร?” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ ไม่ยุ่งกับคำถามนี้อีกต่อไป ไม่ว่ามี่เอ๋อร์จะคิดอย่างไรในตอนนั้น หากพ้นจากอันตรายมาได้ก็บุญแล้ว

“คนผู้นั้นบอกว่าข้าก็จะเป็นบ่อเกิดหายนะได้เช่นกัน ข้าคิดว่าเขาหรือคนที่ส่งมารู้จักท่านแม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาได้สักพักใหญ่แล้ว ครุ่นคิดเกี่ยวกับการกระทำและคำพูดของคนผู้นั้นอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง จึงพบปัญหาได้ไม่ยาก บุคคลนั้นไม่ต้องการ (หรือไม่กล้า) จะผูกพยาบาทเป็นศัตรูกับตระกูลซั่งกวนมากจนเกินไป มิฉะนั้นทั้งเรือนหิมะสุขใจจะไม่แค่ได้รับบาดเจ็บและไม่ตายเท่านั้น นับประสาอะไรจะใช้แม่นมฉินกับป้าเซียงมาบังคับให้ตนฆ่าตัวตาย บางทีมันอาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ชั่วร้ายของเขา แต่ก็อาจเป็นได้ว่าเขาไม่อยากจะทำเอง เช่นนั้นคนคนนี้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังและกังวลมากว่าตระกูลซั่งกวนจะมาชำระบัญชีแค้นเป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนี้ ความเป็นไปได้ของตระกูลชนชั้นสูงก็มีน้อย ส่วนทั่วป๋าฉินซินไม่จำเป็นต้องคิด เพราะเชื่อว่าถ้าตนมีอันเป็นไปจริงๆ ต่อให้จะไม่เกี่ยวข้องกับนาง ซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ปล่อยนางไป…ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าจะไม่ออกจากจวนชั้นใน และแม้คนเหล่านั้นจะใจกล้าบ้าบิ่น ก็ไม่กล้าจะไปฆ่าคนถึงจวนชั้นในของตระกูลซั่งกวน

ในเมื่อไม่ใช่ตระกูลชั้นสูง และตนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ดังนั้นคำตอบจึงพร้อมจะออกมา…นั่นคือความเชื่อม โยงมาจากมารดา ไม่ใช่อ๋องเหยี่ยน เนื่องจากป้าเซียงอาจเป็นคนของเขา เช่นนั้นสำหรับอ๋องเหยี่ยนแล้ว นางจึงเป็นเบี้ยที่มีค่า น่าจะไม่ละทิ้งตัวเองจนกว่าจะถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย แต่ถ้าเป็นคนอื่น นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับราชสำนัก ดวงตาพลันดำมืด นางไม่รู้จริงๆ ว่าไปล่วงเกินใครกันแน่

“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ก็ติดตามจากเบาะแสนี้ไปตรวจสอบ” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างค่อนข้างผิดหวังว่า “เราดันพบคนเข้าแล้ว แต่ที่จับได้ก็เฉพาะลูกสมุนที่รับคำสั่งมาทำงานเท่านั้น ตัวการหลักได้ออกจากลี่โจวไปเมื่อเช้าวานนี้ ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะสืบอีกต่อไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เชื่อว่าคนเหล่านั้นต้องถูกฆ่าปิดปากไปแล้วแน่ กลิ่นคาวเลือดบนตัวของซั่งกวนเจวี๋ยอาจเป็นเลือดของคนพวกนั้นที่สาดกระเซ็นมาโดนกระมัง

“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่าติดตามเรื่องนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายอันใด ต่อให้จะสืบไปถึงองค์รัชทายาท อ๋องเหยี่ยนหรือคนอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลซั่งกวนจะฆ่าพวกเขาเพราะเหตุการณ์นี้สินะ!

“ข้าไม่อยากมีส่วนพัวพันใดๆ กับคนที่อยู่เซิ่งจิงฟากนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีเจตนาดีหรือมุ่งร้ายต่อข้าและท่านแม่หรือไม่ก็ตาม เมื่อท่านแม่ออกจากเซิ่งจิงนั้นนางก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับพวกเขาเลย ส่วนข้าเป็นลูกสาวของตระกูลเยี่ยน ลูกสาวของพ่อค้าวาณิชธรรมดาผู้หนึ่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นในเซิ่งจิง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ยแล้วพูดว่า “ท่านแม่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวอะไรในเซิ่งจิงกับข้าเลย นางไม่อยากให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น และข้าไม่จำเป็นต้องรีบไปก้าวก่ายเรื่องพวกนี้ ก็ยุติเรื่องนี้ไว้แค่นี้เถิด!”

“เจ้าไม่กังวลว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยชอบเหตุผลของนาง แต่ก็ทุกข์ใจกับเหตุผลของนางเช่นกัน

“ข้าไม่กังวลหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเป็นภรรยาของเจ้า มีเจ้าคุ้มครองอยู่ พวกเขาต้องการชีวิตของข้าก็ต้องมาถึงลี่โจว ถ้าพวกเขากล้ามา ตระกูลซั่งกวนก็กล้าจะฆ่า ฆ่าพวกเขาให้กลัวมันก็ดี ไม่แน่เวลานี้พวกเขากลัวหัวหดอยู่แล้วก็ได้”

“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องเจอกับอันตรายแบบนี้อีกแน่นอน!” ซั่งกวนเจวี๋ยสัญญาพลางถอนหายใจในใจ จากนั้นเรื่องนี้ก็หยุดไว้ชั่วคราวเพียงเท่านี้ ถือว่าแก้ไขแล้ว หากพวกเขายังไม่ยอมศิโรราบล่ะก็ หึ ตระกูลซั่งกวนดูเหมือนว่านานโขอยู่ที่ไม่ได้ทำอะไรที่สั่นสะเทือนอำนาจราชสำนักให้ตกใจ…

—————-