ตอนที่ 174 งานหมั้นเล็ก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านหรือ”

โจวเสาจิ่นขานรับ เจ้าค่ะ เสียงหนึ่ง

เฉิงฉือกล่าว “ไม่เมาเรือหรือ”

“ไม่เมาเจ้าค่ะ”

ผ่านไปหลายประโยค ในที่สุดอารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ค่อยๆ คงที่ขึ้นมา

ทว่าเฉิงฉือกลับไม่พูดอะไรอีก เพียงยืนมองไกลออกไปอยู่ตรงหัวเรือเท่านั้น

ลมเบาๆ ลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้ได้กลิ่นหอมของหญ้าและกลิ่นน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ อยู่จางๆ

โอกาสดีขนาดนี้ โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนควรจะพูดอะไรบางอย่างถึงจะถูก

แต่จะพูดอะไรดีนะ

สมองของนางขบคิดไปมาอย่างหนัก ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังหาหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจไม่ได้ จึงได้แต่กล่าวออกไปว่า “ปลากับกุ้งที่พวกเรารับประทานกันตอนมื้อเที่ยงนั้นจับขึ้นมาจากทะเลสาบแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะปรุงออกมาไม่พิถีพิถันเท่าไร ทว่าความโดดเด่นอยู่ที่ความสดใหม่ รสชาติยอดเยี่ยมยิ่งนัก ท่านน้าฉือได้รับประทานบ้างหรือไม่ รู้สึกว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

“พอใช้ได้” เฉิงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อยู่บนเรือก็มีเพียงของพวกนี้ให้กินได้เท่านั้น!”

โจวเสาจิ่นฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า “เวลาไปไหวอันท่านน้าฉือก็นั่งเรือไปหรือเจ้าคะ แล้วออกเดินทางจากที่ใด ทิวทัศน์ระหว่างเดินทางคงดีมากกระมัง ตอนอยู่บนเรือก็ได้รับประทานของที่จับขึ้นมาจากน้ำสดๆ อยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เวลาข้าไปไหวอันจะเดินทางทางบก” เฉิงฉือกล่าว “ทางบกเร็วกว่าเล็กน้อย”

โจวเสาจิ่นลอบกำมืออยู่เงียบๆ กล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้การเดินทางทางบกจะเร็วกว่า ทว่าก็ไม่สบายเท่าการเดินทางทางน้ำ แล้วเหตุใดท่านน้าฉือถึงเลือกเดินทางทางบกหรือเจ้าคะ”

เฉิงฉือยิ้มพลางชำเลืองมองนางครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเพิ่งจะออกจากบ้านเป็นครั้งแรก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเดินทางทางน้ำสบายกว่าเดินทางทางบก”

โจวเสาจิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างก็พูดกันเช่นนี้หรือเจ้าคะ”

เฉิงฉือหัวเราะออกมา

แววตาสว่างสุกใส สีหน้าดูสบายๆ นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่ถ้าเจ้าบอกให้นางอธิบายออกมาให้ละเอียดว่าตรงไหนที่ว่าแปลกๆ ละก็ นางก็อธิบายออกมาไม่ได้ จึงทำได้เพียงข่มความสงสัยนั้นไว้ในใจ แล้วพยายามชวนคุยต่อว่า “ได้ยินพวกมามาคุยกันว่า อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราก็จะถึงตระกูลเหอแล้ว ไม่รู้ว่าตระกูลเหอจะสร้างความยุ่งยากอะไรให้พวกเราหรือไม่”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้!” เฉิงฉือกล่าว “เรื่องหลักๆ ได้ตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่วันที่มาสู่ขอในวันนั้นแล้ว วันนี้ก็เป็นเพียงพิธีการหนึ่งเท่านั้น อีกไม่กี่วันรอให้มอบสินสอด กำหนดวันจัดพิธีเรียบร้อยแล้ว ธุระอันเกี่ยวกับงานแต่งก็คงจะจัดเตรียมได้เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากกลั้นหัวเราะ

เห็นได้ชัดว่าท่านน้าฉือเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน

นางจำได้ว่าตอนที่พี่สาวแต่งงานนั้น นอกจากตระกูลเลี่ยวจะส่งคนมาสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นในวันหมั้นเล็กแล้ว วันส่งมอบสินสอด วันกำหนดวันจัดพิธีนั้นนางล้วนจำได้ไม่แม่นยำนัก แต่หลังจากที่วันแต่งงานได้ถูกกำหนดออกมาแล้ว ทั้งสองตระกูลต่างก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงาน ท่านป้าใหญ่ไปกลับระหว่างจินหลิงกับเจิ้นเจียงนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนตระกูลเลี่ยวเองก็ส่งคนมาครั้งแล้วครั้งเล่า…นอกจากนี้ ในวันแต่งงานนั้นคนที่เป็นเถ้าแก่ยังต้องสวมชุดมงคลสีแดงสดไปช่วยเจ้าบ่าวรับตัวเจ้าสาวกลับมาด้วย…ท่านน้าฉือจะรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่

โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย คลี่ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ในพิธีมงคลของพี่ชายเก้าวันนั้น ท่านกับนายท่านใหญ่กู้ต้องสวมชุดมงคลไปรับตัวเจ้าสาว ท่านคิดว่าจะขี่ม้าไปหรือเดินไปเจ้าคะ”

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย

เดิมทีเขาคิดเพียงว่าถือเป็นการให้หน้าแก่มารดาครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีนายท่านใหญ่กู้ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาตระกูลกู้ก็ไปเป็นคู่ด้วย เขาคิดว่าอย่างมากตนก็เพียงเอาตำแหน่งจิ้นซื่อที่มีติดตัวให้เฉิงเก้าใช้สักครั้งก็พอ ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยตอบตกลงไป ใครจะรู้ว่าการเป็นเถ้าแก่จะเป็นเรื่องยุ่งยากถึงเพียงนี้

ดูทีแล้วประเดี๋ยวตนต้องให้ไหวซานไปสืบดูสักหน่อยว่าการเป็นเถ้าแก่นั้นจริงๆ ต้องทำอะไรบ้างกันแน่

แค่มองโจวเสาจิ่นก็รู้ได้ว่าเฉิงฉือไม่รู้อะไรจริงๆ ตามคาด ในใจก็บังเกิดความยินดีที่เกินจะบรรยายขึ้นมา

นางถามขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ไม่เพียงต้องไปรับตัวเจ้าสาวเท่านั้น เมื่อพวกท่านไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวอาจจะปิดประตูใหญ่เอาไว้เพื่อขอซองแดง คนเป็นเถ้าแก่จึงต้องช่วยเจ้าบ่าวเจรจากับฝ่ายเจ้าสาว หากว่าฝ่ายเจ้าสาวต้องการให้ฝ่ายเจ้าบ่าวเขียนกลอนคู่หรือเขียนกลอนสักบทหนึ่ง เถ้าแก่ก็ต้องช่วยเจ้าบ่าวหยิบจับพู่กัน ต้องมั่นใจว่าจะช่วยเจ้าบ่าวสู่ขอเจ้าสาวมาได้อย่างราบรื่นเจ้าค่ะ…”

เฉิงฉือมองนัยน์ตาระยิบระยับของนางแล้ว ก็อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้

เด็กสาวผู้นี้คงจะคิดว่าตนที่ดูเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ ต้องทนไม่ได้กับความอึกทึกครึกโครมของงานแต่งเป็นแน่กระมัง ทว่านางไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาเป็นคนรักษาคำสัญญา ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขารับปากแล้ว ต่อให้ในใจไม่ยินยอมอย่างไรก็จะทำให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ

ก็เพียงประจบตระกูลเหอเพื่อสู่ขอเจ้าสาวกลับมาให้ได้เท่านั้นไม่ใช่หรือ

นี่มีอะไรที่ยากเย็นอย่างนั้นหรือ

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เสียดายที่ข้าไม่ได้เป็นขุนนาง ไม่เช่นนั้นคงได้สวมชุดขุนนางไปรับเจ้าสาวให้เก้าเกอเอ๋อร์แล้ว คนที่มาดูคงมีมากขึ้นอย่างแน่นอน” ขณะที่เขากล่าว ก็ลูบคางไปด้วย กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ามีป้ายประกาศเกียรติคุณ ข้ายังจำได้ว่าตอนที่ข้ากลับมาจากจิงเฉิงใหม่ๆ นั้น ลุงใหญ่จิงของเจ้าทำป้ายให้ข้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า ผู้สอบผ่านจิ้นซื่ออีกชิ้นหนึ่งเขียนว่า ผู้สอบผ่านขั้นสองลำดับที่สิบสองประจำปีการสอบที่สิบห้ารัชศกจื้อเต๋อ หากข้าจำไม่ผิด ป้ายประกาศเกียรติคุณทั้งสองชิ้นนี้ล้วนเก็บเอาไว้ในหอบรรพชน ตอนวันขึ้นปีใหม่พ่อบ้านใหญ่ฉินยังบอกข้าว่า ได้นำป้ายทั้งสองชิ้นนี้ออกมาเคลือบสีใหม่ ให้ข้ารีบไปหางานอะไรมาสักอย่าง ถึงเวลาจะได้นำป้ายสองชิ้นนั้นออกมาใช้ได้เลย…”

โจวเสาจิ่นตกตะลึง

นางรู้ว่าคนที่สอบผ่านจิ้นซื่อจำนวนไม่น้อยจะชูป้ายประมาณนี้ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อโอ้อวดความสำเร็จ แต่ท่านน้าฉือไม่น่าจะเป็นคนประเภทนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ

โจวเสาจิ่นอดที่จะลอบสำรวจเฉิงฉืออย่างละเอียดไม่ได้

เขามีดวงตาโต หางตายกขึ้นเล็กน้อย ขนตาทั้งหนาและโค้งงอน ตอนนี้เขากำลังครุ่นคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ แววตาไม่เพียงดูคมกล้า ทั้งยังเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง เป็นความจริงจังประเภทที่ทำให้คนรู้สึกว่าไม่เชื่อไม่ได้

โจวเสาจิ่นเกือบจะกระโดดตัวโหยงขึ้นมาแล้ว

นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า

นี่เป็นพิธีแต่งงานของพี่ชายเก้า ไม่ใช่พิธีแห่ระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดของท่านน้าฉือเสียหน่อย!

หากชูป้ายทั้งสองชิ้นออกไป แล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่านี่เป็นพิธีแต่งงานของพี่ชายเก้า

“ไม่…ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นโบกมือห้ามไม่หยุด

เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นอย่างไม่เข้าใจ ประหนึ่งกำลังถามนางว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพูดมาหรอกหรือ เหตุใดถึงบอกว่าไม่ต้องแล้ว

โจวเสาจิ่นอึกอัก รีบหาข้อแก้ตัวว่า “ข้าหมายถึงไม่ต้องเอิกเกริกถึงเพียงนั้น ท่านน้าฉือเพียงสวมชุดมงคลไปรับเจ้าสาวก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือกล่าว “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง! ท่านยายของเจ้าให้ข้าเป็นเถ้าแก่ให้เก้าเกอเอ๋อร์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตำแหน่งจิ้นซื่อขั้นสองของข้าหรอกหรือ” ขณะที่เขากล่าว ก็พึมพำไปด้วยว่า “ข้าว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเกินไป ข้าจะให้พ่อบ้านใหญ่ฉินไปหาป้ายสองชิ้นนั้นออกมาก่อน รอให้เจ้าไปถามท่านยายของเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

โจวเสาจิ่นไม่มั่นใจจริงๆ ว่าท่านยายจะว่าอย่างไรบ้าง

ชาติก่อนพี่สาวผู้เป็นญาติผู้พี่ของหลินซื่อเซิ่งผู้หนึ่งป่วยเสียชีวิต เพื่อให้เป็นที่เชิดหน้าชูตายามประกอบพิธีฝังศพ พี่เขยของเขาก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากหลินซื่อเซิ่ง ต้องใช้เงินไปกว่าห้าพันเหลี่ยงถึงจะได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์มาตำแหน่งหนึ่ง

แต่ท่านน้าฉือพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะปฏิเสธอีกได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นขานรับอย่างไม่สบายใจว่า “เจ้าค่ะ” ทว่าภายในใจนั้นไม่รู้ว่ากำลังเสียใจเพียงใด หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ตนก็คงไม่เอ่ยถึงเรื่องพิธีไปรับตัวเจ้าสาวขึ้นมาแล้ว พอถึงเวลาไปรับตัวเจ้าสาวก็คงมีคนไปบอกเขาเอง นี่ตนทำเสียเรื่องอะไรไปบ้างนะ!

เฉิงฉือมองใบหน้าที่พยายามแสร้งทำเป็นสงบนิ่งทว่าไม่ต่างไปจากคนที่กำลังท้อแท้หมดหวังแล้ว ก็เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา

เด็กคนนี้ช่างมีเพียงใบหน้าที่งดงามเท่านั้นจริงๆ

นางไม่ใช้สมองขบคิดบ้างเสียเลยว่า ต่อให้เขาจะไร้ความคิดอย่างไร ก็ไม่อาจแย่งความโดดเด่นในพิธีแต่งงานของหลานชายได้!

เช่นนั้นก็ออกจะไร้ระดับเกินไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม สรุปว่าที่นางให้ฝานฉีไปจิงเฉิงนั้นต้องการทำอะไรกันแน่นะ

หรือว่าตนจะคิดซับซ้อนจนเกินไปเอง

ยังมีอะไรที่เขามองข้ามไปหรือเปล่า

เฉิงฉือคิดว่าจะถามนางอีกสักสองประโยค ดูว่าจะถามข้อมูลอะไรออกมาได้หรือไม่ แต่ทันใดนั้นบนชั้นดาดฟ้าเรือก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งดังเข้ามา

หัวคิ้วของเขาขมวดเป็นปมน้อยๆ จนแทบจะมองไม่เห็น ต่อจากนั้นก็หันหน้ากลับไปอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับโจวเสาจิ่นอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย เห็นหลั่งเย่ว์เดินเข้ามาจากทางห้องพักโดยสาร

“นายท่านสี่ คุณหนูรอง” เขาทำความเคารพทั้งสองคนอย่างนอบน้อม กล่าวขึ้นว่า “นายท่านใหญ่ตระกูลกู้ตื่นจากนอนพักผ่อนแล้ว ต้องการพบท่านเพื่อหารือเรื่องที่ผูโข่วขอรับ”

เฉิงฉือขาน “อืม” เสียงหนึ่ง หันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้โจวเสาจิ่นแล้วออกจากหัวเรือไป

โจวเสาจิ่นรีบย่อเข่าทำความเคารพครั้งหนึ่ง รอจนเฉิงฉือจากไปแล้ว คิดว่าใกล้จะถึงผูโข่วแล้ว หากถูกใครพบเห็นเข้าคงไม่ดี จึงกลับไปที่ห้องพักโดยสารด้วยเช่นกัน

ภายในห้องพักโดยสาร โจวชูจิ่นยังไม่กลับมา ชุ่ยหวนกำลังปรนนิบัติเฉิงเจียดื่มน้ำชาอยู่

พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา นางเอ่ยเสียงดังว่า “เจ้าไปไหนมา ข้าทรมานจวนจะตายแล้ว! ตอนเดินทางกลับพวกเราเดินทางทางบกได้หรือไม่”

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกทรมานแทนนาง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองหารือกับท่านป้าใหญ่หลูดูดีหรือไม่”

จากผูโข่วกลับจินหลิงก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น

เฉิงเจียพยักหน้าอย่างเงื่องหงอย สั่งการชุ่ยหวนว่า “ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของข้าลงมาเถอะ กดจนศีรษะของข้าเจ็บไปหมด”

ชุ่ยหวนลังเลเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านอดทนอีกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ! พวกเราไปเป็นแขกของตระกูลเหอที่ผูโข่ว หากว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย จะเป็นการไม่ให้เกียรติตระกูลเหอเอาได้นะเจ้าคะ…”

โจวเสาจิ่นเองก็เกลี้ยกล่อมนางด้วยเช่นเดียวกัน ยังให้ชุ่ยหวนเปิดหน้าต่างเรือออก และช่วยพัดให้นาง

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ยินคนเรือตะโกนบอกว่า “ถึงผูโข่วแล้ว” คนภายในห้องพักโดยสารต่างพากันมีชีวิตชีวาขึ้นมา

หลังจากที่คนของตระกูลเหอที่มาต้อนรับตระกูลเฉิงได้กล่าวทักทายกับเฉิงฉือและนายท่านใหญ่ตระกูลกู้แล้ว คนขับเรือก็วางแผ่นกระดานลง แล้วประคองบรรดาสตรีลงจากเรือและขึ้นเกี้ยวไป

โจวเสาจิ่นลอบเลิกผ้าม่านขึ้นและมองไปด้านนอก

ดูไปแล้วผูโข่วไม่ใหญ่มากนัก แต่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน สีหน้าของผู้คนที่สัญจรบนถนนก็ดูมีความสุข เห็นได้ว่าผู้คนที่นี่มีชีวิตที่ไม่เลวนัก

กระทั่งเกี้ยวเลี้ยวเข้าไปในซอยๆ หนึ่ง ก็มีเสียงปะทัดดัง ปังๆขึ้นภายในซอย

โจวเสาจิ่นรู้ว่าใกล้จะถึงตระกูลเหอแล้ว จึงรีบปล่อยผ้าม่านลงและนั่งอย่างเรียบร้อย

ประตูใหญ่ของตระกูลเหอเปิดกว้าง แต่เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อตระกูลเหอ เฉิงฉือและคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปทางประตูด้านซ้าย ส่วนเกี้ยวของโจวเสาจิ่นและสตรีคนอื่นๆ เข้าไปทางประตูด้านขวา ตรงไปจอดที่โรงจอดเกี้ยว

โจวเสาจิ่นลงมาจากเกี้ยว เห็นฮูหยินที่แต่งตัวอย่างหรูหราสองคนและหญิงสูงวัยที่ท่าทางดูจะเป็นเถ้าแก่อีกหนึ่งคนยืนต้อนรับพวกนางอยู่ในโรงจอดเกี้ยวด้วยรอยยิ้มเบิกบาก มีเด็กและผู้ใหญ่ที่ท่าทางเหมือนบ่าวรับใช้อีกจำนวนหนึ่งล้อมอยู่ด้านนอกโรงจอดเกี้ยวเพื่อดูความคึกคัก

เถ้าแก่ของทั้งสองตระกูลแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

ทุกคนต่างก้าวออกไปทำความเคารพ

โจวเสาจิ่นได้ยินคนในหมู่บ่าวรับใช้กระซิบกระซาบกันว่า “คุณหนูของตระกูลเฉิงล้วนงดงามยิ่งนัก! เจ้าดูคนที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีฟ้าน้ำทะเลผู้นั้น ผ้าที่ใช้ตัดชุดของนางนั้นมัดหนึ่งราคาสิบสองเหลี่ยง ฮูหยินเก้าบอกว่าเป็นผ้ารูปแบบใหม่ของหังโจว ต้องการเก็บเอาไว้เป็นสินสอดให้คุณหนูห้า…”

“ยังมีคนที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีชมพูผู้นั้นอีก หวีสับบนศีรษะชิ้นนั้นงดงามยิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นดอกโบตั๋น…”

“ข้ารู้สึกว่าเครื่องประดับของคนที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวชอุ่มลายดอกผู้นั้นงดงามกว่า…”

ฮูหยินใหญ่ของตระกูลเหอได้ยินแล้วสีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย

บ่าวรับใช้พวกนี้ยิ่งอยู่ยิ่งใช้การไม่ได้จริงๆ! จะชมว่าคุณหนูของตระกูลเฉิงงดงามก็ชมว่างดงามก็พอแล้ว จะพูดเรื่องผ้าหนึ่งมัดราคาเท่าไหร่ไปเพื่ออันใด ยังจะพูดอะไรทำนองว่าต้องการเก็บเอาไว้เป็นสินสอดนั่นอีก นี่ไม่ใช่เป็นการเพิ่มความยิ่งใหญ่ให้ตระกูลเฉิงและดับความเกรงขามของตัวเองหรืออย่างไร

นางหันไปส่งสายตาให้มามาที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง

มามาผู้นั้นเข้าใจความหมาย ยิ้มพลางหันไปกล่าวกับบ่าวไพร่ทุกคนว่า “วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูใหญ่ พวกเจ้าไม่ไปดูแลเรื่องน้ำกับน้ำชาแล้วมายืนอยู่ที่นี่เพื่ออันใดกัน ยังไม่รีบแยกย้ายกันไปอีก!”

พวกบ่าวไพร่ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงพลางแยกย้ายกันไป

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ถูกเชิญให้เข้าไปรับน้ำชาในห้องโถงหลัก

**********************************************************