บทที่ 187 ไม่หัวเราะ (5)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 187 ไม่หัวเราะ (5)
“ทำไม มันมีปัญหาอะไร” ลู่เซิ่งงงวย เห็นว่าปฏิกิริยาของหงฟางไป๋ประหลาดอยู่บ้าง

“มีปัญหามาก ข้าเคยได้ยินเรื่ององค์กรที่ประกอบขึ้นจากความประหลาดลี้ลับทั้งหมด พวกมันเร้นลับยิ่ง ถูกคนเรียกว่าสำนักไตรอริยะ” หงฟางไป๋กระซิบ “องค์กรนี้ลึกลับยิ่ง อย่าหาเรื่องจะดีกว่า ถ้าเจอ ทางที่ดีให้อ้อมหนี ข้าไม่อยากถูกพัวพันไปด้วยเพราะเจ้า”

“พลังระดับเจ้ายังกลัวสำนักไตรอริยะนี้หรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน

“พวกมันสู้ยากยิ่ง เจ้าไม่เคยเจอจึงไม่รู้ ความสามารถลี้ลับพิสดาร ความประหลาดลี้ลับเดิมที่มีหลายประเภท นับรวมไม่ได้ ความยึดมั่นที่ก่อกำเนิดวิญญาณยิ่งมากเท่าไหร่ ความประหลาดลี้ลับที่ถือกำเนิดมาก็มีมากเท่านั้น รอเจ้าเจอก็จะเข้าใจเอง” หงฟางไป๋กล่าวรวบรัด

ลู่เซิ่งหวนนึกถึงการเจอคันฉ่องแก้วในตอนนั้น เป็นอย่างที่ว่า สุดท้ายเขาก็โดนลากเข้าไปในคันฉ่อง หนำซ้ำอีกฝ่ายยังมีสามร่าง พูดจาไม่ถูกหูก็เสี่ยงชีวิตทันที สู้ยากจริงๆ

“ช่างเถอะ นึกขึ้นได้ เจ้าอาจจะไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้ข้าเจอมา สมควรเป็นผู้รวบรวมของพวกมัน เป็นหน่วยที่ใช้รวบรวมพลังโดยเฉพาะ ถ้าเจ้าเจอคันฉ่องแก้วสีขาวนั่น ให้ระวังไว้” หงฟางไป๋โดดลงจากโต๊ะ “เอาล่ะ ข้าจะไปอาบน้ำแล้ว ที่สมควรบอกก็บอกหมดแล้ว เจ้าหาวิธีเอง”

ลู่เซิ่งไม่ห้าม เพียงมองนางออกจากห้อง เข้าสู่ภวังค์

‘โลกใบนี้นอกจากตระกูลขุนนาง ก็มีขุมกำลังของภูตผีปีศาจอยู่มากมาย สมาคมหทัยร่อนเร่เป็นกลุ่มหนึ่ง จวนอู๋โยวกับสำนักไตรอริยะที่โผล่มาในตอนนี้อีก สุดท้ายแล้วสำนักไตรอริยะนี่ก็เป็นความประหลาดลี้ลับก่อตั้งขึ้นมา’

เขานั่งอยู่เงียบๆ

‘ยังเหลือปราณหยินอีกห้าสิบกว่าหน่วยที่ไม่ได้ใช้ อาจจะยกระดับวิถีหยางโชติช่วงได้ขั้นหนึ่ง’

‘ดีปบลู’

กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่ขึ้นมา

เขามองสถานะของตนในตอนนี้

[วิถีหยางโชติช่วง: ขั้นที่สาม ผลพิเศษ: พละกำลังเพิ่มเป็นระดับสิบสาม สะท้อนกลับระดับสิบ พลังป้องกันเพิ่มเป็นระดับสิบ เผาไหม้ระดับหก…]

‘วิถีหยางโชติช่วงสำเร็จเพราะวิชาแข็งกร้าวทั้งหมดรวมตัวกัน เกิดจากวิชากำลังภายนอก กำหนดระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อกับความสามารถทางกายภาพ ครั้งก่อนยกระดับถึงขั้นสามในครั้งเดียว ประสานเชื่อมปราณภายในหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ก็เกิดสภาพผู้ทำลายล้าง ตอนนี้ ปราณหยินดูเหมือนจะไม่พอแล้ว…’

เขาไม่เห็นปุ่มเรียนรู้ด้านหลังวิถีหยางโชติช่วง ก็พลันผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางวิชากำลังภายใน

[วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน: ระดับเก้า ผลพิเศษ: ระดับปราณภายใน เสริมแกร่งตาข่ายโลหิต]

[ปราณหยินหยางขวดสมบัติ: ระดับเก้า ผลพิเศษ: ข่ายกระเรียนหยิน สภาพหยินโชติช่วง]

ถึงแม้วิชาจะแยกกันบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ปราณภายในด้านในร่างตนหลอมรวมกัน หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง หยางนอกหยินใน

ภายนอกมีวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเป็นหลัก ภายในอาศัยปราณหยินหยางขวดสมบัติปรับร่างกายให้มั่นคง ป้องกันการแผดเผาจากวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่เกรี้ยวกราดเกินไป

ถ้าไม่มีปราณหยินหยางขวดสมบัติ ลู่เซิ่งควบคุมและรองรับวิชากำลังภายในธาตุหยางที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้ไม่ได้

‘หรือก็คือถ้าตอนนี้เราอยากยกระดับวิชากำลังภายในอีก จำเป็นต้องเพิ่มระดับวิชากำลังภายในหยินหยางเท่าที่ได้’ เขาครุ่นคิดถึงตรงนี้ ‘ตอนนี้เหลือปราณภายในห้าสิบกว่าหน่วย มากสุดยกระดับได้แค่วิชาเดียว…หากไม่สมดุล ก็อาจจะมีปัญหา สงวนปราณหยินไว้ก่อนดีกว่า รอสะสมอีกหน่อยค่อยยกระดับพร้อมกัน’

เขาลุกขึ้น เก็บคัมภีร์ใส่ชั้นหนังสือเดิม

“องครักษ์”

“อยู่!”

องครักษ์ใกล้ชิดคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่ง

“เตรียมรถม้าไปยังเมืองชาใส ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้สวีชุยไปด้วย พาคนไปกลุ่มหนึ่ง” ลู่เซิ่งสั่ง องครักษ์ใกล้ชิดเหล่านี้ต่างมีสิทธิ์รู้เรื่องมากที่สุด แต่ละคนเป็นนักรบเดนตายระดับหัวกะทิที่คัดเลือกจากในพรรค เทิดทูนหลงใหลในตัวเขา ทั้งยังปลูกข่ายกระเรียนหยินเอาไว้ ดังนั้นระดับความซื่อสัตย์จึงไม่มีอะไรต้องสงสัย

“ขอรับ!” องครักษ์ใกล้ชิดรับป้ายคำสั่งประมุขพรรค แล้วล่าถอยออกไป

ลู่เซิ่งเดิมทีคิดซ่อนสถานะเดินทางไป แต่คิดอีกที การจัดรถม้าพาคนไปมีผลดีกว่า คนมากก็มีประโยชน์ของคนมาก

เขาถ่ายทอดคำสั่งเสร็จ ก็ยืนอยู่ในห้องหนังสือ ดูท้องฟ้านอกหน้าต่างตามลำพัง ท้องฟ้ามีเมฆเบาบางลอยผ่าน บังดวงอาทิตย์ยามสารทคิมหันต์

เขายืนอยู่พักหนึ่ง ถอนใจ ก่อนเปิดประตูเดินออกจากห้องไป

สามวันให้หลัง เมืองชาใส

ในโรงสุราของเมือง ด้านข้างไหสุราขนาดใหญ่ นักพรตอาภรณ์เขียวคนหนึ่งหยิบเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งจากในถุงออกมานับ

เขาเงยหน้ามองแขกที่ดื่มสุราสรวลเสเฮฮาอยู่ด้านในโรงสุรา สีหน้าเคร่งขรึม จีบนิ้วเป็นท่าทำนายโชคชะตา

นักพรตผู้นี้มีท่าทางทรงภูมิ หน้าเหลี่ยมขึงขัง เหมือนกับผู้สำเร็จธรรม ไว้เคราแพะสีดำเรียบร้อย

เขาพอคำนวณดู ใบหน้าที่ขึงขังในตอนแรกก็เคร่งเครียดลง

“เงินไม่พอแล้ว…”

เขายืนอยู่หน้าไหสุราข้างประตูใหญ่ เถ้าแก่โรงสุราย่อมสังเกตเห็นแต่แรก เดิมไม่ได้สนใจ เพียงแต่เห็นนักพรตผู้นี้ทำหน้าเครียดขึ้นเรื่อยๆ เถ้าแก่เริ่มใจไม่ดี นึกถึงเรื่องประหลาดที่ปรากฏในเมืองเมื่อไม่นานมานี้ จึงรีบมอบหมายงานให้เสี่ยวเอ้อร์ จากนั้นก็เดินไปหา

“เต้าจ่างท่านนี้ บังอาจถาม โรงสุราของข้ามีตรงไหนไม่ถูกต้องหรือ เหตุใดจึงยืนทำหน้าเครียดอยู่ที่ประตู…”

นักพรตสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

“ข้ามีฉายาว่าว่านหอจื่อ บังเอิญผ่านมาร้านท่าน อยู่ๆ ก็เอะใจ จีบนิ้วคำนวณดู กลับพบความผิดปกติบางอย่าง…”

“บังอาจถามว่าผิดปกติตรงไหนหรือ” เถ้าแก่เป็นคนนับถือเต๋า ได้ยินดังนั้นก็เป็นกังวลอยู่บ้าง รีบตะโกนให้เสี่ยวเอ้อร์เชิญนักพรตเข้าโรงสุราไป

ว่านเหอจื่ออิดๆ ออดๆ หลังถูกเชิญเข้าโรงสุรา ก็นั่งเล่าบอกกล่าวอย่างละเอียด

“ศิษย์พี่ว่านเหอจื่อ” ทันใดนั้นแขกที่ดื่มสุราอยู่คนหนึ่งลุกขึ้น มองนักพรตด้วยความแตกตื่นสงสัย

ว่านเหอจื่อได้ยินก็หันไปมอง งุนงงเช่นกัน

“ศิษย์น้องเหยียน!?” เขาประหลาดใจ ยิ้มพลางเดินเข้าไป “ที่แท้ศิษย์น้องเหยียนก็อยู่ที่นี่ บังเอิญ! บังเอิญเกินไปจริงๆ!”

คนที่ลุกขึ้นมาคือเหยียนไคที่ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า เขาสีหน้าแดงเรื่อ หน้าเหลี่ยมเหมือนกัน แต่เทียบกับว่านเหอจื่อแล้ว เครื่องหน้าของเหยียนไคเอาจริงเอาจังกว่า

เหยียนไคมองว่านเหอจื่ออย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขารู้จักจุดอ่อนของศิษย์พี่ผู้นี้ดี ความสามารถไม่มาก แต่ชอบหลอกกินหลอกดื่ม แสร้งเป็นยอดคน ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าขึงขัง แสดงว่าคิดเป่าหูเถ้าแก่เพื่อหลอกดื่มสุรา

“มาๆ ศิษย์พี่มานั่งนี่ พวกเราไม่เจอมานาน จะได้คุยกันด้วย หลายปีมานี้ท่านไปอยู่ไหนมา อาจารย์เล่า เหตุใดไม่เจอใครบนเขา”

ว่านเหอจื่อครั้นเห็นว่ามีคนเลี้ยง ก็ไม่สนใจเถ้าแก่โรงสุราแล้ว พูดสองสามประโยคอย่างขอไปที แล้วเข้ามานั่งกับเหยียนไค

ต้วนหรงหรงที่เดิมนั่งอยู่ข้างเหยียนไค พอถูกเบียด พลันห่อปากไม่พอใจ

“อ้าว หรงหรงก็อยู่นี่ มา ให้ศิษย์พี่กอดหน่อย!” ว่านเหอจื่อพอเห็นต้วนหรงหรง สองตาเป็นประกาย จะเข้าไปฉวยโอกาส

“ศิษย์พี่ว่านเหอจื่อไม่กลัวข้าฟ้องพี่สาวปิงหยวนหรือ” ต้วนหรงหรงกอดอกแค่นเสียง

“เอ่อ…” ว่านเหอจื่อที่เมื่อครู่ยังระริกระรี้ ทำหน้ากระอักกระอ่วนทันตา ชักมือกลับอย่างหวาดกลัว

“อีกอย่างพี่เหยียนไคเป็นศิษย์น้องท่าน หมายความว่าข้าก็เป็นศิษย์น้องท่าน มิน่าพี่สาวหยวนปิงไม่ต้องการท่าน จุ๊ๆ…” ต้วนหรงหรงนั่งห่างจากว่านเหอจื่ออย่างรังเกียจ

“เฮ้อ..อย่าพูดอย่างนั้น ศิษย์พี่ก็ลำบากเหมือนกัน…” ว่านเหอจื่อจนปัญญา

“จริงด้วย ศิษย์พี่ ครั้งนี้ท่านมาเพราะได้ยินเรื่องเล่าที่กระจายอยู่ในเมืองนี้เหมือนกันหรือ” เหยียนไคตอนนี้ถ่ายทอดกระแสเสียง

การถ่ายทอดกระแสเสียงนี้เป็นความลับในสำนักของพวกเขา มีแต่คนที่มีสายเลือดเดียวกันถึงจะใช้ได้

ว่านเหอจื่อได้ยินก็พยักหน้า สีหน้าเอาจริงเอาจัง ถ่ายทอดกระแสเสียงเช่นกัน

“พูดให้ถูกก็คือ ข้าไล่ตามบุคคลยิ่งใหญ่ร้ายกาจมากมา เจ้าเคยได้ยินชื่อเฉาหลงแห่งสมาคมหทัยร่อนเร่หรือไม่”

“เฉาหลง? สมาคมหทัยร่อนเร่หรือ” เหยียนไคเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่เคยได้ยิน ท่านพี่โปรดเล่า”

ว่านเหอจื่อถอนใจ

“บนชายฝั่งกับหมู่เกาะทางตะวันออกของต้าซ่ง เฉาหลงผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ทำให้เด็กหยุดร้องไห้ มีชื่อเสียงน่ากลัว เจ้าจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ทุกการเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ส่งผลต่อสถานการณ์ของขุมกำลังเผ่าปีศาจ เพียงแต่ไม่นานมานี้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อยู่ๆ คนผู้นี้ก็มุ่งสู่ตะวันตก มายังเขตแดนของแดนเหนือ ไม่ทราบเพราะอะไร”

เหยียนไคไม่ทราบว่าเฉาหลงที่อีกฝ่ายเล่าแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เขาเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อเป้าหมายหนึ่ง

“ไม่ว่าเขาจะมาเพราะอะไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ครั้งนี้ข้ามาตรวจสอบเรื่องเล่าของเจ้าบ้านไม่หัวเราะที่แพร่หลายในเมืองชาใส”

“เจ้าบ้านไม่หัวเราะหรือ” ว่านเหอจื่อขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงบุรุษที่ให้คนเล่าเรื่องตลกในบ้านหินกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งในป่าลึกหรือ”

“ถูกต้อง…” เหยียนไคพูดไม่ทันจบ พลันได้เย็นเสียงฝีเท้าม้าสับสนดังมาจากนอกโรงสุรา

ชายฉกรรจ์สวมชุดเข้ารูปสีดำโขยงหนึ่งห้อมล้อมขบวนรถม้าที่ประณีตขบวนหนึ่งอยู่บนถนน คนในเมืองและพ่อค้าหาบเร่ถูกไล่ให้ไปหลบขบวนอยู่สองฟาก

ตรงกลางขบวนรถเป็นเกี้ยวงดงามสีดำขอบแดงหลังหนึ่ง บุรุษกำยำสภาวะไม่ธรรมดาแปดคนแบกบนบ่าพลางก้าวเดิน

สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือ ด้านนอกขบวนนี้ยังมีทหารจากกองทัพเฟยเหลียนคอยอารักขา

“ขบวนนี้ใหญ่โตจริงๆ” ว่านเหอจื่อเหลือบมอง อดอุทานไม่ได้

เหยียนไคเห็นธงที่ตั้งบนขบวนรถ

“เป็นพรรควาฬแดง! พวกเขามาได้อย่างไร”

“หนำซ้ำยังเป็นประมุขพรรคมาเอง!” ต้วนหรงหรงจำธงคันนั้นได้เช่นกัน พวกเขาเคยเดินทางในแดนเหนือช่วงหนึ่ง ได้ติดต่อกับพรรควาฬแดงอยู่บ่อยๆ

พรรคนี้เป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนืออย่างแท้จริง ประมุขพรรคยิ่งเป็นคนรู้จักของพวกเขา คุณชายลู่ ลู่เซิ่งที่เคยติดต่อกันมาก่อน

“เป็นคุณชายใหญ่ตระกูลลู่…” ต้วนหรงหรงเอ่ยเสียงทุ้ม พูดยังไม่จบ เหยียนไคก็ขัดขึ้น

“ไม่…สมควรเป็นราชาดาบแดนเหนือลู่เซิ่ง” เขาเอ่ยเสียงต่ำ

“ราชาดาบแดนเหนือหรือ คุยโวนัก ไม่กลัวขากรรไกรค้างหรือ” ว่านเหอจื่อไม่เห็นด้วย “ถ้ามังกรท่องบูรพาเฉาหลงได้ยิน ราชาดาบแดนเหนือเกรงว่าจะประสบภัยแล้ว”

“นั่นกลับไม่แน่นัก” เหยียนไคส่ายหน้า “ความเร็วในการผงาดขึ้นของลู่เซิ่งประมุขพรรคลู่ผู้นี้ เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์ พลังเป็นหนึ่งในแดนเหนือ หนำซ้ำยังโหดเหี้ยมอำมหิต เบื้องหลังล้ำลึก พลังและขุมกำลังแบบนี้ไม่มีทางเป็นมนุษย์ธรรมดา ถ้าสู้กันจริงๆ แพ้ชนะยากตัดสิน”

“ไม่…เจ้าไม่รู้จักความน่ากลัวของมังกรท่องบูรพาเฉาหลง” ว่านเหอจื่อส่ายหน้า “รอเจ้าเห็นเขาลงมือจริงๆ จะเข้าใจเองว่าทำไมเขาจึงได้ปกครองหมู่เกาะทางตะวันออกทั้งหมด ทำไมจึงมียอดฝีมือมากมายอยู่ใต้เงามืดของเขา” ตอนนี้พอเขาหวนนึกถึงภาพนั้น ด้านในดวงตาปรากฏความพรั่นพรึง

เหยียนไคไม่เถียงกับว่านเหอะจื่อ มองออกว่าศิษย์พี่เคยถูกเฉาหลงขู่ขวัญมา แต่เขาเคยเจอลู่เซิ่ง ทราบว่าคนผู้นี้กล้าหาญชาญชัย ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด จิตใจเหี้ยมโหด บวกกับที่นี่อยู่ในอาณาเขตของแดนเหนือ ถ้าสร้างความไม่พอใจให้แก่ประมุขพรรคใหญ่ลู่ที่นี่ ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดก็เป็นอันรู้ดี

ถ้าให้ทั้งสองคนนี้สู้กันจริงๆ เขาไม่คิดว่าลู่เซิ่งจะแพ้

“ไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่พวกเราไม่ควรหาเรื่อง อย่าไปท้าทายก็พอ” เหยียนไคกล่าวเบาๆ

……………………………………….