ภาคที่ 3 บทที่ 102 ล่า (7)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 102 ล่า (7)

อันซื่อหยวนชะลอการโจมตีลงเช่นนี้ทำให้คนกรมวินิจฉัยคดีกดดันเป็นอย่างมาก

ท่ามกลางม่านหมอก มีเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้นให้ได้ยินอย่างชัดเจน

เฉินเหวินฮุยเจ็บใจนัก แต่ก็รู้ว่าหากไม่สูญเสียสักหลายชีวิตก็คงไม่อาจรอดพ้น

แต่ที่ต่างคือจะต้องเสียไปกี่ชีวิตกัน

เฉินเหวินฮุยหวังว่าจะสามารถคงจำนวนให้น้อยที่สุด

ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือ

ดอกบัวสีน้ำเงินเขียวพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว ค่อย ๆ แผ่ลำแสงและหมุนวนอยูในอากาศ จากนั้นมันก็ลอยไปอยู่กลางม่านหมอกแล้วเริ่มแผ่แสงเรืองเยือกเย็นออกมา

ลำแสงนี้แผ่ไปทางใด เหล่าภูตผีก็หลีกหนี พบว่าไม่อาจต้านทาน ได้แต่กรีดร้องเสียงโหยหวนด้วยความโกรธและหวาดกลัวอยู่ในหมอก

นี่คือบัววิมลฟ้าเฉินเหวินฮุย

เขาไม่เหมือนกับคนด่านทะลวงลมปราณคนอื่น ๆ ที่ซูเฉินเคยพบมาก่อน เฉินเหวินฮุยเกิดในตระกูลสายเลือดชั้นสูง มีสายเลือดอสูรกายระดับสูง วิญญาณบัวพฤกษาฟ้านั้นทรงพลังมาก สายเลือดที่ไหลเวียนในกายเขาเองก็ค่อนข้างบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงโจมตีได้รุนแรงเป็นพิเศษ

เมื่อมีแสงจากบัววิมลฟ้าแล้ว หมอกควันเหล่านี้ก็โจมตีได้เบาลง พวกทหารที่ถูกปีศาจในม่านหมอกโจมตีก็เริ่มฟื้นคืนพลัง

บัววิมลฟ้านั้นนอกจากจะไล่ปีศาจได้แล้วยังมีผลในการฟื้นฟูในระยะกว้างด้วย

เมื่อใช้วิชาบัววิมลฟ้าแล้วสถานการณ์ก็เริ่มคงที่ เฉินเหวินฮุยก็ดีใจอยู่ภายใน ก่อนเหลือบมองม่อว่ากำลังคิดจะลงมืออะไรอีก แต่กับพบว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งเข้ามา ในนัยน์ตาฉายประกายแสงประหลาด

และด้วยแสงประหลาดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าหัวเฉินเหวินฮุย อันซื่อหยวนบัดซบนั่นเรียกตัวเขามาก็เพื่อให้เขาเผชิญกับเรื่องอันตราย ตอนนี้ยังจะให้เขาเป็นหัวหอกบุกศัตรู ใช้ศัตรูทำให้เขาอ่อนแอลง เจ้าเล่ห์นัก ! เขาเป็นคนมีคุณธรรม มีหรือจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลอกใช้ตนเช่นนี้ ? แม้จะต้องเสี่ยงชีวิต แต่ก็จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรตามใจชอบโดยง่ายแน่

ภายในใจพลันมีเปลวเพลิงแห่งความแค้นลุกโชน เขาคุมตนเองไม่ได้ บัววิมลฟ้าพลันเปลี่ยนทิศทาง แสงสีฟ้าหลายเส้นพุ่งเข้าใส่เจ้างูยักษ์ทันที

งูยักษ์ถูกอันซื่อหยวนโจมตีจนพ่ายไปแล้ว กำลังจะสิ้นใจ เมื่อถูกบัววิมลฟ้าเข้าเช่นนี้มันก็ฟื้นคืนพลัง เพิ่มกำลังขึ้นสูง มันขู่ฝ่อเสียงดังแล้วเลื้อยเข้าใส่คนทั้งหลายทันที

อันซื่อหยวนไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ ตอบสนองไม่ทันการณ์ งูยักษ์เลื้อยผ่านเขาไป ฟาดหางใส่ทหารประจำเมือง 7-8 คนจนกระดูกแตกทั่วร่างสิ้นลมทันที

อันซื่อหยวนทั้งตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว ร้องเสียงดังขึ้น “เฉินเหวินฮุย ทำอะไรของเจ้ากัน ?”

“หากเจ้าไม่คิดให้ข้าอยู่ ก็อย่าคิดว่าตนจะรอด !” เฉินเหวินฮุยคำราม วิญญาณบัวพฤกษาฟ้าปรากฏขึ้นเบื้องหลังแล้วส่องสว่างจ้า แผ่พลังกดดันบีบคั้นอันซื่อหยวน

อันซื่อหยวนโกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก ในใจคิดว่า “หากมันจะกระทำการบ้าระห่ำเช่นนี้ ข้าจัดการเสียตรงนี้เลยจะดีกว่า” สุดท้ายเขาก็ไม่เกรงกลัวอะไรอีก แผ่ไอสังหารออกมา กระแทกหมัดอหังการออกไปทางเฉินเหวินฮุย

จู่ ๆ ก็พลันขัดแย้งกันเองเช่นนี้ ทุกคนจึงตกตะลึงไป

พวกที่ตอบสนองช้าก็ยังยืนตะลึงงันอยู่ พวกที่หัวไวหน่อยก็เริ่มออกท่าโจมตีอย่างเปิดเผย

การต่อสู้ตกลงสู่ห้วงความโกลาหลทันที

“หยุด !” ซูเฉินร้องขึ้น

แต่ท่ามกลางความโกลาหลเช่นนี้จะมีใครฟังคำเขา ?

ซูเฉินมองหลู่ชิงกวงพุ่งเข้าไปโจมตีเฉินเหวินฮุย

ซูเฉินรีบเข้าไปแทรกทันที “จัดการเผ่าวิญญาณนั่นก่อน !”

เขาพยายามบรรเทาสถานการณ์ ทว่าหลู่ชิงกวงกลับตวัดสายตามองเขา นัยน์ตาฉายประกายเป็นสีแดงแล้วกู่ร้อง คลื่นพลังเป็นระลอกถูกปล่อยออกจากร่าง

ราวกับถูกฟ้าผ่าร่าง ซูเฉินร้องแล้วกระเด็นออกมา ระลอกพลังปั่นป่วนอยู่ในร่าง เขาพลันกระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่

“ซูเฉิน !” จีหานเยี่ยนร้องขึ้นแล้วเหินร่างเข้ามารับซูเฉินไป ก่อนจะหันไปมองหลู่ชิงกวงด้วยความโกรธ “ทำอะไรของเจ้า ?”

หลู่ชิงกวงนัยน์ตาแดงก่ำคำรามลั่น “พวกเจ้าตายให้หมด !”

คลื่นพลังเป็นระลอกพลันพุ่งออกจากร่างเขาราวกับเป็นระลอกคลื่นในมหาสมุทร

จีหานเยี่ยนใช้ฝ่ามือเหมันต์ แต่ไม่ว่านางจะแกร่งเพียงไหน ทว่าอีกฝ่ายเป็นคนด่านทะลวงลมปราณ เมื่อวิชาปะทะกัน แรงกดดันจากคู่ต่อสู้จึงส่งผลให้ร่างนางสั่นสะท้านรุนแรง ทำให้ฝ่ามือเหมันต์ถูกหักล้างจนไร้ผล

แต่ด้วยเป็นคนหัวแข็ง จีหานเยี่ยนจึงคิดออกท่าโจมตีอีก แต่ซูเฉินรั้งไว้ “อย่าสู้ เขาตกอยู่ในวิชาจิตของเผ่าวิญญาณนั่น !”

อะไรนะ ?

จีหานเยี่ยนจึงพลันสังเกตว่าจู่ ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างไร้เหตุผล เป็นฝีมือเจ้าเผ่าวิญญาณผู้นั้นนี่เอง

แม้นางจะรู้ว่าเผ่าวิญญาณเชี่ยวชาญวิชาจิตมาก แต่ก็นับเป็นครั้งแรกที่ได้ประสบด้วยตาตนเอง อย่างแรกเลยก็ค่ายกลมายา จากนั้นก็ปั่นหัวให้คนตีกันเอง แม้เผ่าวิญญาณจะไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่ง แต่ก็ใช้กลยุทธ์จากมันสมองพลิกสถานการณ์เป็นได้เปรียบ นับเป็นศัตรูที่น่าเกรงกลัวไม่ใช่น้อย

“อะไรอีกล่ะ ?” จีหานเยี่ยนร้องถามเมื่อเห็นหลู่ชิงกวงพุ่งเข้ามาอีก

“หยุดเขาก่อนเถอะ !” ซูเฉินยกมือซ้ายขึ้น ก่อเกิดเป็นเพลิงเงายักษ์ในฝ่ามือ

เพลิงเงายักษ์ทรงพลังปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่าก็หยุดหลู่ชิงกวงไว้ได้ ปกติแล้วหลู่ชิงกวงคงเลือกหลบเพลิงเงายักษ์แล้วพุ่งเข้าโจมตีซูเฉิน แต่เพราะตอนนี้ความคิดไม่กระจ่าง คิดจะสู้อย่างเดียว ดังนั้นจึงสู้กับได้ไม่ยากนัก

ชายหนุ่มและจีหานเยี่ยนจึงพอมีเวลาได้พักหายใจ

พวกเขามองสถานการณ์โดยรอบ เห็นว่าคนอื่น ๆ ก็ถูกคุมจิต โจมตีใส่พวกเดียวกันเองเช่นกัน มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่ยังไม่ถูกควบคุม แต่ก็พัวพันการต่อสู้ ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้

“เอาอย่างไรต่อ ?” จีหานเยี่ยนร้องขึ้น

“จะทำอะไรได้อีก ? ก็ต้องสังหารเผ่าวิญญาณนั่นน่ะสิ !” ซูเฉินคำรามแล้วพุ่งเข้าไปในม่านหมอกทันที

“ซูเฉิน ระวังด้วย !” จีหานเยี่ยนร้องบอก

หากแต่พริบตาต่อมา ร่างชายหนุ่มก็พลันส่องแสงแล้วหายวับไป ปรากฏขึ้นอีกทีเบื้องหลังม่านหมอกนั่น

คือวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย

หลังจากทำการแยกโครงสร้างมันแล้ว วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายก็ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทำให้เขาเคลื่อนกายผ่านม่านหมอกส่วนมากไปได้ พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นอีกทีหลังกลุ่มหมอกได้พอดี

เขาเงื้อมือขึ้น สร้างระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงแล้วซักออกไป มันทะยานขึ้นฟ้าแล้วพุ่งออกไป ทิ้งเพลิงไฟไว้เป็นทาง

ซูเฉินเองก็พุ่งออกไปราวกับคันศร ตามเพลิงไฟนั่นไปติด ๆ

ม่อขู่คำรามพลางมองเปลวเพลิงที่กำลังใกล้เข้ามา

“ย่าห์ !” สิ้นเสียงคำราม เปลวเพลิงนั้นก็ราวกับกระแทกเข้ากับกำแพงล่องหน มันหยุดชะงักไปก่อนจะสลายหายไปช้า ๆ

และเมื่อเปลวเพลิงหายไป ชายหนุ่มก็พุ่งเข้ามา เขารวมพลังไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะกระแทกมันไปทางม่อ

เหยี่ยวเพลิงเป็นเพียงตัวหลอกเท่านั้น ท่าสังหารที่แท้จริงของเขาคือสว่านทะลวงเกราะ

ม่อไม่คิดว่าซูเฉินจะใช้ลูกไม้เช่นนี้ หากแต่ก็ไม่คิดปัดป้อง เมื่อสว่านทะลวงเกราะกำลังกระแทกเข้ามานั้น ร่างของคนผู้หนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นขวางกายเขาไว้

ตู้ม !

แขนซูเฉินทะลวงเข้าร่างคนผู้นั้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ตวัดดาบในมือเข้าใส่เขา ทำให้ซูเฉินจำต้องเบี่ยงตัวหลบก่อนบิดแขนที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม

หากเป็นคนธรรมดาก็คงหมดสติไปแล้ว แต่อีกฝ่ายราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวด กระโจนเข้ามาส่งลูกเตะใส่อกซูเฉิน ตามมาด้วยตวัดดาบเข้าใส่อีกครั้ง

ทั้งสองแลกกระบวนท่ากันหลายครา แม้ซูเฉินจะเหนือกว่า แต่อีกฝ่ายไม่กลัวตาย ไม่คิดปัดป้องการโจมตี ฝืนรับมันไว้ทั้งหมด

ในเวลาเดียวกันนั้น ม่อก็ตระเตรียมวิชาอาร์คาน่าที่เตรียมการมานานสำเร็จ จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปทางซูเฉินแล้วตะโกนขึ้น “ตาย !”

ลูกบอลแสงสีทะมึนพุ่งเข้าใส่ซูเฉินในพลัน !!!