“ศิษย์…ศิษย์พี่อัน” เหยาซิ่วช้อนตาขึ้น เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง

“อืม ข้าไม่ได้บ้า รีบเอาเปลือกไปทำซุปเสียเถอะ เจ้าบอกว่าเสริมสร้างแคลเซียมไม่ใช่หรือ อย่าเสียเวลาเลย” อันหลินพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ไม่บ้าจริงๆ หรือ

ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์มุมปากกระตุก

เหยาซิ่วเดินย่องเข้าไปใกล้อันหลิน ราวกับเป็นแมวน้อยที่ตกใจกลัวแต่ก็รู้สึกผิด

นางเหลือบมองอันหลินอย่างหวาดกลัวแวบหนึ่ง ยื่นสองมือที่ขาวผ่องออกมา พูดอย่างลังเลว่า “จะใช้ทำซุปจริงหรือ”

อันหลินได้ฟังก็พยักหน้าจริงจัง จากนั้นยื่นเปลือกไข่ออกไปให้นาง

เหยาซิ่ว “…”

ตึงๆ ๆ…กึกๆ ๆ…

ห้องครัววุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่นานเหยาซิ่วก็จุดไฟ เคี่ยวเปลือกไข่ของน้องสี่

ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่บนโต๊ะ

อาหารเต็มโต๊ะส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ

ผีมือการทำอาหารของเหยาซิ่วดีมากจริงๆ แต่อีกประการหนึ่งเป็นเพราะไข่แดงและไข่ขาวของน้องสี่กลมกล่อมอย่างยิ่ง

ต้าไป๋ก้าวออกจากความโศกเศร้า ดวงตาจ้องอาหารเลิศรสแต่ละจานบนโต๊ะไม่วางตา

มันที่มีประสาทรับกลิ่นว่องไว เมื่อได้สัมผัสกับอาหารอันโอชะเลิศล้ำในระยะประชิดแบบนี้ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

“ทุกคนเร่งมือหน่อย อย่าให้การเสียสละของน้องสี่ต้องสูญเปล่า” อันหลินชูตะเกียบขึ้นแล้วกล่าว

เจ้าอัปลักษณ์ “…”

เสี่ยวหง “…”

ต้าไป๋ “…”

พี่น้องสกุลเหยา “…”

อันหลินไม่สนใจปฏิกิริยาของทุกคน

เขาปลงตกแล้ว หากจะหดหู่เสียใจ ห่อเหี่ยวเซื่องซึม สู้ปล่อยวาง ยอมรับทุกอย่างของเสี่ยวหลานดีกว่า

เขาคีบกุ้งมังกรไข่แดงขึ้นมาก่อน

เหยาซิ่วแกะเปลือกของกุ้งมังกรออกแล้ว เนื้อกุ้งขาวถูกโปะด้วยไข่แดงรสกลมกล่อม แลดูเหลืองทองน่ากิน ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันยั่วยวนใจ

อันหลินส่งเนื้อกุ้งเข้าปาก รสอร่อยเลิศล้ำกระตุ้นต่อมรับรสของเขา ทำให้เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

เขาเคี้ยวอย่างละเมียดละไม พึมพำว่า “อร่อย…”

ต้าไป๋เห็นอันหลินเริ่มลงมือกินแล้ว จึงขยับตะเกียบตาม

มันคีบไข่ม้วนที่อยู่ใกล้มันที่สุด

บอกตามตรง มันทนไม่ไหวมานานแล้ว เพียงแต่ว่าความเจ็บปวดเสียใจและความรู้สึกผิดบาปยับยั้งมันไว้ ทำให้มันไม่กล้าเคลื่อนไหว

เมื่อไข่ม้วนเข้าปาก ไม่อาจบรรยายได้ว่ามันเป็นความอร่อยเช่นใด รู้เพียงแต่ว่ามันช่างอร่อยเหลือเกิน!

เสี่ยวหงกลายร่างเป็นมนุษย์ที่งดงามล่มเมือง มองตาเจ้าอัปลักษณ์แวบหนึ่งแล้วก็เริ่มขยับตะเกียบ

ในเมื่อเจ้านายกิน พวกมันจำต้องร่วมด้วย!

กินไข่ขาวรากบัวเข้าไป กรุบกรอบสดชื่นนุ่มลื่น ทำให้หยุดกินไม่ได้เลย

เหยาซิ่วเช็ดดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อย กัดริมฝีปากแน่น หยิบตะเกียบแล้วคีบอาหารบนโต๊ะอย่างสั่นเทา

เหยาหมิงซีเห็นดังนั้นก็ปล่อยวาง เริ่มกินเช่นกัน

ไข่มังกรภูตไม่เพียงแค่รสโอชาเท่านั้น แต่ยังแฝงด้วยพลังงานที่ไม่ด้อยไปกว่าผลเซียนเลยแม้แต่นิด เรียกได้ว่าระดับพลังยุทธ์เพิ่มพูนขณะที่เพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสไปด้วย!

อันหลินสูดจมูกฟุดฟิด น้ำตาไหลอวบพวงแก้ม “เสี่ยวหลาน ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้า ไม่ลืมรสชาติ รสสัมผัสของเจ้าเลย พลังงานของเจ้าที่ไหลเวียนในตัวข้าล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนให้ข้าก้าวหน้า!”

ต้าไป๋น้ำตารื้นเมื่อได้ยินคำพูดของอันหลิน แต่กลับหยุดตะเกียบไม่ได้เลย “น้องสี่ ขอให้โลกอีกใบไม่มีการซื้อขายและการเข่นฆ่า”

เจ้าอัปลักษณ์และเสี่ยวหงก็ร้องไห้ น้ำตาหลั่งรินเช่นกัน

“ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เป็นพี่สามสักครั้ง ไม่คิดเลยว่า…เฮ้อ ขอให้ไปสู่สุคตินะน้องสี่” เจ้าอัปลักษณ์คีบไข่เจียวเหลืองทองเข้าไป พูดพลางร้องไห้ไปด้วย

เพราะมังกรภูตเปลวไฟน้ำแข็งเป็นธาตุไฟ ฉะนั้นยามเจ้าอัปลักษณ์กินมัน พลังยุทธ์ไม่ได้เพิ่มพูนเพียงอย่างเดียว แม้แต่ดัชนีของเปลวไฟสีนิลทั้งหลายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

เสี่ยวหงหยิบไข่ขาวรากบัวที่กรอบอร่อยชิ้นหนึ่งเข้าปาก มันหอมสดชื่นยิ่งนัก ราวกับเดินเตร่อยู่ในแดนเซียน เนื้อตัวเริ่มผ่อนคลายขึ้นมา “ฮือ…ไม่มีคนสืบทอดการสังเคราะห์แสงของข้าแล้ว ฮือ…”

มันร้องไห้พลางเคี้ยวไข่ขาวรากบัว

เหยาหมิงซีกับเหยาซิ่วก็กินไปร้องไห้ไป พวกเขารู้สึกเสียใจกับโศกนาฏกรรมอันน่าสังเวชใจที่ได้ทำลงไปยิ่งนัก

มื้อค่ำมื้อนี้พิลึกเหลือเกิน

บรรยากาศน่าเศร้าสลดใจ แทบจะทุกคนที่หลั่งน้ำตา

เพียงแต่ว่าตะเกียบของพวกเขาไม่เคยหยุดเลย ระลึกถึงขณะที่กินอาหารบนโต๊ะไปด้วย

มันเป็นเพราะว่า…อาหารบนโต๊ะ…

เอร็ดอร่อยมากจริงๆ!

พวกเขาไม่สามารถหยุดได้เลย

เมื่อกินไข่ม้วนต้มซี่โครงทั้งชามหมดแล้ว ต้าไป๋ก็ยื่นมือออกไปยกชามขึ้น จากนั้นใช้ลิ้นเลียน้ำซุปในชามพลางพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “นี่เป็นของล้ำค่าที่น้องสี่ทิ้งไว้ให้พวกเรา พวกเราจะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้ โฮ่ง!”

ทุกคน “…”

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงกินอาหารบนโต๊ะท่ามกลางบรรยากาศเศร้าสลดจนหมดเกลี้ยง แม้แต่ข้าวผัดไข่หนึ่งกะละมังก็ถูกกินจนสะอาดสะอ้าน

เหยาซิ่วยกซุปที่เคี่ยวจากเปลือกไข่ของน้องสี่ออกมา

ทุกคนซดซุปรสโอชะ น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้

“เหยาซิ่ว เหยาหมิงซี พวกเจ้าสองคนอย่าได้โทษตัวเองอีกเลย สาเหตุที่สำคัญที่สุด เป็นเพราะข้าจัดการที่อยู่ของน้องสี่ได้ไม่ดีเอง” อันหลินซดน้ำซุปที่อร่อยและสดชื่น รู้สึกเหมือนร่างกายเปี่ยมด้วยกำลังวังชา เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ตอนนี้พวกเรากินน้องสี่แล้ว…น้องสี่จะอยู่ร่วมกับเรา!”

ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาเมื่อได้ยิน และพูดอย่างคล้อยตามว่า “น้องสี่จะอยู่ร่วมกับเรา!”

อันหลินยกถ้วยขึ้นแล้วตะโกนว่า “เรามาดื่มซุปของน้องสี่ให้หมดถ้วยกันเถอะ!”

ทุกคนสบตากันแล้วพากันชูถ้วยขึ้น “หมดถ้วย”

อึกๆ ๆ…

ต้าไป๋ดื่มซุปจนหมดเกลี้ยง ซ้ำยังเคี้ยวเปลือกไข่ตรงก้นหม้อจนละเอียดแล้วกลืนลงท้อง เพื่อเสริมสร้างแคลเซียม

เพียงครู่เดียว อาหารเลิศรสจานสุดท้ายที่น้องสี่ทิ้งไว้บนโลก ก็ถูกพวกอันหลินจัดการจนเกลี้ยง

“เอ่อ…”

ต้าไป๋เผอเรอออกมา จากนั้นก็หน้าขึ้นสี เสมองไปทางอื่น

ความจริงแล้ว สิ่งที่ทุกคนจำต้องยอมรับก็คือ…

น้องสี่อร่อยมากจริงๆ!

อาหารมื้อนี้อิ่มหนำสำราญ ทุกคนนั่งทอดถอนหายใจบนเก้าอี้

แม้อันหลินจะบอกว่าไม่ถือสา แต่เหยาหมิงซีกับเหยาซิ่วยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี มิหนำซ้ำก็อยากจะร้องไห้อีกสักครั้งจริงๆ

พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่ใจกว้างเอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน มีไอดอลแบบนี้ ช่างเป็นความโชคดีอย่างแท้จริง!

ตรงกันข้าม ต้าไป๋ เจ้าอัปลักษณ์และเสี่ยวหงสงบลงแล้ว แม้จะยังเศร้าใจ แต่ก็นับว่ายอมรับความจริงได้

อันหลินลูบท้อง พูดอย่างจริงจังว่า “หวังว่าทุกคนจะจดจำวันนี้ วันนี้เป็นวันรำลึกถึงเสี่ยวหลาน อย่าลืมเสียล่ะ”

ทุกคนต่างก็พยักหน้าเมื่อได้ฟัง

ค่ำคืนนี้ พวกเขาคงไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำลึกซึ้งที่เจ็บปวดรวดร้าวไปถึงทรวงใน หรือรสชาติของอาหารโอชารสที่ยังติดอยู่ตรงปลายลิ้น ล้วนทำให้พวกเขาไม่มีวันลืมเลือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นแน่

ราตรีนี้ ดวงดาวพร่างพราย จันทราลอยเด่น

ภายในห้องพักยังมีกลิ่นหอมจางๆ อบอวล แต่ของบางอย่างกลับจากไปไกลเสียแล้ว

ขณะที่ทุกคนกำลังรำลึกถึงนั้น ของบางอย่างที่เป็นของเผ่าพันธุ์มังกรแดนประจิมก็ค่อยๆ ลอยออกจากอาคารที่พักขึ้นสู่นภาลัย หล่นร่วงลง ณ ที่แห่งหนึ่ง