ตอนที่ 212 พอใจในสิ่งที่ได้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 212 พอใจในสิ่งที่ได้

“ลุกขึ้นได้แล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นกระชากเสียงสั่ง “สภาพนี้ถ้าใครมาก่อเรื่องวุ่นวายจะไปสู้ได้เหรอ?”

“ไม่ต้องห่วงครับเถ้าแก่ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเราจะสู้ตายถวายชีวิตเลยครับ!” สวี่เหอซานกับซูจูเหมากัดฟันรับคำ

จี้เจี้ยนอวิ๋นยกยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แค่นี้ไม่พอหรอก ถ้าพวกนายมีกำลังไม่พอก็เสร็จกัน มันไม่คุ้มที่จะไปสู้ด้วยก็จริง แต่ร่างกายพวกนายยังแกร่งไม่พอ แถมยังขับรถไม่เป็นอีก ฉันยังไม่อยากรับพวกนายมาทำงานที่นี่ แต่อยากได้คนขับรถอีก 2 คนต่างหาก”

สวี่เหอซานกับซูจูเหมาเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายทันที เห็นทีพวกเขาคงชวดงานนี้เสียแล้ว

พวกเขามีท่าทางห่อเหี่ยวลงถนัดตา

“ฉันออกเงินค่าเรียนขับรถให้พวกนายมีทักษะติดตัวเอาไว้ได้นะ แต่ต้องสัญญามาก่อนว่าจะทำงานเป็นคนขับรถให้ฉัน 5 ปี หลังจากนั้นจะอยู่ต่อหรือเปล่าก็แล้วแต่พวกนายเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

สายตาของพวกเขาทั้งคู่พลันฉายแววเป็นประกาย

จี้เจี้ยนอวิ๋นยกมือห้ามในจังหวะที่พวกเขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง “อย่าเพิ่งรีบตกลงสิ ใจร้อนกันจริง ๆ ฉันจะให้เวลากลับไปปรึกษาครอบครัวก่อน 1 วัน ส่วนเรื่องเงินเดือน ฉันจะให้ที่ 30 หยวนก่อนแล้วต่อไปค่อยขึ้นไปทีละขั้นตามผลงานของพวกนาย คนอย่างฉันไม่เคยเอาเปรียบใครอยู่แล้ว ลองไปถามคนอื่นดูได้เลยว่าจริงไหม ถ้าตกลงก็ไปหาฉันที่บ้าน ถ้าไม่มาหา ฉันจะถือว่าพวกนายไม่รับข้อเสนอ ฉันไม่ชอบคนกลับกลอก ถ้าปฏิเสธแล้วก็อย่าหวังจะได้โอกาสอีก”

“ได้ครับ!” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนพยักหน้ารับ

จี้เจี้ยนอวิ๋นขับรถกลับมา หลังคนทั้งคู่คิดใคร่ครวญดีแล้วค่อยมาหาเขาที่หมู่บ้าน

เขาต้องการคนงานที่ยังหนุ่มแบบนี้เพราะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ หากอยู่ในช่วงที่กำลังจะแต่งภรรยาเข้าบ้านก็จะยิ่งขยันขันแข็งเป็นพิเศษ อีกทั้งพอแต่งงานแล้วย่อมมีลูกตามมา ทำให้ต้องตั้งใจทำงานมากขึ้น

แต่ในเมื่อเขาออกเงินค่าเรียนขับรถให้มีทักษะติดตัวแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายต้องทำงานตอบแทนเป็นเวลา 5 ปี หลังจากนั้นทั้งสองจะตัดสินใจอย่างไรเขาก็ไม่คิดเข้าไปก้าวก่าย

“พวกเขาเป็นยังไงบ้างคะ?” ซูตานหงถามเมื่อเห็นเขากลับมา

“ก็ใช้ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า เพราะได้เห็นกับตาตนเองแล้วว่าคนทั้งคู่เป็นเช่นไรถึงได้มั่นใจขนาดนี้

“งั้นคุณก็ต้องซื้อรถเพิ่มสินะคะ” ซูตานหงบอก

“ยังไม่ต้องซื้อตอนนี้ก็ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า ตอนนี้มีรถคันเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว หลังจากพวกเขาเรียนขับรถจนคล่อง เขาจะให้พี่รองพาติดรถไปเพื่อช่วยสอนให้เป็นงานก่อน เขาตั้งใจประหยัดเงินส่วนนี้ไว้ให้ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยยืมไปซื้อบ้าน อีกทั้งยังอยากจะเปิดร้านในเมืองมหาวิทยาลัยเพิ่มด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น

ซูตานหงไม่คิดทักท้วง ด้วยรู้ว่าเขาจัดการเรื่องเหล่านี้ได้เอง ไม่ต้องให้เธอช่วย

“เมล็ดถั่วเขียวแห้งดีหรือยังคะ? จะได้เอามาทำอาหารหน่อย” ซูตานหงเอ่ย

ถั่วเขียวที่ปลูกไว้เติบโตเร็วมาก ตอนนี้โตจนให้ผลผลิตได้แล้ว

“เราเคยขาดอาหารอะไรบ้างไหมล่ะครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม

เมล็ดถั่วเขียวทั้งหมดถูกนำไปตากจนแห้งสนิทแล้ว เขาปลูกถั่วเขียวไว้และเก็บเกี่ยวเมล็ดได้เป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นพืชที่ให้ผลผลิตสูงถึง 400 ชั่งต่อหมู่เลยทีเดียว

เขาเก็บติดบ้านไว้ 3 ชั่ง แบ่งไปให้บ้านพ่อแม่บางส่วน และให้แม่ยายไปทำถั่วเขียวต้มไว้กินอีกหลายชั่ง ส่วนที่เหลือนั้นถูกส่งไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัย

ถั่วเขียวต้มที่ทำจากถั่วเขียวของเขามีกลิ่นรสหอมหวานมาก ที่ภรรยาเขาทำให้กินก็อร่อยกว่าที่ขายกันข้างนอกเสียอีก

เขาจึงไม่กังวลกับการตีตลาดในเมืองมหาวิทยาลัยแม้แต่น้อย แต่เพราะมีสินค้าจำนวนไม่มากจึงต้องจำกัดการซื้อเพียง 5 ชั่งต่อคนต่อวัน ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ลูกค้ายิ่งอยากลองชิมถั่วเขียวของเขา หากไม่ทำเช่นนี้จะดำเนินกิจการให้ยั่งยืนต่อไปได้อย่างไรกัน?

“เดี๋ยวก็จะเกี่ยวข้าวแล้วใช่ไหม?” ลุงเกาถามจี้เจี้ยนเยี่ยหลังจากซื้อถั่วเขียวไป 5 ชั่ง

“ประมาณเดือนหน้าครับ” เขาตอบ

“อย่างนี้นี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

ว่าจบชายชราก็กลับไปพร้อมถั่วเขียวในมือ

จากนั้นจี้เจี้ยนเยี่ยก็คุยกับซุนต้าซานและเหอเจี่ย “เจี้ยนอวิ๋นฝากผมมาถามว่าคิดดีเรื่องจะซื้อบ้านที่นี่แล้วใช่ไหมน่ะครับ?”

จี้เจี้ยนเยี่ยไม่เคยมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว ส่วนตัวไม่นึกอยากมาอยู่ในเมืองมหาวิทยาลัยแม้แต่น้อย เพราะค่าครองชีพที่นี่สูงเอาการ แค่บะหมี่เกี๊ยวชามเดียวก็ราคา 6 เหมาแล้ว ส่วนเนื้อกับบะหมี่ก็แพงไม่ต่างกันนัก คงไม่มีเงินพออยู่กินหรอก!

แม้ตอนนี้ร้านบะหมี่ในเมืองจะขึ้นราคา แต่บะหมี่ชามใหญ่ชามหนึ่งก็มีราคาเพียง 4 เหมาเท่านั้น!

ทั้งที่หากทำกินเองที่บ้านก็คงอิ่มได้ทั้งครอบครัวด้วยเงินเพียง 7 เหมา แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาซื้อบ้านที่เมืองมหาวิทยาลัยนี่ด้วย?

อีกทั้งราคาบ้านที่นี่ยังแพงหูฉี่อีกต่างหาก

“คิดดีแล้วครับ แถว ๆ ด้านหน้ายังมีห้องชุด 80 ตารางเมตรเหลืออยู่บ้าง” ซุนต้าซานโพล่งตอบทันที

“ห้อง 80 ตารางเมตรเท่านั้นมันแพงมากเลยนะครับ” จี้เจี้ยนเยี่ยว่าขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ

เขารู้ว่าเจี้ยนเหวินลำบากแค่ไหนตอนที่ซื้อบ้านขนาดเท่านี้ในเมืองเจียงสุ่ย และที่นี่คงราคาแพงกว่านั้นมาก

“ครับ ตกตารางเมตรละ 45 หยวนได้ รวมแล้วต้องจ่ายเกือบ 4,000 หยวน” ซุนต้าซานบอกพร้อมความระทมในอก

“แต่เห็นว่าเจี้ยนอวิ๋นอยากให้นายซื้อบ้านกว้างกว่านี้นะ คนคงจะไม่รุมซื้อมากด้วย” จี้เจี้ยนเยี่ยบอก

“ไม่มีทางหรอกครับ ซื้อแค่ 80 ตารางเมตรได้ก็เป็นบุญมากแล้ว” อีกฝ่ายรีบเอ่ย

ใครจะไม่อยากได้บ้านใหญ่ ๆ กันบ้าง? หากแต่มันก็ราคาแพงเหลือเกิน ขนาดพื้นที่แค่ 80 ตารางเมตร พวกเขายังต้องยืมเงินจากเถ้าแก่ถึง 3,000 หยวน แม้จะเป็นเพียงเงินเล็กน้อยสำหรับอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็เกรงใจอยู่มาก

เหอเจี่ยพยักหน้าเห็นด้วย “เลิกคิดเรื่องนั้นไปเลยค่ะ แค่ยืมเงิน 3,000 หยวนจากเจี้ยนอวิ๋นก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

จี้เจี้ยนเยี่ยเอ่ย “ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกเขาให้นะ”

จากนั้นเขาก็ขับรถกลับไป ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยมีท่าทางยินดีไม่น้อย ด้วยอีกไม่นานจะได้มีบ้านที่เมืองมหาวิทยาลัยเป็นของตัวเองแล้ว

ห้องชุดขนาด 80 ตารางเมตรนับว่าดูเล็กเกินไปหน่อย เพราะภายหน้าจะมีเด็ก 3 คนกับผู้สูงอายุ 2 คนมาอยู่ด้วย รวมพวกเขาเองอีก 2 คนก็จะมีจำนวนคนอาศัยอยู่เท่ากับ 7 คน

หากแต่พวกเขาก็ใคร่ครวญกันมาดีแล้ว ระหว่างวันลูก ๆ ต้องไปโรงเรียน ส่วนพวกเขาต้องมาทำงานที่ร้านค้า มีเพียงพ่อแม่ที่อยู่บ้าน บ้านจึงเป็นที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืนเท่านั้น มีแค่ 2 ห้องก็นับว่าเพียงพอแล้ว ห้องหนึ่งเป็นของพ่อแม่ ในขณะที่พวกเขาและลูกสาวอยู่อีกห้อง ส่วนลูกชายสองคนให้นอนที่ห้องนั่งเล่นก็ยังได้

ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยพอใจกับการได้มีบ้านขนาดเท่านี้ในเมืองมหาวิทยาลัยอย่างไม่กล้าคิดฝันไปมากกว่านี้

จี้เจี้ยนอวิ๋นฝากเงิน 3,000 หยวนกับจี้เจี้ยนเยี่ยมาให้พวกเขาไปซื้อบ้าน ส่วนสองสามีภรรยาก็จะเก็บหอมรอมริบเงินเดือนมาจ่ายคืนเขาในภายภาคหน้า

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ถึงบ้านจะเล็กไปหน่อย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกเยอะ บรรยากาศชุมชนดี ก็ถือว่าพออยู่ได้นะคะ

ปล. จะว่าไปแล้วทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลตอนไหนดีน้า

ไหหม่า(海馬)