บทที่ 212 พิสูจน์ตนเอง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 212 พิสูจน์ตนเอง

“กัปตัน”

“เจิ้งยี่”

เมื่อเห็นเจิ้งยี่เตรียมที่จะลงมือ กัวเหลียง หลางซานเอ๋อและคนอื่นๆต่างก็ตะโกนออกมาดังลั่นเพื่อต้องการจะหยุดเขา ส่วนเม่ยหลัวหลันและหลิวซวนเอ๋อหลับตาปี๋หันไปทางอื่นในทันที

แต่เป็นตอนนี้ที่ใบหน้าของเจิ้งยี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะหดมือกลับและมองอย่างงุนงง

“ทำไมรึ” เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาและมองไปที่เจิ้งยี่

“เจ้า….เจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์….เหรอ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินเฉียงไปที่สำนักมังกรอาชูร่า เฉินเฉียงได้เป็นคนนำเขาไปฆ่าว่าที่สายลับของมนุษย์กลายพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาได้ทดสอบการดูดแผ่นพลังงานจากมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์มาก่อนหน้านี้แล้ว วิธีการของเขานั้นย่อมไม่ผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขานั้นจะลองดูดแผ่นพลังงานของเฉินเฉียงยังไงก็ตาม เขานั้นกลับไม่พบมันอยู่ในหัวของเฉินเฉียงเลยแม้แต่น้อย

“แต่ แต่ แต่ แต่ปีกนั่นล่ะ…”

จางหยวนที่เห็นท่าทางแปลกๆของเจิ้งยี่เองก็ได้ถามออกมา ก่อนที่จะเก็บดาบในมือและยืนมือของตนไปที่หัวของเฉินเฉียง

“ไม่มีจริงๆด้วย”

“ไม่มีจริงเหรอ ไหนขอข้าดูบ้าง” กัวเหลียงได้วิ่งมาหาเฉินเฉียงและวางมือไปที่หัวของเขาอยู่พักหนึ่ง

“วู้ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้ว ศิษย์น้องของข้าจะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้ยังไงกัน” เมื่อเห็นว่าไม่มีแผ่นพลังงานในหัวของเฉินเฉียงจริง กัวเหลียงก็กระโดดโลดเต้นพร้อมหัวเราะอย่างเริงร่า

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ทั้งกองกำลังต่างก็วิ่งเข้ามาแล้วทำการตรวจสอบเฉินเฉียงด้วยตัวเอง ในที่สุด ทุกคนก็มีท่าทีผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เฉินเฉียงจะไม่มีแผ่นพลังงานในหัวจริง แล้วเขานั้นใช้ปีกสีเงินได้ยังไงล่ะ

“เฉินเฉียง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แล้วทำไมถึงใช้พลังเหนือมนุษย์ได้”

เมื่อเผชิญคำถามหลากหลายของจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังนี้ เฉินเฉียงก็รู้สึกปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อเดือนก่อน หากไม่ใช่ว่าจางหยวนและเจิ้งยี่ตกอยู่ในอันตราย เขาเองคงไม่คิดจะใช้พลังเหนือมนุษย์

มาถึงตอนนี้แล้วเขาจะอธิบายออกไปยังไงดี

หรือว่าเขาจะบอกเรื่องระบบย่อยสลายซากศพของเขา

นั่นมันแปลกประหลาดเกินไป หากทุกคนไม่คิดว่าเขาบ้าคงแปลกพิกล

หลังจากคิดอยู่นาน ในที่สุด เขาก็เลือกที่จะตอบในสิ่งที่ไม่ทางพิสูจน์ได้แทน

“เจิ้งยี่ เจ้ายังจำองครักษ์หยานที่เคยปกป้องข้าได้รึเปล่า”

เจิ้งยี่พยักหน้ารับ

“องครักษ์หยานไหนกัน” จางหยวนถามออกมาอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรมากหรอก ฟังข้าก่อนก็แล้วกัน”

เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นมาและพูดออกไป “ในงานประลองสี่สำนักนั้น เพื่อที่จะเปิดเผยตัวตนของหลินฟานว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ หลินฟานกับข้าสู้กันในมิติประลองรอบสุดท้ายที่ท่านเว่ยได้สร้างขึ้นมา ท้ายที่สุด ข้าเองก็เกือบถูกหลินฟานฆ่าไปเหมือนกัน แต่องครักษ์หยานคนนี้ก็ได้ช่วยข้าไว้”

“ในเรื่องนี้ เจิ้งยี่ ศิษย์พี่กัว ศิษย์พี่หนี่ ศิษย์พี่หลิวเองก็เห็นกับตาใช่รึเปล่า”

ทุกคนที่ถูกเรียกชื่อมาต่างก็พยักหน้ารับ

เฉินเฉียงจึงได้เล่าต่อ “ความจริงแล้วองครักษ์หยานคนนี้ถูกส่งมาโดยอาจารย์ของข้าเพื่อให้มาปกป้องข้า และสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าพลังเหนือมนุษย์นี้เป็นสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ข้า”

“อาจารย์เหรอ ศิษย์น้องเล็ก นอกจากอาจารย์ฮู่ต้าไฮ่ของพวกเราแล้วเจ้าไปมีอาจารย์คนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมไม่เห็นข้ารู้เรื่องเลยล่ะ”

“ไอ๊ยา……” เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ “ก็ไอ้ตอนปีก่อนที่ข้ากับกองกำลังเทียนเว่ยไปเขตทะเลแดนใต้นั่นไง ในตอนนั้นข้าเองหลังจากยุยงไอ้พวกสัตว์ประหลาดนั่นได้ ข้าก็ถูกสัตว์ประหลาดตนหนึ่งไล่ล่าจนโผล่ออกทะเลไปเลย ในตอนนั้นเป็นเพราะข้าได้พบเจออาจารย์คนนี้ และท่านได้ช่วยข้าไว้และยอมรับข้าเป็นศิษย์”

เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น จางหยวนและพวกก็แสดงออกมาอย่างเศร้าหมอง อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นี้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาเชื่อได้เกี่ยวกับคำอธิบายของเฉินเฉียงและอาจารย์ของเขาที่กล่าวอ้าง

“เฉินเฉียง แล้วอาจารย์ของเจ้าเป็นใครกัน”

เฉินเฉียงส่ายหัวไปมา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” แต่ก่อนหน้านี้ ด้วยการที่องครักษ์หยานนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมนุษย์กลายพันธุ์ นี่ทำให้ท่านเว่ยได้บอกออกมาว่าอาจารย์ของข้านั้นอาจจะเป็นหนึ่งในคนขององค์กรฮุยตู๋

“ฮุยตู๋….เหรอ”

เป็นตอนนี้ที่ทุกคนสับสนยิ่งกว่าเดิม

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้ยกมือขึ้นห้ามและพูดออกมาตัดหน้าในทันที “จางหยวน เจิ้งยี่ ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าไอ้เรื่ององค์กรนี้ข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ท่านเว่ยเองได้บอกข้ามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นว่าฮุยตู๋นี้คือขุมกำลังลึกลับที่ต่อให้ทั้งเผ่าพันธุ์ของเรายังยากจะทัดทานได้”

“ท่านเว่ยได้แต่หวังเพียงว่าจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับคนขององค์กรนี้ไว้เพียงเท่านั้น ในอนาคต ไม่แน่ว่าพวกเราเองอาจจะได้รับการร้องขอจากคนพวกนี้”

ถึงแม้ว่าเรื่องที่เฉินเฉียงเล่ามานี้จะดูสมบูรณ์แบบจนพอจะหลอกทุกคนได้ชั่วคราวก็ตาม

แต่อย่างน้อยๆ เจิ้งยี้ กัวเหลียง และคนอื่นๆที่เห็นความทรงพลังของหยานเย่วมาแล้วว่าทรงพลังเทียบเท่ากับมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆ

“ฮี่ฮี่ฮี่ เอาน่า ตราบใดที่เจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์เท่านั้นก็พอแล้ว เรื่องนี้ทำให้ข้ากลัวจนเกือบจะตายเลยนะ”

“นั่นสิ หากกัปตันของพวกเรานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆล่ะก็ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

หลางซานเอ๋อได้เกาหัวตัวเองและพูดออกมาแสดงออกถึงความโล่งอก

เฉินเฉียงได้มองไปที่เขาอย่างลึกซึ้งและหันไปถามจางหยวนและเจิ้งยี่ “จางหยวน เจิ้งยี่ พวกเจ้ายังคิดว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดสมควรตายหรือไม่”

“แน่นอน เจิ้งยี่และจางหยวนตอบออกมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเล”

“แล้วไอ้พวกที่เอาแต่มองความทุกข์ยากของพวกเรานั่นล่ะ” เฉินเฉียงถามออกมาด้วยเสียงอันเย็นยะเยียบ

“จางหยวน ข้าไม่เชื่อหรอกนะว่าเจ้านั้นจะไม่รับรู้ว่ามีนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่กว่าห้าสิบคนตอนที่พวกเจ้านั้นต่อสู้กับเหยี่ยวทองคำนั่น”

“นี่ขนาดพวกมันรู้ว่าพวกเราถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาด แต่พวกมันยังคงซ่อนตัวคอยมองดูเจ้าให้ตกตายโดยไม่คิดจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย”

ในตอนนี้นั้นมีเพียงจางหยวนและหลิวไฮ่เท่านั้นที่รู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา เจิ้งยี่และกัวเหลียงนั้นต่างก็ไม่ได้รู้ในเรื่องนี้ เมื่อได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมของหลิวไฮ่แล้วนั้น ทำให้ทุกคนเข้าใจเรื่องราวและรู้สึกโกรธแค้นในทันที

“จางหยวน เจิ้งยี่ ตอนที่ข้าได้สังหารขยะของเผ่าพันธุ์อย่างกองโจรถูหมั่นเถียนด้วยตัวคนเดียวนั้น ข้าเคยได้คิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ผู้คนเช่นถูหมั่นเถียนที่โหดร้ายจนฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ไปกว่าสองพันคนได้อย่างหน้าตาเฉย ข่มเหงรังแกและข่มขืนก่อนที่จะฆ่าพวกเธออย่างไร้ค่า เมื่อเทียบกันแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์เลยแม้แต่น้อย”

“นอกจากว่าพวกเราต้องระวังสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว พวกเรายังต้องระวังขยะที่แฝงตัวอยู่ในเผ่าพันธุ์เช่นนั้นอีก”

“พวกมันเป็นเหมือนพวกเราทุกประการแล้วพวกเราจะแยกแยะพวกมันได้ยังไง”

“แล้วไหนจะองครักษ์หยานนั่นอีก”

“สมมติให้ว่าเธอเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปเลยจริงๆ แต่เธอเองก็ช่วยชีวิตข้าเอาไว้เอาจริงๆแล้วก็หลายครั้งหลายคาเลยทีเดียว และถึงแม้ว่าเธอจะปากร้ายไปบ้างแต่เธอก็ไม่เคยทำร้ายข้าเลยสักครั้ง”

“แล้วหากว่าข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆล่ะ พวกเจ้ายังคิดจะฆ่าข้าอยู่อีกรึเปล่า”

“นี่….” เจิ้งยี่อยากจะพูดอะไรออกมาแต่เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามปราม “เจิ้งยี่ จางหยวน พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านไม่ต้องใส่ใจกับคำพูดของข้ามากนักหรอก ข้าแค่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของข้าที่ได้ประสบพบเจอมาเพียงเท่านั้น”

“กับเรื่องพลังเหนือมนุษย์นี้แล้ว ข้าหวังเพียงว่านอกจากกับทุกคนในที่นี้แล้วข้าจะไม่ต้องแสดงออกมาให้คนอื่นได้เห็น”

“อย่างที่เขาว่ากันว่ามากคนก็มากความ หากมีคนรับรู้ว่าข้านั้นใช้พลังเหนือมนุษย์นี้ได้ ต่อให้ไม่ฆ่าข้าก็คงมีหวังโดนเอาออกไปชำแหละศึกษาเป็นแน่”

จางหยวนพยักหน้ารับในทันที “ไม่มีปัญหา มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้เรื่องพลังเหนือมนุษย์ของเจ้า ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ไปแล้ว”

“ไม่อ่ะ ยังมีอีกคนที่รู้เรื่องนี้”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เล่าเรื่องราวที่ได้ช่วยเฉียวกังเอาไว้

“ไอ้หน้าด้านเอ๊ย” กัวเหลียงสบถออกมาด้วยความเกลียดชังเต็มหัวใจ “ไอ้เฉียวกังนรกแตกนั่น ตอนที่ศิษย์น้องช่วยชีวิตไม่เพียงจะไม่สำนึกในบุญคุณแต่ยังคิดที่จะเอาเรื่องพลังเหนือมนุษย์ของศิษย์น้องไปป่าวประกาศอีก”

“ไอ้หมอนี่กิน(จัดการ)ได้ไม่ง่ายซะด้วย”

“พวกเราทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ยังไงซะพวกเราเองก็คือพวกเดียวกันแล้ว แถมไอ้บ้านั่นยังเกลียดเฉินเฉียงอย่างเข้าไส้อีกด้วย”

จางหยวนได้ส่ายหน้าไปมาแล้วถามออกไป “ทำไมเราไม่หามันให้เจอก่อนแล้วปิดปากมันซะล่ะ หากเราปล่อยให้ขยะแห่งเผ่าพันธุ์แบบนี้อยู่ต่อไปล่ะก็ ไม่เพียงพวกเราเท่านั้น แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเราต้องพบกับหายนะเป็นแน่”

“ใช่แล้ว ฆ่ามันซะ” เป็นตอนนี้ที่กระบี่ยาวในมือของทุกคนได้ชักออกมาไปตามๆกัน เผยให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกองกำลังอีกครั้ง