ตอนที่ 121 ตกอยู่ในอันตราย

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

— ปัง! —

แขนของมู่เฉียนซีขยับ จากนั้นร่างโอวหยางจื่อกระเด็นออกไปอย่างแรง

“พี่ใหญ่!” เสียงตะโกนเรียกหาดังขึ้น เยวี่ยเจ๋อมองนางด้วยความห่วงใย เขารู้ว่านายท่านสามเป็นญาติเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่ นายท่านสามรักและเป็นห่วงพี่ใหญ่มากเช่นกัน สำหรับพี่ใหญ่แล้ว ท่านผู้อาวุโสสาม—มู่อวู่ซวง เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตนาง

โอวหยางจื่อกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดแผ่กระจายทั่วร่าง เขากล่าวน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “มู่เฉียนซี เจ้ากล้าลงมือกับข้าเยี่ยงนี้เลยรึ ? ไม่กลัวมู่อวู่ซวงตายอย่างศพไร้ญาติไร้หลุมฝังรึ ?”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

เข็มยานับไม่ถ้วนลอยไปตรงหน้าโอวหยางจื่อ

มู่เฉียนซีแค่นเสียงดุดัน “มีอะไรก็รีบพูดมา อย่ามัวแต่ไร้สาระชักช้าร่ำไร  ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้ง แล้วค่อยไปคุยกับผู้นำตระกูลโอวหยางเป็นอย่างไร ?”

โอวหยางจื่อร่างสั่นเทา  เขารู้สึกว่าคนที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้ามิใช่มู่เฉียนซี หากแต่เป็นคนโหดร้ายที่สุดแห่งแคว้นจื่อเยี่ย นั่นก็คือเยี่ยอ๋อง  …นางเหมือนยมทูตก็มิปาน ไร้ร่องรอยของความเป็นมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง ดู ๆ แล้วไม่จ่างจากเยี่ยอ๋องเลย

โอวหยางจื่อมิกล้าปริปากเอ่ยวาจาไร้สาระอีกต่อไป เขากล่าว “มู่อวู่ซวงถูกท่านอาจารย์ของข้านำตัวไปแล้ว หากเจ้าอยากได้ตัวเขากลับคืน เจ้าก็ต้องเอาทรัพย์สมบัติไปแลก รวมไปถึงทรัพย์สมบัติของตระกูลข้าที่เจ้าเอาไปด้วย ที่ทำมาหากิน การค้า สมุนไพรวิญญาณ หรือแม้แต่อาวุธวิญญาณ หากเจ้าทำตาม ท่านอาจารย์ก็จะปล่อยตัวมู่อวู่ซวงทันที”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ผู้อาวุโสแห่งสำนักจี๋หั่วจับตัวท่านอาเล็กของข้าไปได้อย่างไร ?”

นางฉงนสงสัยนัก ต่อให้เป็นถึงจักรพรรดิแห่งภูตก็มิอาจทำอะไรท่านอาได้ไม่ใช่หรือ ? ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาเล็กกันแน่ ?

โอวหยางจื่อ “คนชราอย่างมู่อวู่ซวงจะมีปัญญาสู้อะไรกับท่านอาจารย์ข้าได้ เจ้ามองท่านอาชราผู้นั้นของเจ้าสูงส่งเกินไปหรือเปล่า ?!”

— เพี๊ยะ! —

มู่เฉียนซีตบหน้าโอวหยางจื่ออย่างแรงก่อนจะกล่าวถามซ้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “สำนักจี๋หั่วเศษสวะพวกนั้นเอาตัวท่านอาเล็กของข้าไปได้อย่างไร ?!”

โอวหยางจื่อมือกุมข้างแก้ม “มู่เฉียนซี เจ้าจะตอบตกลงหรือไม่ ?! หากภายในคืนนี้เจ้าไม่นำทรัพย์สินทั้งหมดไปมอบให้ที่สำนักจี๋หั่ว เจ้าก็รอรับศพท่านอาของเจ้าได้เลย”

— ขวับ! —

ไม่ต้องรอให้มู่เฉียนซีลงมือ เยวี่ยเจ๋อพุ่งเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของโอวหยางจื่อไขว้หลัง บีบบังคับให้เขาคุกเข่าลง

“อ๊าก!” โอวหยางจื่อร้องตะโกนก้อง ความเจ็บปวดแผ่ซ่าน

มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขุ่นข้อง “อยากได้เงินทองมากนักใช่ไหม ?! ได้ เช่นนั้นข้าก็จะให้ เป็นถึงสำนักนิกายใหญ่แห่งแคว้นจื่อเยี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าจะละโมบโลภมากเช่นนี้ สำนักจี๋หั่วยากจนข้นแค้นมากนักรึ ?”

และในเวลานี้ ผู้เฒ่าตระกูลมู่รีบเข้ามากล่าวแจ้ง “ท่านผู้นำตระกูล มิได้เด็ดขาด หากเอาสมบัติให้พวกมันไป ตระกูลมู่เราไม่ซวยเอาหรอกรึ ?”

ท่านผู้เฒ่ารองกล่าวสำทับ สีหน้ามิรู้หนาวรู้ร้อนประหนึ่งเรื่องมู่อวู่ซวงถูกจับไปมิใช่เรื่องของพวกตน “นั่นน่ะสิ นายท่านสามเป็นคนดี คนดีผีย่อมคุ้มครอง ข้าเชื่อว่านายท่านสามจะต้องรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้เองอย่างแน่นอน”

ประกายแสงเยียบเย็นวาบผ่านดวงตาดำขลับของมู่เฉียนซี “หากไม่จ่ายค่าไถ่ เช่นนั้นข้าให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองไปฆ่าพวกสำนักจี๋หั่วแล้วช่วยท่านอากับข้าดีหรือไม่ล่ะ ?”

มุมปากของเหล่าท่านผู้เฒ่ากระตุกเล็กน้อย พวกเขาเป็นแค่ราชายอดยุทธ์ระดับเก้า หากไปสู้รบปรบมือกับจักรพรรดิยอดยุทธ์อย่างคนในสำนักจี๋หั่วไม่วายมีแต่ตายกับตาย!

พวกเขายังไม่อยากตาย ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลาย ๆ ปี

ท่านผู้เฒ่า “ถึงอย่างไรสำนักจี๋หั่วก็เป็นสำนักนิกายใหญ่ คงมิกล้าบังอาจก่อเรื่องเช่นนั้นในจื่อตูหรอก ข้าว่าท่านผู้นำตระกูลใจเย็น ๆ ก่อนจะเป็นการดีกว่า อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามวู่วามไปเลย”

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

เข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปที่เหล่าบรรดาท่านผู้เฒ่า

— ฟั่บ!  ฟั่บ! —

จากนั้น ผงยาต่าง ๆ ก็ได้พ่นใส่พวกเขาเช่นเดียวกัน

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกตาแก่รนหาที่ตาย! ท่านอาของข้ากำลังตกอยู่ในอันตรายแท้ ๆ  แต่กลับมาบอกให้ข้าใจเย็น ไสหัวออกไปให้หมด!” จากนั้นนางก็ชี้ใบหน้าโอวหยางจื่อ “เจ้าก็ด้วย  ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

สามารถทำให้มู่เฉียนซีผู้ที่มักสงบอยู่เป็นนิจ เกรี้ยวโกรธปานนี้ได้ ครั้งนี้สำนักจี๋หั่วเล่นกับสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตนางเข้าเสียแล้ว นางแค่นเสียงกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ เจ้าไปรวบรวมข้าวของเงินทองออกมา”

“ขอรับพี่ใหญ่” เยวี่ยเจ๋อรับคำ ไม่รอช้าเคลื่อนกายไปทำตามคำสั่งทันที

“มู่อี เรียกทุกคนมารวมตัวพร้อมกันที่นี่ตรงนี้” มู่เฉียนซีกล่าวสั่งต่อไป

“ขอรับ!”

“จวินโม่ซี ไปฆ่าพวกมันกับข้า ข้าสัญญาว่าจะทำอาหารอันโอชะให้กิน รับรองเลยว่าท่านไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนแน่”

“จริงรึ ? ข้าชอบ!” จวินโม่ซีกระโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินเรื่องกินเขาก็ตกลงทุกอย่าง

“มู่เฉียนซีเจ้ามิต้องเรียกข้าว่า ท่าน แล้วก็ได้ แม้ข้าจะเป็นถึงราชาโอสถ แต่อย่างไรเราก็เสมือนเป็นเพื่อนกัน” จวินโม่ซีกล่าวเสริม ในใจเขามีความสุขเต็มล้น จะได้กินของอร่อยพิเศษ ใครเล่าจะไม่ดีใจ ?

“ชิงอิ่ง ยาลูกกลอนพวกนี้เจ้ากินได้ตามใจเจ้าเลย รีบฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเจ้ากลับมาให้เร็วที่สุด เราจะไปช่วยคนกัน” กล่าวจบ มู่เฉียนซีหยิบยาชุดใหญ่ออกมา จำนวนของยาเหล่านี้มากล้นเหลือคณานับ มันมากกว่าที่วางขายกันในจื่อเยี่ยหลายเท่าเสียด้วยซ้ำ

จวินโม่ซีเบิกตากว้างจนตาแทบถลนออกมาด้วยความตกใจ เขากล่าวหยอกเย้า “มู่เฉียนซี ยามากมายมหาศาลเช่นนี้ เจ้าจะเอาไปป้อนให้หมูหรืออย่างไร ?!”

ผลที่ตามมาคือดวงตาเย็นยะเยือกจ้องเขาเขม็ง เขาจำต้องหุบปากทันใด  แม้จะเป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทว่าก็เป็นคำพูดที่ไม่ค่อยเข้าหูมู่เฉียนซีนัก

ในเวลานี้นั้น ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน มู่เฉียนซีนำองครักษ์เงาทั้งเก้าสิบเก้าคนไป พร้อมด้วยชิงอิ่งและจวินโม่ซีผู้แข็งแกร่งเกินคาดเดาได้ มุ่งหน้าไปที่สำนักจี๋หั่ว

ในขณะที่พวกเขาเดินทางไปอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นร่างขององครักษ์เงาก็ปรากฏขึ้น ร่างองครักษ์เงาผู้นี้เต็มไปด้วยบาดแผล มู่เฉียนซีเห็นแล้วตกใจเป็นอย่างมาก นางร้องเรียก “มู่อี!”

มู่อีรีบประคองร่างที่ล้มลงไปกับพื้นนั้นทันที “ท่านโต้วอิ่ง!”

“เจ้าคือองครักษ์ส่วนตัวของท่านอาเล็กใช่หรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำ

โต้วอิ่งคุกเข่า กล่าวว่า “ข้าน้อยสมควรตายที่ดูแลนายท่านสามไม่ดี โปรดท่านผู้นำอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด”

“สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

“คือว่า…” โต้วอิ่งลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านผู้นำ นายท่านสามสั่งเอาไว้ว่าที่สำนักจี๋หั่วมีของบางอย่างที่น่ากลัวมาก ห้ามไม่ให้ท่านผู้นำไปที่นั่นเด็ดขาด นายท่านสั่งว่าไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านจะไม่เป็นอะไรขอรับ” เขากำหมัดแน่น ทุบเข้าที่บาดแผลของตัวเองให้เจ็บ มันเจ็บเสียจนรู้สึกเสมือนร่างจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ในเมื่อความจริง เวลานี้นายท่านสามกำลังตกอยู่ในอันตราย ทั้งสถานการณ์ตอนนี้ก็แย่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมให้ท่านผู้นำตระกูลมู่ไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด

มู่เฉียนซีก้มหน้าลง ดวงตาของนางดูลึก ก้นบึ้งหัวใจเต็มแน่นไปด้วยความรู้สึกห่วงใยท่านอา

“โต้วอิ่ง ทางที่ดีเจ้าพูดความจริงกับข้ามาจะดีกว่า ข้าไม่อยากลงมือใช้อุบายกับคนของตัวเอง”

เข็มยาแทงเข้าที่ฝ่ามือของมู่เฉียนซี โต้วอิ่งเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนตัวสั่น

ท่านผู้นำเป็นคนดีมีสัจจะ คำไหนคำนั้น นางไม่ได้ขู่แน่นอน

โต้วอิ่ง “ขาของนายท่านสามโดนยาพิษ นายท่านโดนท่านปู่ของท่านผู้นำสะกดพลังบางอย่างตั้งแต่นายท่านยังเด็ก แต่เวลาผ่านมานับยี่สิบกว่าปี พิษนี้ก็ไม่ได้รับการแก้เสียที และมันใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว นายท่านเจ็บปวดมาก วันนี้คนของสำนักจี๋หั่วบุกเข้ามาในจวน นายท่านสามเจ็บปวดจนมิสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ ข้าน้อยคนเดียวก็มิอาจต้านทานพวกมันเอาไว้ได้ พวกมันนำตัวนายท่านสามไป ข้าน้อยจะเข้าไปช่วยนายท่านสามที่สำนักจี๋หั่ว กลับโดนพวกมันจับได้เสียก่อนจึงมิอาจช่วยนายท่านสามออกมาได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้ามู่เฉียนซีก็เปลี่ยนไปทันที “ท่านอาเล็กกำลังตกอยู่ในอันตราย เราต้องรีบไปช่วยให้เร็วที่สุด!”

โต้วอิ่งกล่าวขึ้นอย่างหวั่นวิตก “ท่านผู้นำขอรับ สำนักจี๋หั่วอันตรายมาก นายท่านสามบอกว่าพวกมันคงจะวางแผนเอาไว้อย่างดี มิเช่นนั้นคงมิกล้าทำเรื่องแหกกฎเช่นนี้”

“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โต้วอิ่ง ตอนนี้ในฐานะที่ข้าเป็นญาติคนเดียวของท่านอา ต่อให้ข้าต้องลากพวกมันทุกคนลงนรกข้าก็จะทำ ข้ามิอาจอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่เข้าไปช่วยท่านอาได้!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหนักแน่น

สายลมยามค่ำคืนพัดพาเส้นผมดำดั่งน้ำหมึกปลิวไสว สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เยือกเย็นราวอุณหภูมิบนดวงจันทร์ในจินตนาการ ดวงตาของนางเปล่งประกายในยามค่ำคืนอันมืดมิด

โต้วอิ่งรู้ว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใดขวางท่านผู้นำตระกูลมู่มู่เฉียนซีไว้ได้ อดีตนายท่านก็เป็นเช่นนี้

“ไป!”

.