ภาคที่ 2 ตอนที่ 65 ใช้กระบี่ตัดจิต

มรรคาสู่สวรรค์

การหยุดนิ่งของเวลามักจะแสดงออกมาให้เห็นบนพื้นที่ว่าง

 

อย่างเช่นควันที่ลอยออกมาจากธูปสายนั้น กลีบดอกไม้ที่ถูกลมพัดเข้ามาจากทางด้านนอกหน้าต่าง ล้วนแต่หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ดูแล้วช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

 

นี่คือสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ จากนั้นก็จะเป็นการรับรู้ อย่างเช่นเสียงก็จะหายไป กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เงียบสงัดอย่างหนึ่ง

 

ในความเงียบสงัดเช่นนี้ ตัวผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีทางแล้วก็ไม่สามารถตอบสนองอะไรออกมาได้ แต่ผู้ที่คอยสังเกตดูสภาพแวดล้อมนี้อยู่ภายนอกจะต้องมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน

 

เด็กรับใช้ผู้นั้นคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกกระท่อมเก่า เขามองไม่เห็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ที่อยู่ภายในกระท่อมเหล่านั้น แต่เขากลับได้ยิน…ด้านในไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมาเลย

 

ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา จากนั้นเขานึกขึ้นมาได้ว่าตอนตนเองยังเป็นเด็ก ก็คล้ายจะเคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา

 

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกส่งไปยังสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ คอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเทียนจิ้นเหรินตั้งแต่เด็ก

 

หลายปีก่อน เขาเคยเห็นเทียนจิ้นเหรินต้อนรับแขกสำคัญคนหนึ่ง

 

แขกสำคัญผู้นั้นคือเจ้าสำนักอู๋เอินเหมิน

 

จากคำพูดที่บอกเล่าต่อกันมาหลังจากนั้น เทียนจิ้นเหรินไม่อยากเห็นสำนักฝ่ายธรรมะต้องเข่นฆ่ากันเอง จึงคิดอยากจะไกล่ตอนแรกทั้งสองฝ่ายก็เคยส่งจดหมายไปมาหากันอยู่หลายฉบับ สำนักกระบี่ซีไห่เองก็ยกเลิกการบุกโจมตีเพื่อแสดงความจริงใจ

 

เด็กรับใช้จำได้อย่างแม่นยำ วันนั้นสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ก็เงียบสงัดเหมือนอย่างเช่นวันนี้ ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา กระทั่งเสียงลมที่เบาบางที่สุดก็หามีไม่

 

สิ่งที่ทำให้เขาจำได้อย่างแม่นยำมากที่สุดก็คือ จิ้งหรีดที่เขาเลี้ยงเอาไว้ในโถงด้านนอกตัวนั้นกลับไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว

 

ทุกอย่างเงียบสงัด เหมือนดั่งความตาย

 

หลังจากนั้นเจ้าสำนักอู๋เอินเหมินก็ออกไปจากสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ ว่ากันว่าเขาปฏิเสธคำแนะนำของเทียนจิ้นเหริน ยังคงยืนกรานที่จะสู้กับสำนักกระบี่ซีไห่

 

จากนั้นท่านอาจารย์ก็ล้มป่วยอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้การรับสมัครศิษย์ของสำนักปัญญาชนไป๋ลู่จึงต้องเลื่อนออกไปอีกสองเดือน

 

เจ้าสำนักอู๋เอินเหมินก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับท่านเทพกระบี่ในครั้งนั้น หากมิเป็นเพราะเจ้าสำนักชิงซานช่วยออกหน้า เกรงว่าเขาคงจะตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ในความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสำนัก สำนักอู๋เอินเหมินก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกๆ ด้าน ไม่มีโอกาสได้พลิกตัวกลับขึ้นมาอีก

 

ไม่มีใครเชื่อมโยงการพูดคุยในสำนักปัญญาชนไป๋ลู่ครั้งนั้นเข้ากับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

คนส่วนมากต่างคิดว่าที่เทียนจิ้นเหรินป่วยหนัก เป็นเพราะเขาคิดอยากจะใช้วิชาคำนวณความลับสวรรค์มากล่อมเจ้าสำนักอู๋เอินเหมิน จึงทำให้สูญเสียเรี่ยวแรงไปเป็นจำนวนมาก

 

เวลานั้นเด็กรับใช้อยู่ด้านนอกประตู เขาพอจะคาดเดาได้ว่าความจริงของเรื่องราวนั้นมิได้ง่ายดายเช่นนั้น แต่เขาย่อมไม่มีทางพูดออกไป

 

วันนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบที่เงียบสงัดเช่นนั้นอีกครั้ง

 

หรือว่าท่านอาจารย์กำลังจะทำอะไร?

 

แต่จิ๋งจิ่วผู้นั้นเป็นเพียงศิษย์รุ่นหลังของสำนักชิงซานเท่านั้นมิใช่หรือ?

 

……

 

……

 

ความว่างเปล่าหยุดนิ่ง

 

เสียงหายไป

 

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นภายนอกเท่านั้น

 

พูดอีกอย่างก็คือสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพลวงตาที่จิตจำแนกอันแข็งแกร่งสร้างขึ้นมา

 

การหยุดนิ่งของเวลาที่แท้จริงจะต้องทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวภายในร่างกายล้วนแต่หยุดนิ่งลง

 

อาทิเช่นความคิด

 

ในตอนนั้น จิ๋งจิ่วกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่

 

ในตอนที่สายตาของเขามองไปยังดวงตาสีขาวของเทียนจิ้นเหริน ความเร็วในการครุ่นคิดของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง จากนั้นก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ

 

ถึงแม้ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ความเร็วในการคิดของเขาก็ไม่มีทางหยุดนิ่งลงจริงๆ ก็ตาม แต่ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากความเร็วในการคิดและความเร็วในการไหลของเวลาที่แท้จริงจะทำให้เขาพลาดเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นไปหลายเรื่อง

 

ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่าการลืมเลือน

 

จิ๋งจิ่วมิได้ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

 

ในชั่วพริบตาที่ความเร็วในการคิดแปรเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง เขาก็รับรู้ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

 

ตามหลักแล้ว ความคิดนั้นไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวความคิด

 

การที่เขาสามารถรับรู้ถึงมันได้นั้นเป็นเพราะว่าตัวเขามีความพิเศษอยู่ แล้วก็เป็นเพราะความสามารถในการคำนวณคาดการณ์ของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ว่าสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของความเร็วในการคำนวณคาดการณ์ที่ละเอียดอ่อนที่สุดได้อย่างรวดเร็ว

 

การรับรู้ได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น สิ่งนั้นคือสัมปชัญญะ ดังนั้นเขาจึงตื่นขึ้นมา

 

เขาพบว่ามีเศษจิตจำแนกสายหนึ่งเข้ามาในร่างกายตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

 

จิตจำแนกนั้นมีขนาดที่เล็กอย่างมาก แล้วก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

 

มีเพียงกำลังของจิตที่แข็งแกร่งเหมือนดั่งมหาสมุทร จึงจะสามารถบีบให้จิตจำแนกมีขนาดเล็กลงจนกลายเป็นเศษชิ้นส่วนที่เล็กละเอียดแบบนี้ ใช้สายตาเป็นสะพาน ส่งมันเข้าไปในร่างกายของผู้อื่นอย่างเงียบๆ

 

เศษจิตจำแนกนี้มิได้มีกลิ่นอายใดๆ คล้ายกับเป็นชิ้นส่วนหยกที่บริสุทธิ์ที่สุด และสะอาดเป็นอย่างมาก

 

แม้นจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตที่นั่งสำรวจตัวเองอยู่ทุกวันก็ไม่มีทางพบเห็นได้

 

เศษจิตจำแนกนี้ไหลไปตามเส้นลมปราณของเขาอย่างไร้ซุ่มเสียง จนมาถึงทะเลแห่งการรับรู้ของเขา จากนั้นตกลงบนต้นไม้แห่งเต๋าอย่างเงียบๆ

 

จิ๋งจิ่วเกิดความรู้สึกระแวดระวังตัวขึ้นมา

 

เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

นับตั้งแต่ที่เขาย่ำลงไปในแม่น้ำแห่งเต๋าอีกครั้ง นี่คือสถานการณ์ที่อันตรายที่สุดที่เขาได้เผชิญมา เรียกได้ว่าน่ากลัวกว่าตอนที่ถ้ำปลอมของจิ่งหยางเปิดออก แล้วฟางจิ่งเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลพบเขาเสียอีก

 

เศษจิตจำแนกนั้นดูเหมือนไม่มีเจตนาร้ายอะไร แต่มันอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ สามารถปนเปื้อนต้นไม้แห่งเต๋าได้อย่างง่ายดาย ทำให้โอสถกระบี่เสียหาย ขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของเขาอย่างเงียบๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว หรืออาจจะทำให้ใจแห่งเต๋าของเขาหวั่นไหว ส่งผลกระทบต่อเขาในตอนที่ต้องทำการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด…แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้

 

สิ่งที่ทำให้จิ๋งจิ่วรู้สึกตื่นตัวมากที่สุดก็คือ หากเศษจิตจำแนกนี้อยู่ในร่างกายของตัวเอง มันอาจจะค้นพบความลับของเขาก็เป็นได้

 

สมแล้วที่เป็นเทียนจิ้นเหริน วิธีการแบบนี้เรียกได้ว่าลี้ลับจนไม่มีใครที่จะรู้ตัวได้

 

หากเขาใช้วิธีแบบนี้กับคนข้างกาย อย่าว่าแต่ลั่วไหวหนานกับเจ้าล่าเยวี่ยเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสของสำนักชิงซานและสำนักจงโจว หรือกระทั่งสมณะชั้นสูงของวัดกั่วเฉิงก็อาจจะติดกับได้เช่นกัน

 

แต่ถึงแม้จะเป็นเทียนจิ้นเหริน การจะใช้วิธีแบบนี้ก็จำเป็นต้องใช้จิตจำแนกเป็นจำนวนมาก ต้องจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล ไม่มีทางใช้ออกมาพร่ำเพรื่อเป็นเด็ดขาด

 

จิ๋งจิ่วรู้สึกมั่นใจอีกครั้ง การที่เขามาพบตนเองนั้นจะต้องได้รับการไหว้วานมาจากใครบางคนอย่างแน่นอน

 

ปัญหาอยู่ที่คนผู้นั้นคือใคร? ฟางจิ่งเทียน? ซีไหล? หรือจะเป็นศิษย์พี่…ที่เขาระมัดระวังมากที่สุด?

 

หากเป็นเมื่อก่อน จิ๋งจิ่วคงจะถามคำถามนี้ออกไปตามตรง หรือไม่ก็เก็บเอาเศษจิตจำแนกนั้นเอาไว้ในร่างกาย แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเพื่อใช้เป็นทางหนีทีไล่ แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้

 

ในระยะเวลาสั้นๆ เขาทำการคาดการณ์ออกมาสามครั้ง ก่อนจะมั่นใจว่าการทำแบบนั้นมันอันตรายเกินไป

 

สภาวะของเขาในตอนนี้ยังต่ำต้อย ไม่สามารถเก็บสิ่งที่อันตรายขนาดนี้เอาไว้ในร่างกายได้

 

ใจตั้งมั่น

 

เจตน์กระบี่กำเนิด

 

สายตาของจิ๋งจิ่วเพ่งมอง ประกายเย็นยะเยือกสว่างวาบขึ้นมา

 

โอสถกระบี่ในตัวเขาพลันแตกกระจาย กลายเป็นเจตน์กระบี่สามร้อยกว่าสาย ฟันเข้าใส่เศษจิตจำแนกนั้น

 

เวลากลับมาเดินดั่งเดิม

 

ภายในห้องกลับคืนสู่สภาวะปกติ

 

ควันขาวที่ลอยออกมาจากธูปสลายตัวออก

 

กลีบดอกไม้ที่ถูกลมม้วนขึ้นมาตกลงบนลายฉลุของหน้าต่าง ส่งเสียงเบาบาง

 

ในที่ที่ไม่อาจได้ยินเสียง พายุกระบี่กำลังส่งเสียงหวีดร้อง ฟ้าคำรามดังสนั่น

 

ในที่ที่ไม่อาจมองเห็น เจตน์กระบี่จำนวนสามร้อยกว่าสายได้ฟันเศษจิตจำแนกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ละเอียดราวเกล็ดหิมะ

 

สายฟ้าที่ไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งฟาดตามจิดจำแนกลงมา ระเบิดเศษเล็กๆ เหล่านั้นจนสลายหายไป

 

……

 

……

 

ลมโหมกระหน่ำ

 

ผมสีขาวปลิวไสว

 

ร่างกายของเทียนจิ้นเหรินสั้นเทาขึ้นมา สีหน้าขาวซีด ดูเจ็บปวดอย่างมาก

 

ในเวลาเดียวกับที่เสียงสายฟ้าไร้ลักษณ์เสียงนั้นดังขึ้นมา เขาก็มิอาจทนต่อไปได้อีก เขาส่งเสียงอึกออกมา มุมปากมีโลหิตสดๆ ไหลทะลัก

 

……

 

……

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

 

เทียนจิ้นเหรินใช้สายตาที่มืดบอดจ้องมองจิ๋งจิ่ว ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงและสงสัย

 

“ข้าบอกแล้ว เจ้าแบกรับคำตอบของคำถามนี้ไม่ไหวหรอก”

 

จิ๋งจิ่วยื่นมือไปหยิบกระดาษขาวที่อยู่บนโต๊ะมาปึกหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปจากกระท่อม

 

ประตูเปิดออก แสงอาทิตย์ตกกระทบลงมาบนใบหน้าเขา

 

สีหน้าเขาเองก็ค่อนข้างขาวซีดเช่นเดียวกัน

 

…………………………………………………