ตอนที่ 15 อย่าหาเรื่องใส่ตัว
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เลือนหายไป ทั่วทั้งผืนฟ้าราวกับถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดง
หยุนลี่เต๋อหาของป่ามาได้เยอะพอสมควร มีทั้งไก่ฟ้าสองตัว และกระต่ายอ้วนพีอีกหนึ่งตัว
“คงจะดีหากมันยังมีชีวิตอยู่” หยุนเชวี่ยพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับสัมผัสขนกระต่ายที่นุ่มลื่นดุจแพรไหม
กระต่ายเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ผสมพันธ์กันได้บ่อยครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เพียงแค่เลี้ยงดูกระต่ายสักสองสามคู่ ก็สามารถให้กำเนิดลูกกระต่ายออกมาเป็นคอกภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เนื้อกระต่ายสามารถนำมาทำกระต่ายผัดเผ็ด ส่วนขนอันอ่อนนุ่มสามารถนำไปทำเครื่องหนังได้ นับเป็นวิธีหาเงินที่ยอดเยี่ยมมาก…
“ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับมันได้แบบยังมีชีวิต” หยุนลี่เต๋อมัดเหยื่อที่ล่ามาได้สองสามตัวเข้าด้วยกัน “ไปเถอะ กลับบ้านกัน”
มีควันลอยคละคลุ้งจากการทำอาหารในหมู่บ้าน
หยุนเชวี่ยแบกตระกร้าอันหนักอึ้งไว้บนหลัง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในลานบ้านก็ได้กลิ่นของเนื้อหอมโชยมา คาดว่าแม่ไก่คงถูกนำมาทำอาหารแล้ว
“โอ้! ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกินตั้งแต่แยกบ้านกัน” แม่นางเฉินนั่งยอง ๆ อยู่ตรงประตูห้องครัวเพื่อล้างผัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นไก่ฟ้าและกระต่ายในมือของหยุนลี่เต๋อ “มีกันกี่ปากถึงต้องกินเยอะขนาดนี้!”
วันนี้นางว่างและไม่ต้องทำอาหาร ตระกูลหยุนเพียงแค่ต้มเนื้อไก่ในหม้อเท่านั้น เป็นแม่เฒ่าจูที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ เพราะนางจะต้องนับจำนวนชิ้นเนื้ออย่างชัดเจน
หยุนลี่เต๋อไม่เคยนึกอยากสนทนากับแม่นางเฉิน จึงเดินเลี่ยงไปทางห้องฝั่งตะวันตกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่หยุนเชวี่ยที่เดินตามหลังมาก็ถูกเรียกให้หยุด
“เชวี่ยเอ๋อ อะไรอยู่ในตะกร้าข้างหลังเจ้า? แบ่งให้อาสะใภ้สามด้วยสิ” เฉินซื่อยิ้มแก้มปริ
“พุทราป่า” หยุนเชวี่ยหยิบพุทราขึ้นมาหนึ่งกำมือและแบ่งให้นางอย่างใจกว้าง
อาสะใภ้เฉินไม่แม้แต่จะล้างพุทราป่า นางอ้าปากกัดเข้าไปคำใหญ่ ขณะที่กินก็บ่นออกมาด้วยความไม่ชอบใจ “นึกว่าจะเป็นของดี มีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
หยุนเชวี่ยยิ้มพร้อมกับส่ายหัว
จู่ ๆ เสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าจูก็ดังมาจากในห้องครัว “วิญญาณหิวโหยไร้ค่ากลับชาติมาเกิด! ทั้งวันไม่ทำอะไร นอกจากกินข้าวจนไม่เหลือ…”
ด้านข้างของสวนผักเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของบ้าน มีหม้อเหล็กวางอยู่บนเตาอย่างเรียบง่าย เนื้อไก่ครึ่งตัวถูกเคี่ยวอยู่ในหม้อที่กำลังเดือดปุด ๆ
นี่เป็นการทำอาหารมื้อแรกหลังจากการแยกบ้านออกมา แม่นางเหลียนกับหยุนเยี่ยนจึงวุ่นวายมากเป็นพิเศษ
หยุนเชวี่ยล้างพุทราป่า ก่อนจะส่งให้เสี่ยวอู่ สองคนพี่น้องนั่งเคียงข้างกันใต้ชายคา ในมือถือชามใบใหญ่
“วันนี้มีเนื้อกินแล้ว ดีใจหรือไม่?”
เสี่ยวอู่พยักหน้า
“ท่านพ่อจับไก่ฟ้าและกระต่ายได้ วันพรุ่งนี้ วันมะรืน หรือวันต่อ ๆ ไปก็จะได้กินเนื้อ และยังมีไข่ไก่ป่าอีกด้วย ”
“โครก…” ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้เลยว่าเป็นเสียงท้องร้องของใคร
ทั้งสองคนต่างสบตากัน
“ฮ่าฮ่า!” หยุนเชวี่ยเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาก่อน เสี่ยวอู่เอียงศีรษะมอง ดวงตาที่เคยสงบนิ่งอยู่เป็นนิจโค้งขึ้นเล็กน้อย
เด็กคนนี้เกิดมาตัวขาวซีดร่างกายอ่อนแอ ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ดูหม่นหมองอยู่เสมอ แต่เมื่อเขายิ้มออกมา รอยยิ้มนี้เปรียบเสมือนแสงแดดที่ลอดผ่านกลุ่มก้อนเมฆสีดำมืดหม่น
หลังจากหยุนลี่เต๋อทำความสะอาดเหยื่อที่ล่ามาได้ อาหารก็เสร็จพอดี
ไก่ตุ๋นฟักขาวส่งกลิ่นหอมฉุย ในหม้อเหล็กมีแผ่นแป้งทอดวางเรียงอยู่ อีกด้านของแผ่นแป้งแช่อยู่ในน้ำซุปเข้มข้น
เพียงแค่ดมกลิ่น หยุนเชวี่ยที่ไม่ได้สัมผัสเนื้อมาเป็นเวลาเดือนครึ่ง ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
แม่นางเหลียนคีบส่วนขาไก่ให้หยุนลี่เต๋อก่อน จากนั้นก็คีบเนื้อชิ้นใหญ่ให้เด็กทั้งสามคน ส่วนตัวเองนั้นก้มลงกัดฟักขาว ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดวงตาของนางก็แดงก่ำราวกับจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านแม่ก็กินเนื้อด้วย ยังมีเหลืออีกเยอะ” หยุนเชวี่ยคีบเนื้อในชามให้นางพร้อมกับรอยยิ้ม “ต่อไป ข้าจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาวและเสี่ยวอู่ จะได้มีอาหารกิน มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่”
“เจ้าช่างรู้จักปลอบใจคน” แม่นางเหลียนเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อเช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วยิ้มออกมา “แค่ไม่หาเรื่องใส่ตัว ก่อเรื่องวุ่นวาย แม่ก็ดีใจมากแล้ว”
“อืม…” หยุนเชวี่ยตอบรับในลำคอขณะแทะเนื้อไก่
ตราบใดที่นางไม่ถูกหาเรื่องก่อน ก็ไม่มีทางไปทะเลาะกับใครแน่
แต่ก่อนหน้านั้น…
“พี่สาว ที่โดนหยุนชิ่วตียังเจ็บอยู่หรือไม่?”
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มมืด ขณะที่หยุนเยี่ยนกำลังล้างจานอยู่ตรงลานบ้าน หยุนเชวี่ยก็โน้มตัวเข้าไปหานาง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ็บนิดเดียว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าดูหน่อยเถิด”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่เจ็บแล้ว”
“ให้ข้าดูก่อน”
หยุนเชวี่ยยังคงดื้อรั้น พยายามจะดึงแขนเสื้อของนางขึ้นดู
ท่อนแขนขาวผ่อง ปรากฏรอยฟาดจากไม้ขนไก่จนบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
หยุนเยี่ยนหลับตาลงโดยไม่กล่าวคำใด
หยุนเชวี่ยจับแขนของพี่สาวและจ้องมองอยู่ชั่วครู่ โดยไม่เอ่ยอะไรออกมา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับหักกิ่งไม้ยื่นออกไปเขี่ยรังมดที่อยู่ตรงด้านข้างแปลงผัก ไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่
ในคืนนั้น
อาจเพราะมีบางสิ่งติดค้างอยู่ในใจ หยุนเชวี่ยจึงนอนไม่หลับ จวบจนใกล้รุ่งสาง ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร นางจึงค่อย ๆ ลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา
ขณะที่ดึงผ้าม่านและโผล่หัวออกมา หยุนเชวี่ยก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นาง
“ชู่ว…” หยุนเชวี่ยทำท่าทางส่งสัญญาณให้เงียบ ๆ
เสี่ยวอู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
นางชี้ไปที่ประตู และเดินย่องออกไปด้วยปลายเท้า
เสี่ยวอู่ก็ตามนางออกไปด้วยวิธีการเดียวกัน
ประตูห้องทางปีกตะวันตกแง้มเปิดออกเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ปิดลงอย่างแผ่วเบา
“เหตุใดเจ้าถึงตามออกมา?” ทั่วทั้งลานบ้านยังคงเงียบสงัด แม้แต่ไก่ยังไม่ตื่นมาขัน หยุนเชวี่ยจึงกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด
เสี่ยวอู่นิ่งเงียบ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของนาง
หยุนเชวี่ยยกมือขึ้นกุมหน้าผากและมองไปที่เขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “ได้ แต่เจ้าต้องฟังที่ข้าบอกทุกอย่าง”
เสี่ยวอู่รีบพยักหน้า
“ห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อและท่านแม่ด้วย”
เสี่ยวอู่พยักหน้ารับอีกครั้ง
หยุนเชวี่ยลูบใบหน้าของน้องชายแล้วยิ้มออกมาทันที ช่างเป็นเด็กที่เชื่อฟังที่สุด เขาไม่มีทางปริปากพูดออกมาอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดจะดีเทียบน้องชายของนางได้แล้ว
จากนั้นก็พากันไปหยิบน้ำเต้าจากในห้องครัวเพื่อเติมน้ำลงไป และเอาไข่ไก่ป่าใส่ในตะกร้าแบกขึ้นหลัง มืออีกข้างจูงเสี่ยวอู่และเดินไปตามทางขึ้นภูเขาท่ามกลางหมอกบาง ๆ ยามเช้า
เสี่ยวอู่เดินตามโดยไม่เอ่ยถามแม้แต่คำเดียว
“มีคนผู้หนึ่ง หากเราไม่รีบไปช่วยเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องตาย” หยุนเชวี่ยให้คำอธิบายแก่เขา พร้อมกับก้มลงดึงหญ้าตามข้างทางเป็นครั้งคราว
หญ้าชนิดนี้พบเจอได้ทั่วไปตามชนบท ผู้คนในหมู่บ้านมักจะนำมาคั้นน้ำเพื่อใช้เป็นยาห้ามเลือด
“อืม บางทีเขาอาจจะตายแล้วก็ได้” นางเงยหน้าขึ้นมองไปบนภูเขาด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิง “หวังว่าเขาจะยังมีโชคอยู่บ้าง”
หากเขาตายไปแล้วล่ะ? นั่นเป็นเพราะนางมัวแต่กังวลเกินไป เขาจึงไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
เมื่อนึกถึงใบหน้าซีดเซียวของเด็กหนุ่มและรอยเลือดขนาดใหญ่บนไหล่ของเขา หยุนเชวี่ยก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที
ทั้งสองมองเห็นเครื่องหมายบนต้นไม้ จึงเร่งฝีเท้า พร้อมกับท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้น ในที่สุดพวกเขางก็มาถึงสถานที่นั้น แต่เมื่อช่วยกันแหวกหญ้าออก ปรากฏว่าชายผู้นั้นก็หายตัวไปแล้ว!
หยุนเชวี่ย…
บนพื้นยังมีร่องรอยคราบเลือดที่แห้งกรังและผงไล่แมลงของนาง แต่คนหายไปไหน?
รู้สึกตัวแล้วจึงรีบหนีไป?
หรือว่าถูกเผาศพเพื่อทำลายหลักฐาน?
“เสี่ยวอู่…” นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ขณะที่นางกำลังจะเปิดปากพูด สายตาก็เหลือบไปเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่มีผ้าสีดำโผล่ออกมา
“อยู่นั่น!”
เด็กหนุ่มเอนหลังพิงโคนต้นไม้ ในมือของเขาถือกรวยที่ทำจากใบไม้เปียกชื้นเพื่อรองน้ำค้าง เขาเอียงศีรษะไปข้างหลังเล็กน้อย กลุ่มผมสีดำสนิทราวกับหมึกยุ่งกระเซิง ปลายคางเชิดขึ้น เปลือกตาก็ขยับไปมาเล็กน้อย เหมือนว่าชายผู้นี้จะได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาน่าจะตื่นขึ้นมาด้วยความกระหายน้ำ และหมดสติไปอีกครั้งเนื่องจากร่างกายอ่อนแรง
“เสี่ยวอู่ ประคองเขาไว้”
หยุ่นเชวี่ยเปิดจุกน้ำเต้า แล้วใช้มืออีกข้างจับหน้าของเขาเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ป้อนน้ำใส่ปาก
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว แสดงท่าทีดิ้นรนขัดขืนตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อริมฝีปากที่แห้งแตกสัมผัสได้ถึงน้ำเย็น ลูกกระเดือกในลำคอก็เคลื่อนขึ้นลง อาการต่อต้านของเขาก็ผ่อนคลายลงไปด้วย…