ตอนที่ 421 อดีตอันโศกเศร้า / ตอนที่ 422 เหล้าบ๊วย

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 421 อดีตอันโศกเศร้า

เมื่อกลับมาจากเมืองชิงหยวน เสี่ยวเฟิงดูเหนื่อยมากทีเดียว ยังไม่ทันได้กินข้าวกลางวัน เขาก็หลับไปบนเตียงของหูเฟิงแล้ว

ไป๋จื่อเดินเข้าไปห่มผ้าบางๆ ให้เขาในห้องอย่างเบามือ ขณะเดียวกันก็มองรูปร่างผอมบางของเขา ก่อนจะถอนใจยาวๆ ออกมาเสียงหนึ่ง เด็กที่น่าสงสารเช่นเสี่ยวเฟิงนี้ ไม่รู้มีอยู่บนโลกมากมายเท่าใด ไม่มีพ่อแม่ค่อยเอาใจใส่ กินข้าวไม่อิ่มท้อง หรือแม้กระทั่งไม่มีเสื้อผ้าปกป้องกายา

หากบนโลกนี้ไม่มีสงคราม ไม่มีความยากจน ไม่มีการทอดทิ้งที่ไร้ซึ่งความเมตตา จะดีกว่านี้เพียงใดกันนะ

ขณะที่ทำอาหารกลางวัน เสี่ยวเฟิงก็ยังคงไม่ตื่น พวกเขาไม่อยากไปปลุกเด็กชาย จึงลงมือกินข้าวกันก่อน แล้วเหลืออาหารที่ดีที่สุดให้เสี่ยวเฟิง อุ่นรออยู่ในหม้อรอเขาตื่นมากิน

แต่ใครจะคาดคิดว่า เมื่อเสี่ยวเฟิงตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว

ท้องฟ้าข้างนอกมืดสลัว เวลากลางวันในฤดูใบไม้ร่วงสั้นมาก ยังไม่ทันตกกลางคืน ลมที่พัดมาก็เย็นชื้นเสียแล้ว

อาหารกลิ่นหอมฉุยวางอยู่เต็มโต๊ะ ส่วนโต๊ะขนาดเล็กอีกตัวข้างๆ ก็วางไว้ด้วยขนมไหว้พระจันทร์และผลไม้ เทียนสีแดงเล่มหนาเท่าลำแขนถูกจุดไว้แล้ว ส่องแสงสว่างอบอุ่นไปทั่วทั้งเรือน

“เสี่ยวเฟิงตื่นแล้ว! หิวหรือไม่ เหลือกับข้าวอีกอย่างหนึ่งก็ลงมือกินได้แล้ว เจ้าไปล้างหน้าล้างตาที่ลานด้านหลังก่อน อีกไม่นานก็เสร็จแล้วล่ะ”

จ้าวซู่เอ๋อเล่นกับหรูเอ๋อร์อยู่ในโถง ส่วนอาอู่กับลุงหูกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานด้านหน้า

เสี่ยวเฟิงถามซู่เอ๋อว่า “น้าสะใภ้ แล้วไป๋จื่อเล่า”

ทว่าจ้าวซู่เอ๋อยังไม่ทันตอบ หรูเอ๋อร์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนแล้ว “ข้ารู้ๆ พี่ไป๋ทำกับข้าวอยู่ที่ห้องครัว ฝีมือของพี่ไป๋ยอดเยี่ยม ทำอะไรก็อร่อยไปหมดเลย”

เสี่ยวเฟิงยิ้มพลางลูบศีรษะของหรูเอ๋อร์ “หรูเอ๋อร์เป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าเล่นไปก่อนนะ ข้าจะไปล้างหน้าหน่อย”

เขาไปที่ลานบ้านด้านหลัง กลิ่นหอมเข้มข้นสายหนึ่งลอยมาเตะจมูก เดิมทีเขายังไม่รู้สึกหิวเท่าไร แต่เมื่อได้กลิ่นหอมๆ นี้เข้า ท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องขึ้นมาแล้ว

ไป๋จื่อเพิ่งยกซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานออกจากหม้อ ก็พบกับเสี่ยวเฟิงพอดี “เจ้าตื่นแล้วรึ หลับสบายหรือไม่ คงหิวแล้วกระมัง”

เสี่ยวเฟิงรีบส่ายหน้า “ไม่หิว ยังไม่หิว” คำว่าไม่หิวสองพยางค์เพิ่งออกจากปาก ท้องของเขาก็กลับส่งเสียงประท้วงออกมาเสียแล้ว

เขาลูบท้องที่กำลังร้องจ๊อกๆ ขณะเดียวกันก็ยิ้มอย่างเก้อเขิน

ไป๋จื่อชี้ไปที่ถังน้ำด้านข้าง “ตรงนั้นมีกะละมังไม้กับน้ำสะอาดอยู่ เจ้ารีบไปล้างหน้าเถอะ อีกเดี๋ยวจะกินข้าวกันแล้ว”

เมื่อเห็นไป๋จื่อยกอาหารไปแล้ว เขาถึงจะขยับตัวไปล้างหน้าที่ข้างๆ ถังน้ำ น้ำในถังเย็นมาก ทว่าใบหน้าของเขาค่อนข้างร้อนทีเดียว ต้องล้างหน้าอยู่หลายรอบถึงจะคลายความร้อนลงไปได้

ครั้นกลับไปที่เรือน ทุกคนก็นั่งที่เรียบร้อยแล้ว กำลังรอเขาอยู่คนเดียว

โต๊ะสี่ด้านแบ่งเป็นแปดที่นั่ง ขณะนี้มีเด็กและผู้ใหญ่นั่งล้อมรอบโต๊ะแล้วเจ็ดคน บนใบหน้าของแต่ละคนประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม

วันที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้ เขาไม่เคยได้พบเจอมานานแล้ว ราวกับว่ามันเป็นเรื่องของชาติที่แล้วก็ไม่ปาน

เขาแม้กระทั่งคิดว่าจะไม่มีวันได้สัมผัสวันคืนเช่นนั้นอีกแล้ว

ระหว่างกินข้าว อาอู่ถามเสี่ยวเฟิงว่า “หลายปีมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

ทุกคนพยายามไม่ถามเรื่องเมื่อสามปีก่อนกับเขา เพราะไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะอาอู่หนีออกมาได้ทัน ทุกวันนี้เขาก็คงไม่มีหรูเอ๋อร์เช่นกัน

เสี่ยวเฟิงวางตะเกียบในมือลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เขาไม่มีวันลืมภาพเมื่อสามปีก่อนได้ลง และไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตที่สูญเสียญาติมิตรไปแล้ว จะลำบากแสนเข็ญถึงเพียงนี้

“หากข้าไม่ถูกทำโทษที่โรงเรียน จนกลับบ้านช้าถึงเพียงนั้น ก็คงไม่มีข้าในตอนนี้ ทุกคนตายกันหมด ทั้งญาติและเหล่าข้ารับใช้ทั้งหมดยี่สิบแปดคน ตายหมดไม่มีเหลือ” มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ทุกครั้งที่คิดถึงวันนั้น เขาจะรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย

ในตอนนั้นแม่ของเขายังเหลือลมหายใจสุดท้าย นางบอกกับเขา ว่าพ่อของเขาไม่มีทางเป็นจารชน ไม่มีทางเป็นจารชนเด็ดขาด ให้เขาเชื่อมั่นในตัวผู้เป็นบิดา และให้เขาคิดหาหนทางตามหาพ่อของเขาให้เจอให้จงได้

……….

ตอนที่ 422 เหล้าบ๊วย

ขณะนั้นเขาอายุเพียงสิบปี ยังไม่รู้ประสาอะไร และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเช่นกัน ได้แต่มองผู้เป็นมารดาตายไปต่อหน้าต่อตา เขาร้องไห้จนไม่รู้ว่าจะร้องออกมาได้อีกอย่างไร คิดเพียงว่าโลกทั้งใบของเขาแตกสลายแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

เขาแม้กระทั่งคิดว่าเหตุใดทุกคนถึงตายทั้งหมด แต่เขามีชีวิตรอดเพียงลำพัง ไยเขาต้องมีชีวิตต่อไป

ต่อมาทางการมาเก็บศพ ตอนนั้นเขาหลบออกไป กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากฝ่ายราชการเก็บศพเรียบร้อยแล้ว ยังขนทรัพย์สมบัติในบ้านไปทั้งหมด สุดท้ายแล้วก็เผาบ้านทั้งหลังจนวอดวายอีกด้วย

เขาเปลี่ยนจากเด็กกำพร้าเป็นขอทาน ขอทานแก่คนหนึ่งเห็นเขาแล้วก็สงสาร จึงพาเขาร่วมขอทานไปด้วย เขาถึงจะพอมีชีวิตรอดต่อไปได้

เด็กชายคิดว่าตนจะต้องเป็นขอทานไปตลอดชีวิต จนกระทั่งเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ บนประกาศสำนักพระราชวังในเมืองปรากฏรูปวาดพ่อของเขา พวกเขาบอกว่าพ่อของเขาเป็นจารชน เป็นจารชนที่ชักศึกเข้าบ้าน ขายชาติบ้านเมือง

เสี่ยวเฟิงย่อมไม่เชื่อ พ่อของเขาองอาจกล้าหาญ ทั้งยังตงฉิน อยู่ในลู่ทางชัดเจน เขาจะเป็นจารชนไปได้อย่างไร

ขณะเดียวกันเขาก็ดีใจมาก ที่บิดาของตนยังมีชีวิตอยู่ นี่ต่างหากที่สำคัญกว่าสิ่งไหน

ผ่านไปไม่นานนัก กองทัพก็ประกาศรับสมัครทหาร เขาปลอมแปลงอายุแฝงตัวเข้าไปได้ ทว่าก็ลำบากอยู่ในค่ายทหารอย่างยิ่ง จนสุดท้ายก็ได้คราวข่าวของบิดามาบ้าง ทั้งยังต้องยกความดีความชอบให้จิ้นอ๋อง ทำให้เขาได้พบกับบิดาในที่สุด

ความทุกข์ยากยาวนานเป็นเวลาสามปีผ่านพ้นไปแล้ว เขาไม่อยากพูดถึงมันมากเท่าไร และเขาไม่อยากทำให้ทุกคนลำบากใจด้วยเช่นกัน จึงยิ้มกล่าว “ข้าโชคดีทีเดียว ได้พบเจอคนดีๆ ถึงได้พอใช้ชีวิตรอดไปได้”

คำพูดของเขาไม่มีแรงโน้มน้าวแม้สักนิด หากเขามีชีวิตที่ดีจริงๆ เด็กหนุ่มอายุสิบสามเช่นเขาจะสูงเพียงเท่านี้ และมีรูปร่างผอมแห้งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเขาไม่อยากพูด พวกเขาก็จะไม่ถามอีก เพียงกล้ำกลืนความกลัดกลุ้มใจไว้ แล้วเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าแทน

“วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ และเป็นวันไหว้พระจันทร์แรกที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ข้าหวังว่าในทุกวันไหว้พระจันทร์ทุกปีหลังจากนี้ พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเช่นนี้ ล้วนมีความสุขเหมือนเช่นในวันนี้นะ” ไป๋จื่อลุกขึ้น ถือถ้วยสุราไว้ในมือ “ข้าขอดื่มให้ทุกคนสักถ้วย”

ทุกคนลุกขึ้นยืนเช่นกัน ถ้วยสุราหกใบกระทบเข้าด้วยกัน ส่งเสียงกังวานเสนาะหู รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น

เหล้าบ๊วยอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองชิงหยวนมีรสชาตินุ่มนวลและออกรสหวาน เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นผลไม้สายหนึ่ง ไป๋จื่อรู้สึกปีติยิ่ง บวกกับเหล้านี้มีรสชาติยอดเยี่ยม จึงดื่มเข้าไปหลายแก้วโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ใครจะไปรู้ว่าฤทธิ์เหล้าบ๊วยนี้จะไม่น้อยเลย ไม่เพียงแต่ไป๋จื่อเท่านั้นที่ดื่มแล้วเมามาย แม้แต่จ้าวหลานและซู่เอ๋อก็คอพับคออ่อนเช่นกัน

อาอู่กล่าวกับเสี่ยวเฟิง “เจ้ายังเด็กอยู่แท้ๆ แต่คอแข็งทีเดียวนะ”

เสี่ยวเฟิงยิ้มพลางเกาศีรษะ “ข้าเริ่มดื่มเหล้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว ค่อยๆ ดื่มทีละนิด จากนั้นก็เริ่มดื่มได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ดื่มอย่างไรก็ไม่รู้จักเมาเสียแล้ว”

หูจ่างหลินเองก็รู้สึกวิงเวียนเช่นกัน เขาโบกมือพูดว่า “ข้าไม่ไหวแล้ว ดื่มต่อไม่ได้แล้ว ขืนดื่มต่อไปต้องแย่แน่ๆ” เขามองจ้าวหลานและไป๋จื่อ ที่ล้วนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะกันหมดแล้ว สุดท้ายจึงกล่าวกับอาอู่ “ส่งพวกนางกลับไปเถอะ ดึกเกินไปกว่านี้จะไม่ดี คนอื่นเห็นเข้าจะเอาไปนินทาได้”

ลุงหูลุกขึ้นเดินไปถึงข้างกายของจ้าวหลาน เขาเกือบจะล้มหัวทิ่มตั้งแต่ก้าวแรก ฝ่าเท้าคล้ายกับเหยียบอยู่บนปุยฝ้าย ศีรษะก็เหมือนกับหนักเป็นพันชั่ง ยังไม่ทันดื่มจนหนำใจเลย ก็เมาขนาดนี้แล้วหรือนี่

เสี่ยวเฟิงรีบเข้ามาประคองเขาไว้ “ข้าจัดการเอง ท่านเมาแล้วนะขอรับ!”

“เจ้าประคองท่านลุงหูไปพักในห้องก่อน ส่วนข้าจะแบกท่านน้าหลานไปที่ด้านหลัง อีกเดี๋ยวเจ้าก็แบกไป๋จื่อมาแล้วกัน” อาอู่บอกเสี่ยวเฟิง

เสี่ยวเฟิงรีบพยักหน้ารับคำ เขาประคองลุงหูเข้าไปในห้อง ยามที่ออกมา อาอู่ก็แบกน้าหลานจากไปแล้ว