ตอนที่ 271 สุราวานรคือที่สุด

พันธกานต์ปราณอัคคี

วานรวิญญาณไม่กี่ตัวกะพริบตา จากนั้นส่ายหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เจ้าพวกนี้ฟังรู้เรื่อง!

 

 

นางรีบล้วงขวดน้ำเต้าสุราสีชมพูเข้มใบหนึ่งออกจากถุงเก็บวัตถุ แล้วแกว่งให้วานรวิญญาณพวกนั้นดู จากนั้นเปิดจุกออก กลิ่นหอมสุราอ่อนๆ สายหนึ่งก็ลอยออกมา

 

 

น้ำค้างลั่วเหวยนี่สีใสรสอ่อนกลับทั้งหวานทั้งให้หวนระลึก วานรพวกนี้อาจชอบก็ได้

 

 

วานรวิญญาณได้กลิ่นหอมของสุราแล้วคึกคักขึ้นมาตามคาด ตาจ้องขวดน้ำเต้าสุราในมือมั่วชิงเฉินเขม็งกระโดดขึ้นกระโดดลงเกาหูเกาแก้ม

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะ ยัดจุกสุราเข้าไปแล้วโยนขวดน้ำเต้าสุราข้ามไป

 

 

วานรวิญญาณที่รูปร่างกำยำที่สุดตัวหนึ่งกระโดดลงมารับขวดน้ำเต้าสุราไว้ทันที จากนั้นเปิดจุกออกอย่างคล่องแคล่ว จ่อขวดน้ำเต้าไปข้างปากกรอกเข้าไปอึกใหญ่

 

 

“เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ” วานรวิญญาณไม่กี่ตัวที่เหลือร้อนใจจนถูมือไปมา วานรวิญญาณตัวนั้นกลับกอดขวดน้ำเต้าสุราไว้ไม่ปล่อย

 

 

“ที่ข้านี่ยังมีอีกมาก พวกเจ้าให้ข้าเด็ดผลไม้สีแดงพวกนั้นละก็ ข้าก็จะมอบสุราพวกนี้ให้พวกเจ้าหมดเลยดีหรือไม่?” ขวดน้ำเต้าสุราสีต่างๆ สิบกว่าใบปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วพูดหลอกล่อ

 

 

วานรวิญญาณไม่กี่ตัวมองหน้ากัน คิดอยู่นานมากถึงพยักหน้าอย่างลังเล

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวยื่นขวดน้ำเต้าสุราพวกนั้นให้วานรวิญญาณ ยกเท้าก็จะไปทางพุ่มไม้หนามนั่น

 

 

ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่กดมา ทุกคนตกใจหน้าถอดสีทันที มีใจต่อต้านกลับพบอย่างน่าตระหนกว่าขยับเขยื้อนไม่ได้เลยภายใต้การข่มของพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่นี้

 

 

“ทุกคนใจเย็นไว้!” หน้าผากมั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นซึมออก แต่แข็งใจยันไว้ว่า

 

 

ด้วยประสบการณ์ของนางตัดสินได้ว่า พลานุภาพสายนี้ต้องมาจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหรืออสูรปีศาจขั้นแปดขึ้นไป!

 

 

ท่ามกลางสายตาพรั่นพรึงของทุกคน วานรวิญญาณตัวหนึ่งพยุงผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินออกมา

 

 

ผู้เฒ่าคนนี้ดูแล้วอย่างน้อยต้องเจ็ดแปดสิบแล้ว รอยเ**่ยวย่นเต็มหน้าซ้อนกันเป็นชั้นๆ คาดว่าหนีบแมลงวันตายได้ ที่พิเศษที่สุดกลับเป็นหนวดของเขา ไม่คิดว่าจะเป็นสีทอง

 

 

“แค่กๆ นางหนูน้อย เจ้าจะเอาสุราพวกนี้แลกผลไม้ของพวกเรา?” ผู้เฒ่าดึงหนังตาขึ้น แล้วเอ่ยอย่างเนิบนาบ

 

 

มั่วชิงเฉินแอบตระหนกสงสัย ทุกการเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าคนนี้ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ กลับมีหนวดสีทอง หรือว่าเป็นวานรวิญญาณที่จำแลงกาย?

 

 

อสูรปีศาจถึงขั้นแปดก็คือการจำแลงขั้นแรก เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นในมนุษย์ หรือก็หมายความว่า ที่พวกเขาเผชิญหน้าอย่างน้อยคืออสูรปีศาจที่เทียบเท่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นคนหนึ่ง!

 

 

ทุกคนต่างไม่ใช่คนโง่ ในพริบตาที่เห็นผู้เฒ่าคนนี้ก็นึกถึงเรื่องพวกนี้แล้ว แต่ละคนสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา

 

 

หากพบผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทุกคนร่วมมือกันยังมีโอกาสหนีเล็กน้อย ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เช่นนั้นนอกจากนั่งรอความตายก็ไม่มีวิธีอะไรดีๆ แล้วจริงๆ

 

 

ในเวลานี้เอง หรวนหลิงซิ่วกลับฟื้นขึ้นมาแล้ว นางนวดขมับพลางลุกขึ้นมา ศีรษะยังวิงเวียนอยู่บ้าง จึงรีบตั้งตัวให้นิ่ง แล้วมองตรงไปอย่างงงงวย สายตาประสานเข้ากับใบหน้าของผู้เฒ่าพอดี

 

 

“ตาแก่ที่ไหนกัน!” หรวนหลิงซิ่วขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย

 

 

แก่จนเป็นเช่นนี้ ดูแล้วสะอิดสะเอียนเสียจริง!

 

 

มั่วชิงเฉินไม่แม้แต่จะหันกลับไป ดึงก้อนอิฐออกแล้วโยนไปข้างหลังตรงๆ แล้วก็ได้ยินเสียงตึงเสียงหนึ่ง หรวนหลิงซิ่วล้มลงไปทันที นางยื่นมือแล้วโบกเรียก ก้อนอิฐก็กลับเข้าในมืออีก

 

 

ทุกคนเหงื่อเย็นไหลโทรม แอบว่าในนิทานความรักในตำนานพวกนั้น นางเอกล้วนอ่อนโยนดุจสายน้ำเมตตาหาใดเทียม ถูกหญิงอำมหิตที่ชอบพระเอกรังแกตลอดเวลา จากนั้นพระเอกก็จะทะนุถนอมอิสตรีวีรบุรุษช่วยสาวงามมิใช่หรือ? ไยมาถึงคนตรงหน้านี้ ถึงกลับตาลปัตรล่ะ?

 

 

ผู้เฒ่านั่นก็สีหน้าประหลาดเช่นกัน เห็นเหตุการณ์แล้วดูเหมือนอยากหัวเราะ กลับฝืนทำท่าทางเคร่งขรึมไว้

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ท่านพูดได้ถูกต้อง ผู้น้อยคิดจะใช้สุราพวกนี้แลกผลไม้ของท่านจริงๆ ไม่ทราบได้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เก็บก้อนอิฐขึ้นอย่างสุขุมแล้วถามว่า

 

 

ต่อให้ผู้เฒ่าคนนี้เป็นอสูรปีศาจขั้นแปด ด้วยวิธีการออกโรงเช่นนี้ก็ดูไม่เหมือนอสูรดุร้ายพวกนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ มัวแต่หัวหดกลับจะเสียโอกาสไป ไม่สู้ลองหยั่งเชิงดู ไม่แน่ยังมีโอกาส

 

 

ผู้เฒ่ายกมือ หยิบขวดน้ำเต้าสีชมพูเข้มขึ้นใบหนึ่ง จากนั้นเปิดจุกออกแหงนหน้าดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ต่อจากนั้นยกแขนขึ้น โยนขวดน้ำเต้าสุราออกไปโดยตรงอย่างไม่คาดคิด

 

 

วานรวิญญาณพวกนั้นรีบกระโดดขึ้นมารับขวดน้ำเต้าสุราไว้ เอะอะโวยวายแย่งกันดื่มขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินใจแป้ว ความหมายของเขาเช่นนี้คือรังเกียจสุราว่าดื่มไม่ได้

 

 

ต่อจากนั้นผู้เฒ่าก็หยิบขวดน้ำเต้าสุราสีเทาเงินขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ครั้งนี้เดาะปากเบาๆ ทีหนึ่งแล้วยกมือขึ้นโยนออกไปอีก

 

 

มั่วชิงเฉินกัดปาก แอบว่าเจ้าวานรเฒ่านี่ เจ้าช่างเลือกกินทีเดียว แม้แต่คลาดโลกีย์ที่อาจารย์ชอบดื่มที่สุดก็ไม่เข้าตา!

 

 

ต่อจากนั้นก็เห็นผู้เฒ่านั่นยื่นมือไปที่ชนิดสุดท้ายขวดน้ำเต้าสีเหลือง ใจของมั่วชิงเฉินแอบตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมา

 

 

สุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสีเหลืองนี้ วันนั้นนางเคยเชิญอาจารย์ลิ้มลองมาก่อน อาจารย์ถามชื่อสุรานางนางกลับไม่ได้บอก เพียงเพราะชื่อของสุรานี้ ชื่อว่า ‘คิดถึงยากหักห้าม’

 

 

ผู้เฒ่าดื่ม ‘คิดถึงยากหักห้าม’ อึกหนึ่ง ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ได้โยนขวดน้ำเต้าสุราออกไปโดยตรง หากแต่หรี่ตาเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เดาะปาก

 

 

มีลุ้น!

 

 

มั่วชิงเฉินปีติในใจ มุมปากอดกระดกขึ้นไม่ได้ รอยยิ้มยังไม่ทันแย้มกลับเห็นผู้เฒ่ายกมือขึ้น โยนขวดน้ำเต้าสุราสีเหลืองดังสวบออกไปอีกแล้ว ในชั่วพริบตานั้นไม่คิดว่านางจะพบว่าสายตาที่ผู้เฒ่ามองมาแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์สายหนึ่ง ในใจอดแอบแค้นไม่ได้ เจ้าวานรเฒ่า ที่แท้เจ้าแกล้งกันเล่นหรือ!

 

 

“นางหนูน้อย สุราของเจ้านี่ไม่ไหวนะ” ผู้เฒ่าส่ายศีรษะ

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก แอบว่าไหวหรือไม่ไหวก็อยู่ที่เจ้าพูดมิใช่หรือ พูดตรงๆ ก็คือไม่อยากแลกผลไม้นั่นใช่หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลไม้นั่นยิ่งมีปัญหาแล้ว

 

 

ผู้เฒ่าดูเหมือนเดาสิ่งที่มั่วชิงเฉินคิดได้ ยกมือขึ้น ลูกวานรที่อยู่ข้างๆ รีบพยุงแขนของเขาทันที ต่อจากนั้นก็เห็นเขาเดินกลับไปอย่างเชื่องช้า

 

 

“หัวหน้ากลุ่ม… นี่ นี่หมายความว่าเช่นไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งทนไม่ไหวถามขึ้น ในใจแอบว่าได้ยินมาว่าศิษย์รักของท่านผู้เฒ่าเหอกวงคนนี้บุญวาสนาหนา ตามนางอย่างไรก็ต้องได้พบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์บ้าง บัดนี้ดูแล้วก็ไม่ผิด

 

 

“พวกเจ้าอย่ารน รอดูก่อนก็แล้วกัน” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

หากนางเดาไม่ผิด เจ้าวานรเฒ่านั่นต้องไปเอาสุราเป็นแน่!

 

 

เป็นตามคาดไม่นานนัก ภายใต้การพยุงของวานรวิญญาณผู้เฒ่าอุ้มของที่รูปร่างเหมือนลูกมะพร้าวใบหนึ่งเดินโซซัดโซเซมาแล้ว

 

 

เขาเดินถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ยื่นมือออก

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ยื่นจอกหยกขาวไปใบหนึ่งอย่างเข้าใจ

 

 

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วกดลงบนของที่เหมือนลูกมะพร้าวนั้น ก็กดเป็นรูออกมา เขาเอียงของนั่นอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็เห็นของเหลวสีเหลืองทองไหลออกมาจากข้างใน

 

 

“ชิมดู” เทถึงแค่ห้าส่วน ผู้เฒ่าก็ยื่นจอกหยกขาวข้ามมา

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมา จ่อจอกหยกขาวไปที่ริมฝีปาก

 

 

“ชิงเฉิน” ต้วนชิงเกอกระตุกชายเสื้อของนางอยู่ข้างหลัง

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้าแผ่วเบา มือไม่ชะงักส่งของเหลวในจอกเข้าปาก

 

 

ในดวงตาผู้เฒ่าฉายแววอบอุ่นขึ้นสายหนึ่ง

 

 

เมื่อสุราเลิศรสเข้าปาก หนอนสุราของมั่วชิงเฉินถูกเกี่ยวขึ้นมาทันที นางยกมือดื่มสุราในจอกจนหมด แล้วเม้มมุมปากอย่างไม่หายอยาก หรี่ตาครึ่งหนึ่งอยู่พักใหญ่ถึงลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่ผู้เฒ่าด้วยสายตาแวววาว

 

 

“เป็นเช่นไร?” ผู้เฒ่ารีบไล่ถามว่า ในตาปิดความได้ใจไม่มิด

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงชมจากใจว่า “ต่อให้เป็นน้ำทิพย์ ก็เพียงเท่านี้เอง!”

 

 

ผู้เฒ่ารู้สึกเหมือนเจอผู้รู้ใจทันที ยิ้มหน้าบานแล้วพยักหน้าว่า “นางหนูน้อย ดูท่าเจ้าก็เป็นคนในทางสุรา”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า ในใจกลับว่าข้าเป็นคนในทางสุรา ทว่าเจ้าไม่ใช่…

 

 

ผู้เฒ่าตบวัตถุที่หน้าตาเหมือนลูกมะพร้าวในมือ ยิ้มว่า “สุรานี่พวกเราหมักเองเชียวนะ เทียบกับสุราของเจ้าพวกนั้นเป็นเช่นไร?”

 

 

“สุราที่ผู้น้อยหมักเทียบกับสุราเลิศรสที่ท่านผู้อาวุโสหมัก ย่อมเทียบกันไม่ได้” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

“เอ่อ ที่แท้สุราพวกนั้นเจ้าก็หมักเองหรือนี่ อืม นี่กลับไม่ใช่เรื่องง่าย” ผู้เฒ่าลูบหนวดสีทองว่า “ทว่าเจ้าคิดจะใช้สุราพวกนั้นแลกผลไม้ของข้า ไม่ได้หรอกนะ นอกจาก…”

 

 

“นอกจากอะไร?” มั่วชิงเฉินไล่ถามว่า

 

 

“นอกจากเจ้าสามารถเอาสุราที่รสชาติดีกว่าสุราของข้าออกมา” ผู้เฒ่าเอ่ยว่า กลับเผยสีหน้าเป็นไปไม่ได้ออกมา

 

 

ตามคำเล่าลือ เผ่าวานรวิญญาณถนัดการหมักสุรา ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์เรียกสุราที่พวกมันหมักว่าสุราวานร หากคาดไม่ผิด ที่เมื่อครู่ตนได้ลิ้มรสก็คือสุราวานรในตำนานแล้ว

 

 

สุราวานรได้รับการยกย่องว่าเป็นสุราทิพย์ชั้นเลิศ อย่าว่าแต่ในตลาดเลย ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนที่เคยดื่มก็มีไม่มาก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านใดหากยามต้อนรับแขกสามารถเอาสุราวานรออกมาได้ นั่นช่างเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาอย่าบอกใครเชียว

 

 

“พูดจริงหรือ?” มั่วชิงเฉินเชิดคางขึ้นถาม ในใจกลับอดแอบหัวเราะไม่ได้

 

 

ผู้เฒ่าเหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้า

 

 

“หากสุราที่ผู้น้อยเอาออกมา ท่านผู้อาวุโสรู้สึกถูกใจ เช่นนั้นผลไม้พวกนั้นให้ข้าหมดได้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินยกมือ ชี้ไปที่พุ่มไม้หนาม

 

 

ผู้เฒ่าลังเลครู่หนึ่ง นางหนูนี่ดูแล้วหัวไวเป็นบ้าเลยนะ หรือว่าจะมีอุบาย ต้องรู้ว่าพวกมนุษย์เจ้าเล่ห์ที่สุดเชียวนะ

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ท่านคงไม่ใช่กลัวแพ้หรอกกระมัง?” มั่วชิงเฉินยิ้มหวานแล้วถาม

 

 

ตาเล็กๆ ของผู้เฒ่าฝืนลืมโตขึ้นพิจารณามั่วชิงเฉิน กลับไม่อาจเชื่อว่านางจะเอาสุราที่เลิศรสกว่าออกมาได้ จึงพยักหน้าทันทีว่า “ได้”

 

 

มั่วชิงเฉินแย้มหนึ่งยิ้ม แล้วยื่นขวดน้ำเต้าสีเทาทะมึนไปใบหนึ่ง

 

 

ที่ใส่อยู่ในขวดน้ำเต้านี้คือสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าเซียนสุดที่รักของนางเชียวนะ ว่ากันด้วยรสชาติของสุรา ยังไม่เคยมีสุราชนิดใดสู้ได้มาก่อน เพียงสิ่งเดียวที่ขาดไป ก็คือมันไม่มีปราณวิญญาณเท่านั้น

 

 

“เจี๊ยกๆ เจี๊ยกๆ” ผู้เฒ่าเพิ่งดื่มได้อึกหนึ่งก็ชะงักอยู่ตรงนั้น หลับตาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วจู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินอึ้งทันที ทุกคนก็อึ้ง พวกวานรก็อึ้งเช่นกัน

 

 

จากนั้นวานรพวกนั้นกระโดดผางขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟันก็จะจู่โจมใส่มั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินใช้เคลื่อนเงาเลือนรางก้าวออกไปหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด ก็ได้ยินผู้เฒ่าตะโกนว่า “หยุดนะ!” จากนั้นกระโดดสวบมาถึงหน้า เอ่ยเสียงสั่นว่า “นางหนูน้อย สุรานี่ เจ้าได้แต่ใดมา?”

 

 

มั่วชิงเฉินเกือบค้อนตาคว่ำ เจ้าวานรเฒ่านี่เดินก้าวหนึ่งก็ต้องให้ลูกวานรข้างๆ พยุง วุ่นวายอยู่นานความเคลื่อนไหวยังคล่องแคล่วกว่าลูกวานรหลานวานรพวกนั้นของมันอีก จึงเกิดความคิดว่า “ผู้น้อยย่อมต้องหมักเองอยู่แล้ว ผู้น้อยไม่มีงานอดิเรกอื่นใดตั้งแต่เด็ก ก็ชอบดื่มสุราหมักสุรานี่แหละ”

 

 

ผู้คนของเหยากวงที่อยู่ข้างหลังล้มตึ้งลงพร้อมกัน มีผู้หญิงเช่นนี้ด้วยหรือ อย่าบอกใครนะว่ามาจากเหยากวงของเราน่ะ

 

 

“เอามา” ผู้เฒ่ายื่นมือ

 

 

“เช่นนั้นผลไม้พวกนั้น…” มั่วชิงเฉินชี้พุ่มไม้หนาม

 

 

“เอาไป!” ผู้เฒ่าโบกมือ

 

 

พุ่มไม้หนามผืนนั้นหลายพันปีมานี้งอกผลไม้พวกนี้มาตลอด เดิมทีมันไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ใครจะรู้ว่าหลายปีมานี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดผลไม้พวกนี้ก็ต่างจากแต่ก่อนแล้ว เด็ดมาลองชิมดู กลับพบว่ายังคงทั้งขมทั้งฝาด ไม่อร่อยยิ่งนัก

 

 

เป็นวานรก็ไม่ควรโลภมากเกินไป ในเมื่อมีสุราเลิศรสนี่มาแลก ช่างหัวผลไม้พวกนั้นมีอะไรประหลาดปะไร ไม่เกี่ยวกับมันแล้ว ผู้เฒ่าคิดเงียบๆ

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นขวดน้ำเต้าสุราสีเทาทะมึนข้ามไปหลายใบ แล้วก้าวเท้าเดินไปทางพุ่มไม้หนาม กลับได้ยินผู้เฒ่าจู่ๆ ก็พูดว่า “ช้าก่อน!”