บทที่ 193

มีทหารนับแสนคนที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวนอกเมือง ไม่สามารถถอยหนี และตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ทว่าเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าว ก็พากันมองไปยังเสี่ยวกุ่ยที่ยืนชี้นิ้วไปที่พวกเขาบนกำแพงเมือง พร้อม ๆ กันกับนึกคิดอะไรไปด้วยในใจ

แม่ทัพ 2-3 นายที่อยู่เบื้องล่างนั่น พากันรวมตัวและกระซิบกระซาบ “เสี่ยวกุ่ยไม่เห็นเราเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดพวกเราจึงต้องยอมทำตามเขากัน ?”

“ถูกต้อง ! เสี่ยวกุ่ยปฏิบัติต่อชีวิตของพวกเราพี่น้องเหมือนขยะ หากเราติดตามเขาต่อไปไม่ช้าก็เร็วย่อมถูกเขาฆ่าแน่ ! ”

ในตอนนี้พวกแม่ทัพคนอื่น ๆ ต่างก็เงียบ พวกเขามองหน้ากันชั่วขณะและพูดเกือบพร้อมเพรียงกันว่า “ยอมกันเถอะ !” ก่อนจะหัวเราะให้กันและกัน พร้อม ๆ กันกับที่แม่ทัพ 2-3 คนนั้นพลันตัดสินใจที่จะยกแขนขึ้น เรียกให้ทหารด้านล่างตอบสนอง

ทว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รวมตัวกันที่ใต้กำแพงเมืองอีกต่อไปแล้ว พวกเขาพากันเหวี่ยงหมวกและชุดเกราะออกจากร่างกาย ทิ้งอาวุธไปสิ้น ก่อนวิ่งไปทางกองทัพเทียนหยวน และในขณะที่วิ่งพวกเขาก็ตะโกนไปด้วยว่า “อย่าทำอะไรพวกเราเลย พี่น้องกองทัพเทียนหยวน พวกเรายอมแพ้ พวกเรายอมจำนนแล้ว !”

ด้วยมีคนยอมจำนน จึงทำให้สถานการณ์ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมอีกต่อไป และเมื่อเห็นว่ากองทัพเทียนหยวนทำท่าจะปล่อยลูกธนูเข้าหาพวกเขา พวกทหารคนอื่น ๆ ที่ยังลังเลก็พากันยอมจำนนในทันที โดยเลียนแบบทหารเหล่านั้นที่ยอมจำนน พากันถอดเครื่องแบบออก ก่อนจะร้องตะโกนบอกขณะที่พวกเขาวิ่งไปยังกองทัพเทียนหยวน

เหตุผลที่เสี่ยวกุ่ยแยกกองทัพส่วนหนึ่งออกไปนอกเมือง ก็เพื่อที่พวกกองกำลังภายในจะได้เก็บแรงเอาไว้สำหรับต่อกร หากแต่ตอนนี้กองทัพด้านนอกกลับไม่ยอมปล่อยลูกศรหรือแม้แต่จะฟันดาบใส่อีกฝ่าย พากันยอมจำนนอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เสี่ยวกุ่ยไม่คาดคิด

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และเมื่อเห็นกองทัพที่อยู่นอกเมืองกำลังหลบหนีไปที่ค่ายของกองทัพเทียนหยวน เขาก็โกรธมากจนตากลายเป็นสีแดง มีควันออกมาจากปาก

เขาตะโกนว่า “กลับมา ! กลับมาซะ นี่เป็นคำสั่ง ! ถ้าพวกเจ้าเข้าร่วมกองทัพกบฏ พวกเจ้าก็คือกบฏ ข้าจะฆ่าครอบครัวของเจ้าเสีย 9 ชั่วโครต !”

ไม่มีใครเลยที่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และแม้ว่าจะได้ยิน หากแต่พวกทหารด้านล่างก็พากันถือว่านั่นคือเสียงผายลมเท่านั้น

เมื่อไม่สามารถหยุดการหนีทัพได้ด้วยการตะโกน เสี่ยวกุ่ยจึงสั่งให้เปิดประตูเมืองและปล่อยให้ทหารด้านนอกที่เหลือเข้ามา

คราวนี้เขาต้องการให้คนพวกนั้นเข้ามาในเมือง หากแต่ไม่มีใครยอมเข้าไป ด้วยทหารพวกนั้นพากันมุ่งหน้าไปยังกองทัพเทียนหยวนแล้ว

เสี่ยวกุ่ยลุกลี้ลุกลนและโกรธเคืองยิ่งเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ เขาพลันตะโกนใส่ทหารบนกำแพงเมือง “ยิงธนูออกไป ! ฆ่าไอ้พวกคนทรยศนั่นซะ !”

เขาตะโกน 2 ครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเคลื่อนไหวจึงหันกลับมามองและพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “ทำไมไม่ฟังคำสั่งข้า ?”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ รองแม่ทัพก็ได้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เขากวาดสายตามองไปทางซ้ายและขวาและพูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านแม่ทัพ นั่นมากเกินไปแล้ว !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวกุ่ยก็เลิกคิ้ว ผลักรองแม่ทัพออกไปและมองไปรอบ ๆ ซึ่งมันจะดีกว่ามากถ้าเขาไม่หันมามอง ด้วยสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้นั้น มันทำให้เขาต้องตกตะลึงอย่างสุดขีด

ทุกคนโดยรอบ พากันยืนนิ่ง ใช้สายตาเบิกกว้างจ้องมองมา ปากของพวกเขาเม้มแน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก แสดงให้เห็นถึงความโกรธที่ใกล้จะระเบิด เช่นเดียวกับฝ่ามือของพวกเขาที่จับอาวุธในมือแน่น ด้วยเรื่องคงจะไม่ลงเอยแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคนนั้น

หัวใจของเสี่ยวกุ่ยตึงเครียด แอบกลืนน้ำลาย หากแต่เขาก็ไม่คิดยอมรับว่าตนพูดผิด จึงแสร้งทำเป็นสงบและพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “ลืมไปเถอะ แม่ทัพผู้นี้มีความเมตตามากพอ ดังนั้นข้าจะไม่ถือสาหาความกับไอ้พวกขี้ขลาดนั่นที่ไปหาศัตรูก็แล้วกัน !”

แค่เพียงคำว่า ‘ความเมตตากรุณา’ ย่อมไม่สามารถบรรเทาความเกลียดชังในใจลงได้ ทั้งยังให้ผลตรงกันข้าม ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเสี่ยวกุ่ยกลัวที่จะได้รับอันตรายจากความดื้อรั้นของตนเอง

เสี่ยวกุ่ยคิดว่าคำพูดของเขานั้นเพียงพอแล้วที่จะทำให้ความโกรธของคนอื่น ๆ สงบลงแล้ว ดังนั้นจึงได้กล่าวออกไปว่า “เราไม่สามารถปกป้องเมืองด้วยชีวิตของเราได้ก็จริง แต่จงไปขับไล่ศัตรูให้ได้ แล้วข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม !”

ถ้าครั้งนี้ป้องกันเอาไว้ไม่ได้ การที่คิดจะจัดการอีกฝ่ายก็เป็นได้แค่เรื่องตลกเท่านั้น

นายกองนายหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและถอนหายใจ “มันสายไปแล้ว ! มันสายเกินไปแล้วสำหรับท่าน ! ถ้าก่อนหน้านี้ท่านแม่ทัพสั่งให้ออกจากเมืองและไปรวมตัวกับพวกเขาที่ข้างนอกนั่น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะฝ่าวงล้อมไป หากแต่ตอนนี้จำนวนคนเหลือเพียงไม่กี่หมื่นเท่านั้น คงยากที่เราจะฝ่ากำลังนับแสนไปได้ !”

เสี่ยวกุ่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาพูดสวนกลับไปอย่างรุนแรงว่า “ศัตรูนับแสน ? พวกมันก็แค่ลูกน้องของไอ้ถังหยินเท่านั้น ย่อมต้องอ่อนแออยู่แล้ว แค่พวกเราออกไปแกว่งดาบซัก 2-3 ครั้งก็สามารถทำให้พวกมันแตกพ่ายได้แล้ว !”

การแสดงออกของนายกองที่ได้ฟังเปลี่ยนไป เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะถอยหลังกลับไปและพูดว่า “ถ้าท่านอยากที่จะตาย ก็ออกไปได้เลย แต่พวกข้าจะไม่ไปกับท่าน !”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ?” เสี่ยวกุ่ยยกดาบขึ้นและตะโกน “พูดให้ข้าได้ยินอีกครั้งสิ !”

นายกองคนนั้นไม่ยอมถอยอีกต่อไป เขาเน้นคำพูดของตัวเองอีกครั้งนึง “ท่านแม่ทัพ ถ้าท่านออกไปสู้ตอนนี้ ท่านตายแน่ !”

“งั้น เจ้าก็ตายก่อนเลยก็แล้วกัน !” เสี่ยวกุ่ยร้องคำราม ยกดาบในมือขึ้น เตรียมจะบั่นคอของคนผู้นั้น

ในเวลานี้ ทหารรอบ ๆ ก็พากันเข้าล้อม เสี่ยวกุ่ย รองแม่ทัพคนสนิทของเขา และองครักษ์กับคนอื่น ๆ

“พวกเจ้ากำลังทำอะไร” ดาบของเสี่ยวกุ่ยชะงักค้าง ก่อนหันไปมองผู้คนรอบ ๆ ตัวและตะโกนว่า “คิดจะกบฎอย่างนั้นเหรอ ?”

“ตรงกันข้ามเลยต่างหาก !” นายทหารผู้กล้าหาญคนหนึ่งพึมพำกับตัวเองข้างหลังเสี่ยวกุ่ย ก่อนจะยกหอกขึ้นพุ่งแทงไปที่เอวของเสี่ยวกุ่ย

เสี่ยวกุ่ยเติบโตจากการต่อสู้ สัญชาตญาณของเขาจึงไม่ใช่อะไรที่จะดูถูกได้ ดังนั้นเมื่อเขารู้สึกได้ถึงลมจากทางด้านหลัง ไวกว่าความคิด พลังปราณในร่างของเสี่ยวกุ่ยก็พลันแผ่กระจายออกไปในพริบตา เข้าคลุมร่างของเขากลายเป็นเกราะปราณ ทำให้หอกที่แทงเข้ามาถูกขวางกั้นด้วยเกราะจนเกิดเสียงแหลมดังลั่น

“กล้าดียังไง !” เสี่ยวกุ่ยร้องลั่น ดาบในมือของเขาเปลี่ยนเป็นไร้รูปร่าง ในขณะเดียวกันเขาก็เหวี่ยงดาบไปข้างหลัง เข้าสับของหัวของนายทหารผู้นั้น

สำหรับทหารธรรมดาแล้ว ความเร็วของอาวุธปราณนั้นรวดเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นในระยะใกล้ ๆ เช่นนี้ มีหรือที่ทหารผู้นั้นจะหลบหรือปัดป้องได้ ทำให้ดาบวาดผ่านคอของเขาอย่างรวดเร็ว

“ตุ่บ !”

การโจมตีครั้งนี้ได้ตัดศีรษะของทหาร พร้อมเสียง “ตุ่บ” ร่างของทหารล้มลงกับพื้น

เสี่ยวกุ่ยหันกลับมามองศพที่พื้นแล้วพูดออกมา “พยายามลอบสังหารข้าอย่างนั้นเหรอ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ!” ในขณะที่พูด เสี่ยวกุ่ยก็ได้เตะร่างที่ไร้หัวลงจากกำแพงเมืองไป

ดูเหมือนว่าในเวลาเดียวกันนั้น แม่ทัพคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ก็ได้ปล่อยพลังปราณออกมา ก่อนกลั่นให้มันก่อตัวเป็นเกราะปราณอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นเดียวกับอาวุธในมือที่กลายเป็นอาวุธปราณไปแล้ว !

แม่ทัพโดยรอบพร้อมใจกันยกอาวุธขึ้นมา เข้าโจมตีเจ้านายของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ

“อ๊ากกก !” ไม่ว่าเสี่ยวกุ่ยจะทรงพลังเพียงใด เขาก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีมากมายขนาดนี้ไหว ได้แต่กรีดร้องออกมาด้วยความกลัว พลางใช้ดาบปราณในมือปัดป้องการโจมตี ก่อนจะตะโกนด้วยแรงโทสะ “พวกเจ้าบ้าไปแล้วอย่างนั้นเหรอ !?

ไม่มีใครตอบคำถาม มีแต่การโจมตีที่ดูจะรุนแรงมากกว่าเดิม

ขณะที่เสี่ยวกุ่ยตกใจกลัวอย่างสุดขีด พวกทหารที่อยู่รอบ ๆ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง บางคนกอดต้นขาของเขา บางคนก็กอดเอวเขา ในขณะที่บางคนก็ย่องขึ้นไปด้านหลังเพื่อคว้าคอของเขา

“พวกเจ้าจะทำบ้าอะไร !?”

เสี่ยวกุ่ยปัดป่ายมือ พยายามดึงทหารที่อยู่ด้านหลังของเขาเหมือนกำลังจับลูกเจี๊ยบตัวน้อยโยนออกไป ทว่าในขณะที่เขากำลังผลักกลุ่มทหารออกไปอยู่นั้น ผู้คนจำนวนมากก็รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะถืออาวุธไปด้วย ก่อนที่พวกเขาจะใช้เพียงแขนและร่างกายเปล่า ๆ ของตัวเองเข้าจับตัวอดีตเจ้านายของตัวเองเอาไว้

เสี่ยวกุ่ยยังคงต่อต้านการโจมตีที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทว่าการโจมตีของทหารโดยรอบมันก็ได้กลับมาอีกครั้ง เป็นมีดปราณ ดาบปราณและหอกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนมาจากทุกทิศทาง

ด้วยจำนวนที่มากเกินไป เขาจึงสามารถสกัดกั้นพวกมันได้เพียงหนึ่งหรือสองเท่านั้น และนอกจากนี้ ร่างกายของเขาก็ยังถูกทหารมากมายกดทับไว้อีกด้วย ทำให้ขยับหลบหรือหนีไม่ได้

หอกปราณเจาะต้นขาอย่างจัง คนโดนแทงส่งเสียงอู้อี้ก่อนเกราะปราณจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เสี่ยวกุ่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง หากแต่ร่างกายของเขาก็ยังไม่สามารถขยับได้ และก่อนที่เขาจะได้ก้มศีรษะลงเพื่อดูบาดแผล ดาบปราณอีกเล่มก็ได้แทงเข้าที่ซี่โครง พร้อม ๆ กันกับมีดปราณที่เฉือนเข้าหลัง ก่อนตามมาด้วยอาวุธปราณอีกมากมายที่กระหน่ำเข้ามาราวกับสายฝน

เสียง “ฉึก ! ฉับ !” ดังไม่หยุดหย่อน พวกทหารแทงอาวุธในมือของพวกเขาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์

ในช่วงเวลานั้นร่างกายของเสี่ยวกุ่ยบาดเจ็บสาหัสนัก เกราะปราณของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเกราะป้องกันอีกต่อไปแล้ว พวกทหารธรรมดาก็พากันเข้าร่วมการทารุณครั้งนี้ด้วย พวกเขาพากันใช้หอกที่มีมากกว่าร้อยเล่มแทงเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายจนพรุนราวกับรังแตน

ช่วงเวลานี้ยาวนานราวกับผ่านไปนับร้อยปี ในที่สุดทุกคนก็หยุดมือและมองไปที่ร่างของเสี่ยวกุ่ย ที่ได้แปรสภาพกลายเป็นเศษชิ้นเลือดกระจัดกระจายเต็มพื้น

ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคิดช่วย หากแต่ไม่มีทางทำได้เลย เสี่ยวกุ่ยได้ปลุกปั่นความโกรธเกรี้ยวของคนหมู่มากขึ้นมา ทำให้พวกเขาถูกขวางไว้โดยพวกแม่ทัพนายกองและทหารโดยรอบ

ขณะนี้ฝูงชนได้แยกย้ายกันไป รองแม่ทัพและพวกองครักษ์ก็จึงได้เห็นเข้ากับชิ้นเนื้อเปื้อนเลือด ก่อนที่พวกเขาจะสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้า ? พวกเจ้า ?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกจากปาก ทหารที่กำลังเช็ดดาบของพวกเขาก็พากันหยุดนิ่งและหันมองกันเอง

รองแม่ทัพและทหารองครักษ์พลันกรีดร้องด้วยความกลัว ตั้งท่าจะเริ่มวิ่งหนี ทว่าก่อนที่จะทันได้วิ่ง พวกเขาก็ถูกกลุ่มทหารล้อมเอาไว้เสียก่อน… ซึ่งก็คงไม่ต้องเดาเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้