ยามท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เฉิงเจียวเหนียงก็ออกจากเรือนไท่ผิงไป รถม้าโคลงเคลงแล่นผ่านตลาด
“นายหญิง ดูเรือนนางฟ้าสิเจ้าคะ” สาวใช้ยกม่านขึ้นแล้วเอ่ยพลางหัวเราะแผ่วเบา
เฉิงเจียวเหนียงมองออกไป เรือนนางฟ้ายังคงสีสันสดใสดังเดิม ที่หน้าร้านมีบ่าวหลายคนคอยเรียกแขกอยู่
รถม้าเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามองเห็นอะไร” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สาวใช้หันกลับมามองนางแล้วยิ้ม
“ข้าเห็นว่าเพียงแค่ไม่กี่วันก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเมื่อก่อนแล้วเจ้าค่ะ” นางพูด
“แล้วมีอะไรอีก” เฉิงเจียวเหนียงถาม
สาวใช้เอียงหัวทำท่าครุ่นคิด
“แล้วก็ ต้องมีความเมตตา” นางหัวเราะพลางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว
“มีอะไรอีก” นางถาม
สาวใช้คิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัว
“มีอะไรอีกหรือเจ้าคะ” นางถาม
“มีสิ” เฉิงเจียวเหนียงมองออกไปข้างนอก แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ย่านที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง แต่ก็ถือว่าอยู่ในสามอันดับแรก บนสองฝั่งถนนมีโรงเหล้าและร้านอาหารมากมาย “ความยากลำบาก”
“ความยากลำบากหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างงงงวย
“ทำการสิ่งใด หากอยากทำให้ดี ต้องตั้งมั่น ต้องหนักแน่น มิใช่เรื่องง่าย ลำบากยิ่งนัก” เฉิงเจียวเหนียงพูด
ร้านอาหารของโต้วชีความนิยมลดลงอย่างฮวบฮาบภายในเวลาไม่กี่วัน เป็นเพราะเขานั้นโชคไม่ดี
ทั้งยังถูกคู่แข่งร้านอื่นรวมหัวกันกลั่นแกล้ง ยามอยู่ต่อหน้าเถ้าแก่เหล่านั้นมักจะหัวเราะพูดคุยดื่มเหล้ากันอย่างครื้นเครง แต่พอลับหลังกลับอิจฉาตาร้อน หากมีโอกาสกอบโกยเมื่อไหร่ คู่แข่งย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป
นี่มิใช่เรื่องของความดีหรือความชั่ว แต่ทว่าฟ้าดินไร้ปราณี หนทางอยู่รอดบนโลกนี้ช่างยากลำบากนัก
สาวใช้มองตามออกไปนอกรถโดยไม่รู้ตัว
ผู้คนมากมายพูดคุยหัวเราะกันบนท้องถนนด้านนอกรถ ร้านอาหารแห่งหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน ด้านหน้าร้านมีบ่าวสองสามคนคอยเรียกแขกอย่างแข็งขัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังมี
นางโลมสาวแต่งตัวสวยงามอีกสองคนกำลังถือกาเหล้าพร้อมกับส่งตาหวานและรอยยิ้มให้กับแขก
โลกนี้อยู่ช่างอยู่ยากนัก จะทำการสิ่งใดต้องระมัดระวังให้มาก
“นายหญิง ข้าเห็นแล้ว ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ” นางหันหน้ากลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงกลับมาถึงสะพานอวี้ไต้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ปั้นฉินก็ยกอาหารมาให้
“นายหญิง มีคนของตระกูลเผิงต้องการยาที่นายหญิงปรุงเจ้าค่ะ นายใหญ่ของเขาเคยรักษาด้วยหินแร่มาก่อน แล้วก็เป็นสหายของบัณฑิตถงด้วยเจ้าค่ะ” นางพูด
“แซ่เผิงหรือ” สาวใช้พูด “หรือว่าจะเป็นคนของตระกูลเผิงเยี่ยนอำมาตย์สามแผ่นดิน”
ปั้นฉินไม่ค่อยรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่
“หลายวันมานี้ที่ข้าออกไปสำรวจ ได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงตระกูลนี้เช่นกัน แม่นมสองคนนั้นเคยเล่าเรื่องซุบซิบขบขันบ้างเป็นครั้งคราว พวกนางเล่าว่านายใหญ่ของนางไปพบหมอหลวงหลี่ทุกวัน เพื่อให้เขาบอกว่าไม่รักษาให้ เพราะหมายจะได้สูตรยาเซียนของนายหญิง ข้าจึงคอยจับตาดูเป็นพิเศษ พอวันนี้ข้าเข้าไปถามซักไซ้ พวกนางพูดกะตุกตะกักถามว่าข้ามาจากตระกูลใด ข้าไม่ได้ปกปิดอะไรแล้วตอบไปตามตรง พวกนางก็ประหลาดใจไม่น้อย” นางพูด “ข้าพูดต่ออีกว่า นายหญิงย้ายออกมาพักฟื้น เลยยังไม่สามารถรักษาคนป่วยได้
จะปรุงยาฝึกฝนฝีมือยามว่างเท่านั้น แม่นมทั้งสองจึงถามข้าว่าปรุงยาอะไร ข้าตอบไปว่าข้าไม่รู้แล้วก็ไม่เข้าใจด้วย พวกนางจึงไม่ได้ถามต่อ จากนั้นก็รีบเดินหน้ายิ้มแป้นออกไป ข้าจึงคิดว่าพวกนางน่าจะมาที่บ้านเราเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ”
สาวใช้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตบมือ
“สามารถบังคับให้หมอหลวงหลี่พูดจาไร้มารยาทเช่นนี้ได้ ทั้งยังเป็นเพื่อนของบัณฑิตถงด้วยแล้ว
คงเป็นคนของตระกูลเผิงเยี่ยนอย่างแน่นอน” นางเอ่ยพลางหันกลับไปมองปั้นฉิน “คราวพี่ปั้นฉิน หาลูกค้าชั้นดีได้เชียวนะ”
แม้เผิงเยี่ยนจะจากโลกนี้ไปแล้ว และตำแหน่งของลูกหลานในราชสำนักอาจไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็ไม่ควรมองข้ามตระกูลใหญ่ที่ทุกคนต่างพูดถึง ฮ่องเต้อาจหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนนั่งบัลลังก์ แต่ตระกูลอันยิ่งใหญ่ร้อยปีไม่อาจล่มสลาย
ปั้นฉินยิ้มอย่างเขินอาย
“ข้า ข้าก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ได้ยินคนเขาพูดมาก็เท่านั้น” นางเอ่ย
หาลูกค้าใหม่ในเวลาอันสั้นโดยไม่ต้องประโคมข่าวเช่นนี้ พูดว่าง่ายก็ง่าย พูดว่ายากก็ยาก
“ปลามีหนทางของปลา กุ้งมีหนทางของกุ้ง สรรพสัตว์ล้วนแต่มีหนทางเป็นของตัวเอง” สาวใช้เอ่ยเสียงดัง
ปลาและกุ้งล้วนแต่มีหนทางของตน แม้แต่คำพูดจากปากสาวใช้ชั้นต่ำก็ยังมาฟังหูของคนเป็นนายได้อย่างรวดเร็ว
“จริงหรือ” ชายวัยกลางคนร่างท้วมตะโกนกล่าว เขาใช้มือยันโต๊ะไม้เตี้ยแล้วลุกยืนขึ้น แต่ไม่นานก็เกือบจะล้มลงเพราะอ่อนแรง
ฮูหยินและอนุภรรยาที่อยู่ข้างๆ กรูเข้าไปพยุง แต่กลับถูกชายผู้นั้นผลักออกไปอย่างหงุดหงิด
มือของเขายื่นไปคว้าขวดลายครามที่อยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว แต่ฮูหยินห้ามไว้ทัน
“นายท่าน ไม่ได้นะเจ้าคะ” ฮูหยินร้องห้ามไว้ “แม่นางเฉิงผู้นั้นไม่รับรักษา หากท่านกินยานี้ไปแล้วไม่หาย จะให้ทำอย่างไรเล่า”
ชายผู้นั้นดึงมือกลับอย่างหงุดหงิด
“สาวใช้ของแม่นางเฉิงเป็นคนพูดเอง ข้าก็ไปสืบถามมาแล้วด้วย แม้ตระกูลโจวจะมิได้พูดตรงๆ แต่บ่าวรับใช้เป็นคนหลุดปากมาเองว่าแม่นางเฉิงออกจากบ้านของตระกูลโจวตั้งแต่กลางดึกเมื่อหลายวันก่อนแล้ว” ผู้ดูแลบ้านที่คุกเข่ากลางห้องโถงปาดเหงื่อพูด “บ้านหลังนั้นพวกเราก็ไปมาแล้ว เป็นบ้านของอำมาตย์เฉิน
ข้าได้ถามไถ่จากคนของตระกูลเฉินแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้บอกคนนอก แต่ว่าได้ขายบ้านหลังนั้นให้กับแม่นางเฉิงแล้วจริงๆ ขอรับ”
“เช่นนั้นคงจริงอย่างที่เจ้าว่า! นายท่านเราไปกันเถอะ” ฮูหยินร้องตะโกนพลางตั้งท่าจะลุกยืนขึ้น
“ไปทำไม ข้ายังไม่ถึงฆาตสักหน่อย ไปก็เสียเที่ยว” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยความโมโห
“ยา” ฮูหยินพูด
“ว่าอย่างไรนะ” ชายผู้นั้นถาม
“สาวใช้นางนั้นพูดว่าแม้นายหญิงของนางจะไม่รักษาโรค แต่ก็ฝึกฝนปรุงยาอยู่” ฮูหยินพูด “พวกเราไม่ได้ขอให้นางช่วยรักษา แต่ขอได้นางช่วยปรุงยาให้เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
“สาวใช้บอกเพียงว่าฝึกปรุง แต่ไม่มาก” ผู้ดูแลบ้านกำชับ
“รีบไป! หากไปถึงช้าจะไม่มีเหลือถึงเรา”
ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น คราวนี้เขาลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงโดยไร้สิ่งยึดพยุง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่นอกประตู
“ไปเตรียมรถ เร็วเข้า”
ยามตกดึก ประตูเรือนของเฉิงเจียวเหนียงถูกเปิดออก แม่นมที่นั่งอยู่ตรงระเบียงรีบลุกขึ้น เฝ้ามอง
ฮูหยินของตนเดินออกมา
“ฮูหยินเผิง เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่เดินออกมาส่งพูด
“ส่งแค่นี้พอแล้ว” ฮูหยินเผิงเอ่ยอย่างรีบร้อนพลางกอดขวดลายครามใบเล็กไว้ในอกแน่น สีหน้าของนางทั้งประหลาดใจทั้งตื่นเต้น ราวกับว่าได้สมบัติล้ำค่าของโลกใบนี้
“ฮูหยิน อย่าลืมคำแนะนำของนายหญิงนะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กล้าลืมหรอก ไม่กล้าลืมหรอก” ฮูหยินเผิงเอ่ยขึ้นทันควัน
สาวใช้ยิ้มแล้วคำนับ โดยไม่ได้เดินไปส่ง
จินเกอร์ส่งฮูหยินเผิงจนถึงหน้าประตู ก่อนจะเปิดประตูอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ราวกับตนเป็นขโมย ในยามค่ำคืนโคมไฟหน้าประตูส่องแสงสลัว
แม่นมก้าวออกไปก่อนแล้วเรียกรถม้าไร้ตราสัญลักษณที่รออยู่ตรงหัวมุม
แม่นมทั้งสองรีบประคองฮูหยินเผิงขึ้นรถ จากนั้นก็เร่งให้ออกรถไปทั้งที่ยังไม่ทันได้นั่งลงด้วยซ้ำ
รถม้าออกตัวอย่างกะทันหันจนฮูหยินเผิงที่อยู่ภายในหงายหลัง แม่นมตกใจรีบเข้าไปพยุงไว้
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ฮูหยินเผิงกลับสนใจแต่ขวดลายครามในอ้อมแขน นางลูบไล้ไปมาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “นี่คือชีวิตของนายท่าน”
แม่นมมองไปที่ขวดลายครามแล้วถอนหายใจ
ค่ำคืนนี้พวกนางทำตัวเหมือนกันขโมยขโจรไม่ปาน…
“ฮูหยินเจ้าคะ เสียเงินซื้อไปตั้งมาก แล้วยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกหรือเจ้าคะ…” แม่นมนางหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“อย่างเจ้ารู้อะไร” ฮูหยินเผิงเอ็ดในทันใด “แม่นางเฉิงยังไม่หายป่วย จะป่าวประกาศไปทั่วได้อย่างไร หากคนอื่นรู้เข้าจะให้ทำอย่างไรเล่า”
“แล้วต้องทำเช่นไรหรือเจ้าคะ” แม่นมถามด้วยความงุนงง
“เจ้านี่มันช่างไม่รู้ความเสียจริง” บัดนี้ฮูหยินเผิงสมความปรารถนาแล้ว จึงสบายใจไปเปราะหนึ่ง
นางอารมณ์ดียิ่งนัก จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “พวกเจ้าลองคิดดูว่าเหตุใดนางถึงไม่อยากให้คนอื่นรู้”
ยาขวดเล็กนี้ ราคาสูงถึงห้าพันก้วน ห้าพันก้วนเชียวนะ!
นี่เรียกว่าขายยาหรือ นี่มันเรียกว่าผลิตเงินเองต่างหาก! หลอมทองแดงยังไม่เร็วเช่นนี้เลย
เหตุใดถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ กลัวว่าเงินจะหลั่งไหลเข้ามามากเกินไปหรือ
“ไม่ได้ฟังที่สาวใช้พูดหรือ ตอนนี้แม่นางเฉิงยังป่วยอยู่ ยาเหล่านี้ต้องใช้เวลานานในการปรุง หากป่าวประกาศออกไป แล้วทุกคนมาขอยา แม่นางเฉิงจะรับมืออย่างไร” ฮูหยินเผิงพูด “แม่นางเฉิงใจพระ เห็นคนถึงฆาตคงไม่อาจดูดาย นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดนางถึงออกจากบ้านตระกูลโจวมารักษาตัวเพียงลำพัง”
เหล่าแม่นมเพิ่งจะเข้าใจ
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย” พวกนางเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ฮูหยินเผิงมิได้พูดถึง นางยื่นมือไปลูบขวดลายครามในอ้อมแขนด้วยความพึงพอใจ
ยาที่แม่นางเฉิงปรุงขึ้นมานั้นมีจำกัด ตระกูลเผิงโชคดีที่แย่งมาได้หนึ่งขวด ยาน้อยเพียงนี้ย่อมมีวันจะหมดไป หากคนอื่นรู้เข้า ครั้งหน้าแม่นางเฉิงปรุงเสร็จ ก็อาจแย่งไม่ได้เหมือนครั้งนี้
หากไม่แพร่งพรายออกไป ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงตระกูลเผิงของนางเท่านั้นที่รู้ เช่นนี้ ดีแท้ ดีแท้
……………………………………………….