ตอนที่ 212 ปลอมตัวแทรกซึม!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลิงหลานชะงักเท้า โบกมือขวาหนึ่งครั้ง นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็พุ่งไปด้านข้างด้วยความเงียบเชียบอย่างยิ่ง จากนั้นพวกเขาก็แนบชิดกับกำแพงทางเดิน ถึงแม้ว่าทีมของเกาจิ้นอวิ๋นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าไปหนึ่งจังหวะ แต่พวกเขาก็ไม่เกิดความสับสนวุ่นวาย เพียงแต่การเคลื่อนไหวพุ่งตัวหลบของสมาชิกบางคนไม่ได้งดงามเหมือนคนที่มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ มันดูน่าเกลียดนิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด

เกาจิ้นอวิ๋นหน้าร้อนผ่าว รู้สึกอับอายขายขี้หน้าไม่หยุดต่อการเปรียบเทียบที่แสดงความสูงต่ำทันทีนี้ เขาลอบตัดสินใจว่า หลังจากที่เข้าเรียนแล้วจะต้องฝึกฝนลูกทีมของเขาให้ดี คราวหน้าพวกเขาจะได้ไม่เสียหน้าต่อหน้าหลิงหลานอีก

หลิงหลานส่งสัญญาณให้พวกนักเรียนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ส่วนเธอก็พุ่งกายด้วยความปราดเปรียวทีหนึ่งก็มาถึงหน้าประตูห้องควบคุมหลัก หน้าประตูถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ต้องการรหัสผ่านในการเข้าออก

“เสี่ยวซื่อ ยืนยันคนที่อยู่ด้านในว่ามีกี่คน?” หลิงหลานถามเสี่ยวซื่อเงียบๆ

“มีเจ้าหน้าที่อยู่ห้าสิบสามคน แล้วก็มีหน่วยคุ้มกันสิบคน” เสี่ยวซื่อแสดงฉากภายในห้องควบคุมหลักขึ้นในห้วงสติของหลิงหลานตามความเป็นจริง

“จำนวนคนของอีกฝ่ายเหนือกว่า ถ้าดึงดันเข้าไปอาจจะควบคุมไม่อยู่ มีความเป็นได้สูงว่าจะโดนฝ่ายตรงข้ามส่งข่าวออกไป” หลิงหลานขมวดคิ้วขึ้นเมื่อพบว่าสถานการณ์อยู่เหนือความคาดหมายนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าช่วงเวลาทานอาหาร เจ้าหน้าที่ด้านในจะน้อยลงไปบ้าง ไม่นึกเลยว่าจะไม่ได้ลดลงเท่าไหร่เลย

“ลูกพี่ ฉันสามารถล็อกอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขาได้ในพริบตานะ!” เสี่ยวซื่อตื่นเต้น นี่เป็นช่วงเวลาแสดงอำนาจอันน่าเกรงขามของเขาแล้ว และก็เป็นเวลาให้ลูกพี่รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของเขาเหมือนกัน

“อาวุธล่ะ?” หลิงหลานเหลือบมองเสี่ยวซื่อที่ลำพองใจด้วยสายตาเย็นเยียบ ข่มความหยิ่งยโสที่อวดดีของอีกฝ่ายลงทันที เจ้าหน้าที่ด้านในต่างพกปืนพกเลเซอร์เอาไว้กับตัว ถ้าพวกเขาพุ่งเข้าไป ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสชักปืนยิง พวกเขาบางคนที่โชคไม่ดีจะตายอยู่ตรงนี้ก็เป็นได้

หลิงหลานไม่เชื่อว่าคนด้านในยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเยือกเย็นเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาไม่ระดมยิงห่ากระสุนมาก็ไม่เลวมากๆ แล้ว ถ้าหากเธอสูญเสียเพื่อนร่วมชั้นตรงนี้ไปสักคน ในใจเธอย่อมทุกข์ทรมานจากความละอายใจแน่นอน

เสี่ยวซื่อถูกหลิงหลานโจมตีใส่อย่างล้ำลึก ได้แต่กลับไปนั่งยองๆ วาดรูปวงกลมทบทวนตัวเอง….

‘ต้องใช้การจู่โจมทางจิตในขอบเขตขนาดใหญ่เหรอ?’ หลิงหลานลอบใคร่ครวญกับตัวเอง ความจริงแล้วเธอมีวิธีการอยู่ เธอสัมผัสได้ว่าคนด้านในไม่ใช่ผู้ปลุกพรสวรรค์ทางจิต ดังนั้นการจู่โจมทางจิตของเธอสามารถจัดการคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในใจหลิงหลานมีความวิตกกังวลอยู่อย่างหนึ่ง เนื่องจากหลิงเซียวกับมู่สุ่ยชิงไม่อยากให้คนอื่นล่วงรู้ความสามารถนี้ของเธอ พวกเขาต่อสู้ในสนามรบมาเป็นเวลานานรู้ความสำคัญของการเก็บไพ่ตายไว้ นั่นเป็นท่าไม้ตายเอาชีวิตรอดที่สามารถช่วยชีวิตในช่วงเวลาสำคัญได้

หลิงหลานลอบเห็นด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าไพ่ตายของเธอจะไม่ได้มีแค่การจู่โจมทางจิต แต่ไม่มีใครรังเกียจที่ตัวเองมีไพ่ตายเยอะหรอกนะ ดังนั้นหลิงหลานจึงพยักหน้ารับปาก

หลิงหลานไม่ใช่คนที่ชอบผิดคำพูด ในเมื่อรับปากคุณพ่อกับอาจารย์ไว้แล้วว่าจะไม่ใช้การจู่โจมทางจิตถ้าหากไม่ถึงช่วงเวลาความเป็นความตาย หลิงหลานก็ต้องทำให้ได้ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทิ้งแผนนี้ไปอย่างเด็ดขาดแล้วคิดหาวิธีอื่น

หลิงหลานเริ่มขบคิดว่ามีของอะไรที่สามารถช่วยปฏิบัติการของพวกเขาได้บ้าง ทันใดนั้นหลิงหลานก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เธอนึกถึงพวกเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยที่โดนพวกเขาจัดการ พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องแบบกับอาวุธของคนเหล่านั้นได้ใช่หรือเปล่านะ?

หลิงหลานกลับไปที่ข้างกายหานจี้จวินทันทีและบอกแผนการของเธอออกมาอย่างเงียบเชียบ หานจี้จวินคิดว่าแผนการนี้ยอดเยี่ยมมาก หัวหน้าทีมหลายคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็ผงกศีรษะเห็นด้วยเช่นเดียวกัน ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามลังเลชักช้านิดเดียวก็เป็นโอกาสของพวกเขาแล้ว

ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีคนมาก แต่พลังต่อสู้ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้แข็งแกร่ง ขอเพียงคนเหล่านั้นไม่มีโอกาสชักปืนออกมาระดมยิง พวกเขาย่อมควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ โอกาสชนะของพวกเขายังคงสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย

ลูกเสือวัยเยาว์ที่มีความกล้าหาญต่างก็กล้าเสี่ยงอันตราย ทุกคนต่างคิดว่าคุ้มค่าให้เดิมพัน

ดังนั้นหลิงหลานจึงพาคนกลับมายังห้องที่คุมขังลูกเรือคุ้มกันเอาไว้ หลิงหลานให้เสี่ยวซื่อตรวจสอบว่าด้านในมีคนที่ฟื้นแล้วหรือเปล่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าไป หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีถึงค่อยเปิดประตูห้อง ทุกคนพุ่งเข้าไปด้วยกันก่อนจะถอดชุดเครื่องแบบและอาวุธของลูกเรือคุ้มกันทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวซื่อฉวยโอกาสนี้ตรวจสอบภายในยานบินรอบหนึ่งแล้วพบว่าทีมของที่นี่ใช้สิบคนตั้งเป็นหนึ่งกลุ่ม ดูท่าแบบนี้คนกลุ่มแรกที่เข้าไปในห้องควบคุมหลักไม่ควรเกินสิบคน

หลิงหลานได้ยินคำรายงานของเสี่ยวซื่อ ในใจก็ยิ่งรู้สึกแน่ใจว่านี่ต้องเป็นยานบินของทหารที่ปลอมตัวมาแน่นอน เนื่องจากการจัดการโดยใช้สิบคนเป็นหน่วยปฏิบัติการก็คือหน่วยปฏิบัติการที่เล็กที่สุดในกองทัพทางการของสหพันธรัฐ (ยกเว้นหน่วยหุ่นรบ)

ภายในห้อง ทุกคนสวมชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอายุแค่สิบหก แต่ว่ารูปร่างแตกต่างจากผู้ใหญ่นิดเดียว มองไปแทบจะไม่มีพิรุธอะไรเลย

มีเพียงหลิงหลานที่สวมแล้วก็ถอดออก เนื่องจากหลิงหลานไม่ได้มีรูปร่างกำยำอย่างผู้ชาย กล้ามเนื้อของเธอเป็นแนวเรียวเนียนนุ่มงดงาม ดูไม่ออกเลยว่าเธอเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ในตอนที่เธอไม่ได้ใช้ปราณหรือไม่ได้ทำการต่อสู้ ทั่วทั้งร่างของเธอเปราะบางกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่บ้าง ชุดเครื่องแบบเหล่านี้ดูใหญ่อย่างชัดเจน สวมไม่พอดีตัวเลย

ทุกคนต่างคิดว่าหลิงหลานไม่สวมยังจะดีเสียกว่า เพราะว่าเธอสวมแล้วทำให้คนปรายตามองแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นการปลอมตัว อำพรางตัวไปก็ไม่มีความหมายแล้ว

หลิงหลานยิ้มขื่น ความแตกต่างของเพศสภาพยังคงปรากฏออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม หลิงหลานสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วอีกครั้ง เพราะว่าในกลุ่มเธอยังมีลั่วล่างซึ่งเป็นผู้ชายที่ดูอ่อนแอเปราะบางยิ่งกว่าเธออีก…เมื่อคิดแบบนี้ เธอก็ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจทันที

หลิงหลาน เธอไม่รู้สึกว่าความคิดของเธอมีปัญหาเหรอ? เธอเป็นผู้หญิง ส่วนลั่วล่างเป็นผู้ชายนะ…

หลิงหลาน หานจี้จวินรวมถึงหัวหน้าทีมสายกลยุทธ์หลายคนปรึกษาแผนปฏิบัติการหลายอย่างภายในห้องลับนี้เพื่อรับประกันความปลอดภัย เกาจิ้นอวิ๋นได้แสดงความสามารถโดดเด่นขึ้นมาในหมู่พวกเขา เขาให้ความเป็นไปได้มากมายที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เข้าไปในห้องควบคุมหลักรวมทั้งแผนการรับมือตอบโต้ นี่ทำให้หัวหน้าทีมคนอื่นๆ ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมองเขาดีขึ้นหลายส่วน

นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือต่างก็เป็นบุคคลที่หยิ่งทระนง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสถาบันแห่งอื่นๆ จะมีคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าพวกเขาอยู่ ดังนั้นตอนแรกที่เกาจิ้นอวิ๋นเข้าร่วมกลุ่ม พวกเขาจึงไม่เห็นด้วย ท่าทีดูเย็นชามากอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เพราะทีมเกาจิ้นอวิ๋นทำผลงานที่ยังถือว่ายอมรับได้ตลอดทางที่ผ่านมา เกรงว่าพวกเขาอาจจะเผยสีหน้าดูถูกออกมาแล้ว

ทว่าคราวนี้แผนการที่เกาจิ้นอวิ๋นเสนอออกมามากมายคือสิ่งที่พวกเขานึกไม่ถึง นี่ทำให้พวกเขารู้ว่าเกาจิ้นอวิ๋นคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย การดูแคลนในตอนแรกค่อยๆ หายไป พวกเขาเริ่มปฏิบัติต่อเกาจิ้นอวิ๋นอย่างที่ปฏิบัติต่อเพื่อนในระดับเดียวกัน

หลิงหลานกับหานจี้จวินสบตากันแวบหนึ่งในตอนที่ไม่มีคนสนใจ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ความหมายในนั้นดี

ท้ายที่สุดหัวหน้าทีมแต่ละคนก็ได้รับหน้าที่ของตัวเองก่อนจะกลับเข้าไปในทีมของแต่ละคน เมื่อเกาจิ้นอวิ๋นกลับมา ลูกทีมหลายคนลอบยกนิ้วโป้งให้เขา บ่งบอกถึงความนับถือต่อหัวหน้าทีมอย่างยิ่ง ต่อให้เกาจิ้นอวิ๋นเยือกเย็นอีกสักแค่ไหน เวลานี้มุมปากของเขาก็อดโค้งขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน…

เกาจิ้นอวิ๋นอยากจะพูดถ่อมตัวสักหลายประโยค บอกว่าเป็นเพราะแรงบันดาลใจจากคนอื่นๆ ถึงทำให้เขานึกถึงเรื่องเหล่านี้ออก…เขาเพิ่งจะอ้าปากอยากจะพูดออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป อารมณ์เบิกบานแต่เดิมหายไปแล้ว เขามองไปยังหานจี้จวินที่กำลังแก้ไขแผนการสุดท้ายกับหลิงหลานด้วยสีหน้าซับซ้อน เมื่อสักครู่นี้เขาตระหนักได้ว่าพวกความคิดเห็นและแผนการของเขาต่างคิดออกภายใต้การชี้นำอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจของอีกฝ่าย พูดอีกอย่างก็คือเขาถูกอีกฝ่ายชักใยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“เชี่ย คนพวกนี้คือใครกันแน่?” เกาจิ้นอวิ๋นที่เดิมทีเชื่อมั่นในมันสมองของตัวเองถูกโจมตีใส่อีกครั้ง หรือว่าข้างกายปีศาจอัจฉริยะต่างก็เป็นปีศาจอัจฉริยะเหรอ? แต่เกาจิ้นอวิ๋นไม่ใช่คนที่ไม่รู้ดีชั่ว เห็นได้ชัดว่าวิธีการของอีกฝ่ายอยากให้เขาประสานกลมกลืนเข้าไปในกลุ่มพวกเขาได้…

สมาชิกทีมที่เข้าไปในห้องควบคุมหลักกลุ่มแรกถูกเลือกออกมา พวกเขาเป็นนักเรียนลูกเสือที่แข็งแกร่งที่สุดสิบคนยกเว้นหลิงหลาน ส่วนหลินจงชิงก็ปลอมตัวเป็นหัวหน้าของทีมคุ้มกันนี้

หลิงหลานพาทุกคนกลับไปยังหน้าประตูห้องควบคุมหลักอย่างรวดเร็ว หลิงหลานลงมือทันทีเพื่อประหยัดเวลา เธอให้เสี่ยวซื่อถอดรหัสของประตูบานนี้ออกมา

แน่นอนว่าในสายตาของทุกคน หลิงหลานเป็นคนทำทุกสิ่งทุกอย่างนี้ พวกเขาเห็นว่าลูกพี่หลานของพวกเขายืนจ้องมองอยู่หน้าประตูหนึ่งวินาที หลังจากนั้นก็สะบัดนิ้วมืออย่างเร็วไว ทิ้งภาพติดตาเป็นสายๆ ไว้บนจอสัมผัสของหน้าประตู ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักลงก่อนจะให้รหัสผ่านออกมาอย่างเยือกเย็น….

พวกเขาอุทานอย่างตื่นตะลึงในความยอดเยี่ยมของลูกพี่หลานอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานที่มีความสามารถแข็งแกร่งจะมีความสามารถโดดเด่นในด้านการถอดรหัสเช่นกัน พวกเขาถึงกับมีข้อสงสัยหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ นั่นก็คือยังมีอะไรที่หลิงหลานทำไม่ได้บ้าง?

หลินจงชิงที่ปลอมตัวเป็นหัวหน้าทีมสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปลอบประโลมหัวใจที่เต้นกระหน่ำของตัวเองลง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาในการแสดงความสามารถของเขา เขาจะต้องทำภารกิจที่ลูกพี่หลานมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์แบบให้ได้ ทำให้ลูกพี่หลานเห็นว่าเขาเป็นสมาชิกทีมที่คุ้มค่าให้ไว้ใจแน่นอน

ในเมื่อหลิงหลานยื่นมือช่วยเหลือในตอนที่เขาตกที่นั่งลำบากมากที่สุด ถึงหลิงหลานจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเข้าร่วมทีมโดยที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังเลือกให้เกียรติเขา ให้โอกาสเขาแข็งแกร่งขึ้น หลินจงชิงก็รู้ว่าหลิงหลานคือหัวหน้าที่เขาจะติดตามไปชั่วชีวิต….

แววตาของหลินจงชิงเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวขึ้นในพริบตา นับตั้งแต่ที่เขาเข้าทีมหลิงหลาน เขาก็ทำการเตรียมพร้อมสำหรับวันนี้มาโดยตลอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขายังต้องตื่นเต้นทำไมอีกล่ะ? บางทีการโน้มน้าวตัวเองอาจจะได้ผล อารมณ์ที่เดิมทีเคร่งเครียดได้หายไปแล้ว ทั่วทั้งร่างของเขาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นสงบนิ่ง

เขายื่นมือขวาออกไป นิ้วมือกรอกรหัสชุดนั้นลงบนหน้าจออย่างมั่นคงแล้วก็ได้ยินประตูส่งเสียงแกรกขึ้นทันใด หลังจากนั้นมันก็เลื่อนไปทางด้านซ้ายอัตโนมัติ เผยความกว้างออกมาประมาณหนึ่งจุดห้าเมตร

คนด้านในได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองตามจิตใต้สำนึกก่อนจะพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยของยานบิน พวกเขาค่อยวางใจก้มหน้าลงทำงานของตัวเอง มีเพียงผู้คุ้มกันที่อยู่ใกล้หน้าประตูเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เอ๋? พวกนายเข้ามาทำไม? หรือว่าข้างนอกมีเรื่องเกิดขึ้น?”

หลินจงชิงตอบกลับอย่างเยือกเย็นว่า “ใช่ครับ! พวกเรามาเพื่อรายงานครับ”

ผู้คุ้มกันต่อสายผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือโดยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิดเดียวแล้วตะโกนเสียงดังว่า “หัวหน้าครับ หัวหน้าทีมคุ้มกันความปลอดภัยคนหนึ่งบอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นด้านนอกเลยมารายงานให้คุณครับ”

“ให้เขาเข้ามาคนเดียว!” เสียงหยาบกระด้างดังมาจากฝั่งตรงข้ามของอุปกรณ์สื่อสาร

“ครับ หัวหน้า!” ผู้คุ้มกันวางสายอุปกรณ์สื่อสารแล้วก็ชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าวว่า “หัวหน้าอยู่ตรงนั้น นายเข้าไปเถอะ”

“ขอบคุณครับ!” หลินจงชิงกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ ทว่าในใจกลับร้อง ‘YES’ ให้ตัวเองอย่างชั่วร้าย ไม่นึกเลยว่าภายในห้องควบคุมหลักของยานบินจะหละหลวมขนาดนี้ ไม่ยืนยันสถานะให้แน่ชัดก็ปล่อยเขาเข้าไปแล้ว

เขาทอดสายตาไปให้เหล่าสมาชิกทีมที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เดินตรงไปยังทิศทางที่ผู้คุ้มกันชี้อย่างฉับไว หลินจงชิงรู้ดีว่าตอนนี้ต้องฉกฉวยเวลาทุกวินาที เสียเวลาไปหนึ่งวินาทีก็เพิ่มความเป็นไปได้ที่จะถูกเปิดโปงหนึ่งส่วน