ตอนที่ 122 หงซิ่วจาว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 122 หงซิ่วจาว

ค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ถนนสายยาวครึกครื้นมีชีวิตชีวา แม่น้ำฉินหวายมีหมอกลงบาง ๆ สายลมพัดคลื่นไอเย็นเข้ามาที่ใบ้หน้าเป็นระลอก

พวกเขาทั้งห้าคนล่องเรือลำเล็กเพื่อขึ้นไปยังหงซิ่วจาวเสียงเพลงบรรเลงไพเราะ กลิ่นสุราหอมหวนเย้ายวนใจ

เมื่อพวกเขาก้าวข้ามบันไดเรือ ก็มีสาวงามเดินมาต้อนรับพวกเขาและเอ่ยว่า “คุณชายและคุณหนูจะไปที่ชั้นไหนคะ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจ เขาหันไปมองหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน

หยูเวิ่นหวินตอบว่า “ชั้นสาม”

สตรีนางนั้นยื่นมือออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอเชิญพวกท่านตามเสี่ยวชุ่ยมาด้านนี้เถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นว่า “ที่แห่งนี้มีอะไรพิเศษหรือ ?”

“ที่ชั้นหนึ่งโดยส่วนมากจะมาดื่มสุราและชมการแสดง แต่มิใช่เสวี่ยเฟยเฟยและหลิ่วเยียนเอ๋อร์ ชั้นสองนั้นไม่มีห้องกั้น เป็นสถานที่ดื่มสุราชิมชาและพูดคุยกัน ส่วนชั้นสามนั้นเป็นชั้นที่ดีที่สุดในหงซิ่วจาว หากต้องการดูเสวี่ยเฟยเฟยร้องระบำก็จะต้องมายังชั้นนี้ ได้ยินมาว่าผู้ที่มาใหม่ นามหลิ่วเยียนเอ๋อร์มีความสามารถทั้งร่ายรำและฟันดาบ ในเมื่อเดินทางมาแล้วก็ควรขึ้นไปดูสักหน่อย” หยูเวิ่นหวินเอ่ยแนะนำ

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจ และเอ่ยถามต่อว่า “เช่นนั้นที่ชั้นสามมีอาหารกินหรือไม่ ? ”

“แน่นอน ! นี่เป็นรายได้ส่วนมากของหงซิ่วจาวทีเดียว”

ถ้าเช่นนั้นก็ดี เขาเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว

เมื่อขึ้นไปยังชั้นสาม สตรีนางนั้นนำมือปัดม่านลูกปัดให้เป็นทาง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปด้านใน พวกเขาพบว่ามีหลายคนที่รู้จักนั่งอยู่ด้วย

เยี่ยนซีเหวิน เยี่ยนเสี่ยวโหลว ฟางเหวินซิง โจวเทียนโย่วและอันลิ่วเย่

บรรดาเยี่ยนซีเหวินก็มองมายังพวกเขาเช่นกัน  ทั้งสองฝ่ายต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะเจอกันที่นี่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนซีเหวิน เมื่อเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็มองไปยังต่งชูหลาน ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าชายที่ต่งชูหลานชอบพอนั้นคือฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ

จากนั้นเมื่อเขามองไปยังหยูเวิ่นหวินแล้วก็มีท่าทีตกใจ เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้มากับพวกเขาเหล่านี้กัน

ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นถวายบังคมองค์หญิงเก้า หยูเวิ่นหวินก็โบกมือห้าม

พวกเยี่ยนซีเหวินรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง !

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่มีท่าทีใด ๆ เขาโบกไม้โบกมือทักทายเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ อย่างเป็นมิตร อีกทั้งยังถามขึ้นว่า “พวกเจ้ากินอะไรแล้วหรือยัง ? ”

เยี่ยนซีเหวินนึกในใจว่า พวกเขามาดื่มสุราและฟังเพลงที่นี่ แน่นอนว่าต้องกินแล้ว นี่มันมิใช่คำถามไร้สาระหรือ

เขาพยักหน้า ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มและเอ่ยต่อไปว่า “พวกเรายังมิได้กิน หรือว่า…พวกเรากินร่วมกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”

เยี่ยนซีเหวินไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตนมีต่อฟู่เสี่ยวกวนเท่าใดนัก เขาชื่นชมในความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็โกรธเคืองที่แย่งแม่นางต่งชูหลานไปจากเขา เขาชื่นชมการปฏิบัติตนของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ช่างเกลียดใบหน้าอันหยิ่งผยองของเขาเสียเหลือเกิน

บัดนี้ที่เขามองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่เสี่ยวกวนยิ่งทำให้ไม่พอใจ แต่ก็ยังคงโค้งรับและเอ่ยตามมารยาทว่า “พวกเรากินเรียบร้อยแล้ว พวกท่านเชิญตามสบาย”

“ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจละนะ” ทั้งห้าคนนั่งลงและเอ่ยว่า “เอาอาหารแนะนำของที่นี่สิบอย่าง สุราสองชั่ง ข้าวสวยมากหน่อย”

สตรีผู้นั้นกล่าวว่า “คุณชายเจ้าคะ ไม่มีข้าวสวย”

“เอ่อ……เช่นนั้นเอาเส้นหมี่สักสองเหลี่ยง ? ”

“ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีเส้นหมี่”

ฟู่เสี่ยวกวนงุนงง เขาเอ่ยถามไปว่า “ถ้าเช่นนั้นมีอะไรที่ทำให้กินแล้วอิ่มท้องได้บ้าง ?”

“บัวลอยข้าวเหนียวใส่ไข่”

“ตกลง เอามาคนละหนึ่งชาม”

จางเหวินฮั่นมองดูฟู่เสี่ยวกวน ในใจนึกไปว่าเขาช่างไม่รู้จักมารยาทเสียจริง จังหวะพอดีที่ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น พบว่าจางเหวินฮั่นมองตนอยู่ จึงรีบเอ่ยถามขึ้นมาว่า “รับสักชามไหม ?”

จะบ้าหรือไร !

จางเหวินฮั่นหันหน้าหลบสายเขาและโบกมือว่า “ขอบคุณ”

จางเหวินฮั่นรู้ว่าฝ่าบาททรงมองตำแหน่งจิ้นซื่อแก่ฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูด้วย ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน

เขาเคยเป็นคุณชายที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ ไม่มีความรู้ความสามารถใด ๆ แม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยเห็นเขาในสายตา แต่ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น เขาได้เปลี่ยนแปลงตนไปเหมือนคนละคน กระทั่งฝ่าบาทยังทรงชื่นชอบเขา สิ่งนี้ทำให้จางเหวินฮั่นมิอาจจะรับได้ !

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสิ่งใดกันแน่ ?

จางเหวินฮั่นได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าเพราะเหตุใด เหตุใดเขามิต้องเข้าสอบคัดเลือกก็สามารถเป็นจิ้นซื่อได้ ?

เหตุใดเขาจึงได้รับความรักจากแม่นางต่งชูหลาน ?

เหตุใดฝ่าบาทจึงได้มอบตำแหน่งทางราชการให้แก่เขา ?

สิ่งที่ตนพยายามอย่างยิ่งมาทั้งชีวิต เหตุใดเขาจึงได้มาอย่างง่ายดาย ?

โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !

ในวันรุ่งขึ้น เขาจะต้องเดินทางกลับหลินเจียงเพื่อรอสำนักพระราชวังหลวงเรียกตัว ซึ่งมิอาจคาดเดาได้ว่าต้องรออีกกี่ปี

ในวันรุ่งขึ้น เยี่ยนซีเหวินก็จะเดินทางไปหลินเจียงเช่นกัน เขาต้องไปรับผิดชอบหน้าที่ที่อำเภอเหยา

ในค่ำคืนนี้พวกเขามาเพื่ออำลาเยี่ยนซีเหวิน คาดไม่ถึงว่าจะพบกับฟู่เสี่ยวกวน

เขาสัมผัสได้ว่าการพบปะกับฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เรื่องดี คนผู้นั้นเปรียบเสมือนความโชคร้าย หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ขึ้นก็เพียงพอ

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้คิดใด ๆ เพียงประหลาดใจที่ว่าจะมีผู้ขับร้องบรรเลงมิใช่หรือ ? นักร้องเล่า ?

อาหารและสุรานำมาวางไว้เรียบร้อย ทั้งห้าคนก็เริ่มลงมือรับประทาน

ผู้คนยังขึ้นมามิขาดสายกระทั่งที่นั่งในชั้นสามเต็ม แต่ทุกคนล้วนพูดคุยกันเสียงเบา ทุกคนล้วนมีมารยาทในที่สาธารณะ สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจยิ่ง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวแอบมองฟู่เสี่ยวกวนบ้างเป็นครั้งครา นางแปลกใจในสิ่งที่เคยเอ่ยถามพี่ชายไป และเยี่ยนซีเหวินตอบว่าอย่าได้ไปอยากรู้เรื่องราวของเขา…แต่ก็มิได้อธิบายอันใดเพิ่มเติม !

แต่นางก็ยังแปลกใจมิคลาย นางสงสัยนักว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนอายุน้อยเพียงนี้สามารถเขียนหนังสือความฝันในหอแดงได้ ?

เนื้อหาในหนังสือกล่าวว่า ณ จวนเจี่ยได้มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เมื่อนึกคิดดูก็แฝงไปด้วยความรู้และแนวทางในการปฏิบัติตน

ฟู่เสี่ยวกวนอายุได้เพียง 17 ปี แต่กลับมีความรู้ราวอายุ 70 ปี เขารับรู้ได้เกี่ยวกับความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของมนุษย์ แม้แต่ท่านปู่เองก็ยังต้องยอมรับ

เดิมทีนางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นหลงใหลในการเรียน แต่คาดไม่ถึงว่านโยบายการบรรเทาสาธารณภัยนั้นเขาจะเป็นผู้ร่างมันขึ้นมา เมื่อท่านปู่กลับมากล่าวและอธิบายให้นางฟัง นางจึงได้เข้าใจและยกย่องความคิดนั้น

ท่านปู่ยังกล่าวว่าเขาเขียนนโยบายเกี่ยวกับสงคราม แม้ว่านโยบายนี้มิได้หยิบนำมาใช้ แต่ท่านปู่กลับให้ท่านลุงเยี่ยนซือเต้าคัดลอกไว้ฉบับหนึ่งและส่งไปให้เยี่ยนฮ้าวชูผู้เป็นพ่อ และแนะนำให้ลองปฏิบัติตาม

มองดูแล้วแนวความคิดของเขาน่าจะเกิดประโยชน์

เขามีความรู้ทั้งด้านวรรณกรรมและการทหาร เขาผู้นี้เก่งกาจจริงอย่างนั้นหรือ ?

ในขณะที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หงซิ่วจาวก็ได้เปิดม่านออก

เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองก็พบว่ามีสตรีนางหนึ่งในมือถือพิณเดินออกมาอย่างช้าๆ

สตรีนางนี้หน้าตารูปร่างไม่เลวทีเดียว นี่คือความรู้สึกที่ฟู่เสี่ยวกวนมีต่อเสวี่ยเฟยเฟยหลังจากพบกันครั้งแรก

หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยต่อไป ก็เพียงแค่หน้าตาดูดี แน่นอนว่าเทียบมิได้กับแม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน ดังนั้นเขาจึงมิได้ใส่ใจนัก

หากแต่แม่นางเสวี่ยเฟยเฟย เมื่อมองออกไปพบว่าผู้คนล้วนถูกเสียงเพลงของนางดึงดูด เอ๋ ! เหตุใดยังมีคุณชายท่านหนึ่งก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่กัน !

เหตุการณ์เช่นนี้มีไม่บ่อยนัก ผู้ที่ขึ้นมายังชั้นสามมักจ่ายเงินจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อมาชมการแสดงของตน แต่คุณชายท่านนี้กลับแตกต่าง !

ดังนั้นนางจึงได้เริ่มบรรเลงบทเพลงทำนองแห่งสายน้ำขึ้น