ตอนที่ 183 เทพฉิน ทางนี้!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ระดับมือสมัครเล่น ไต้ซือ ปรมาจารย์ จักรพรรดิ เกมนี้ไม่เหมือนเกมอื่น

 

 

ไม่ว่าจะทีมห้าคนหรือดูโอ ทีมที่มีฝีมือและเข้ากันได้ดีไต่ขึ้นระดับจักรพรรดิได้ไม่ยาก

 

 

แต่โซโลนั้นยากเหมือนปีนขึ้นฟ้า เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนร่วมทีมจะให้ความร่วมมือไหม นอกเสียจากคุณจะสู้หนึ่งต่อเก้าได้ ไม่อย่างนั้นไม่ง่ายเลยที่จะไต่ขึ้นระดับจักรพรรดิได้

 

 

แต่ต่อให้เป็นทีมมืออาชีพ คนที่สู้หนึ่งต่อเก้าได้จริงๆ ก็มีน้อย

 

 

ใน OST ก็มีแค่หยางเฟยกับอี้จี้หมิง แต่อี้จี้หมิงสำเร็จได้ยาก มีแค่หยางเฟยที่ค่อนข้างมั่นคง

 

 

การ์ดเทพโด่งดังของ OST ไม่ได้เกินจริง แต่มีความสามารถเพียงพอจะให้เรียกว่าเทพ

 

 

ฉะนั้นโซโลระดับจักรพรรดิเก้าดาวนับว่าเทพแล้ว

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า หลุบตาต่ำลง ไม่พูดอะไร แต่เธอแค่รู้สึกว่า ปรมาจารย์เก้าดาว…ไม่เท่าไรนี่นา…

 

 

“แม้แต่เธอจะเทพ บังคับได้ดี แต่เข้ากับฉันไม่ค่อยได้” ลู่จ้าวอิ่งลูบหัว มองฉินหร่านยิ้มๆ “เธอรับมือได้ดี ปล่อยสกิลก็แม่นยำ คาดการณ์ล่วงหน้าก็เก่ง ถึงว่าเทพพระอาทิตย์มาหาเธอ ถ้าค่า APM ดีกว่านี้อีกหน่อยละก็ ระเบิดพลังสักหน่อย ก็สามารถใช้การ์ดตัวละครสายจู่โจมได้แล้ว”

 

 

พูดไปพูดมา ลู่จ้าวอิ่งก็เสียดายเป็นอย่างมาก

 

 

ฉินหร่านใช้การ์ดพื้นฐานสามใบสายซัพพอร์ตเล่นกับเขามาตลอด ไม่ต้องมี APM สูงมากนัก แต่บังคับได้ดีมากจริงๆ

 

 

ตอนแรกสมาชิกในทีมต่างก็คิดว่าฉินหร่านเป็นผู้หญิงแอ๊บแบ๊ว หลายครั้งที่สบถด่า

 

 

แต่เมื่อเล่นไปเล่นมา มักจะร้องไห้ตะโกนให้ฉินหร่านมาเติมเลือดให้!

 

 

เล่นเกมหนึ่งตาเสร็จจะมีพวกที่หน้าด้านหน้าทนอย่างมากรั้งฉินหร่านให้เล่นตาต่อไป แต่จะถูกลู่จ้าวอิ่งปฏิเสธอย่างเลือดเย็น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมเทพพระอาทิตย์ถึงต้องมาเล่นเกมกับฉินหร่าน มีเธออยู่ สบายใจมากจริงๆ เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ควรค่าให้เชื่อใจ

 

 

ในทีมเกมเมอร์ที่โด่งดังในตอนนี้ล้วนเป็นเกมเมอร์สายจู่โจม เกมเมอร์สายซัพพอร์ตโจมตีไม่ได้แถมต้องรับเคราะห์แทนอีก

 

 

อีกอย่างเกมเมอร์สายซัพพอร์ตมีข้อเสียที่ร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่งคือ หากเจอเพื่อนร่วมทีมสายจู่โจมแย่ เกมตานี้ก็จบเห่

 

 

เพราะ…การ์ดสายซัพพอร์ดโจมตีไม่ได้ สู้หนึ่งต่อเก้าก็ไม่ได้

 

 

“แต่ถ้าเราสามคนฟอร์มทีม ต้องสุดยอดแน่ๆ” สุดท้ายลู่จ้าวอิ่งก็ตบไหล่ฉินหร่านปุๆ ยิ้มพลางยักคิ้ว

 

 

ฉินหร่านปรายตามองเขาแวบหนึ่ง มุมปากมีรอยยิ้มเอื่อยเฉื่อย ตอบอืมแล้วไม่พูดอะไร

 

 

 

 

ภายในห้อง เมื่อเฉินซูหลานเห็นวัยรุ่นเหล่านี้ ก็ดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด

 

 

สภาพจิตใจก็ดีขึ้นเยอะมาก แต่ช่วงนี้สภาพจิตใจของเธอค่อนข้างดีมาตลอด

 

 

“จะไปเซี่ยงไฮ้เหรอ” เมื่อได้ยินฉินหร่านพูด เฉินซูหลานก็ชะงัก เผลอถามไปว่า “จะกลับมาเมื่อไร”

 

 

ฉินหร่านคำนวณเวลา “ประมาณสองสามวัน หรืออาจจะนานกว่านั้น ยังไม่แน่ใจ”

 

 

ฝั่งกู้ซีฉือต้องใช้เวลานานแค่ไหน ฉินหร่านไม่แน่ใจเลย

 

 

“อืม” เฉินซูหลานพยักหน้า จากนั้นยิ้ม กำชับอย่างรอบคอบว่า “งั้นหลานกลับมาไวๆ หน่อยนะ”

 

 

น้อยครั้งที่เฉินซูหลานจะพูดแบบนี้

 

 

ราวกับมีความนัยแฝงเร้น

 

 

ปกติแล้วฉินหร่านมักจะไม่อยากฟัง

 

 

พอได้ยินก็จะอดหงุดหงิดใจไม่ได้ เธอเบนหน้าไปอีกทาง หลุบตาต่ำลง เม้มปากไม่พูดอะไร

 

 

เฉินซูหลานส่ายหน้ายิ้มๆ

 

 

“น่าจะวันพุธ” เฉิงเจวี้ยนมองฉินหร่านแวบหนึ่ง จากนั้นหัวเราะ กดเสียงเบาลง พูดกับเฉินซูหลานอย่างอ่อนโยน

 

 

ส่วนรายงานฉบับนั้น เฉิงเจวี้ยนกับกู้ซีฉือถือว่าร่วมมือกันแล้ว

 

 

แม้เขาจะไม่ได้สนใจเรื่องเซลล์และไวรัสวิทยา แต่ก็พอจะคำนวณเวลาคร่าวๆ ได้

 

 

และรู้ว่าที่ฉินหร่านไปเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เพราะหยางเฟย แต่เป็นเพราะกู้ซีฉือต่างหาก

 

 

พูดจบ เฉิงเจวี้ยนก็กระแอมอีกทีแล้วมองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านหยุดคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปทางเฉินซูหลานอย่างเชื่องช้า “อืม กลับวันอังคาร”

 

 

“อ้อ” เฉินซูหลานนิ่งไปพักใหญ่ กว่าจะตอบสนอง เธอมองสองคนแวบหนึ่งอย่างมีเลศนัย

 

 

ห้าโมงแล้ว พวกฉินหร่านต้องไปขึ้นเครื่องบินแล้ว

 

 

เฉินซูหลานกลับบอกว่าอยากคุยกับเฉิงเจวี้ยนก่อนไปสักหน่อย

 

 

ฉินหร่านนวดขมับ “ไม่ คุณยาย ทั้งสองคนจะมีอะไรให้คุยกัน”

 

 

เฉินซูหลานมองฉินหร่านนิ่งๆ ยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างตัว เสียงเบาและช้า “หนุ่มคนนี้หน้าตาดี ยายเห็นแล้วถูกชะตา ได้หรือเปล่า”

 

 

ได้ ดื้อจริงๆ

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า มือล้วงกระเป๋า ตามลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ออกไปอย่างเชื่องช้า

 

 

เมื่อประตูปิดลง

 

 

เฉินซูหลานถึงได้วางแก้วลง ยามมองเฉิงเจวี้ยน ดวงตาขุ่นมัวคู่นั้นเจือความดุดันและมีแววตาสำรวจเพิ่มมา “เธอรู้จักหรานหร่านตั้งแต่เมื่อก่อนเลยเหรอ”

 

 

“น่าจะไม่รู้จักล่ะมั้งครับ” นิ้วของเฉิงเจวี้ยนวางอยู่บนราวจับ ท่าทางครุ่นคิด

 

 

“งั้นเหรอ” เฉินซูหลานหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ช่างเถอะ งั้นฉันจะถามเธอว่า เธอคิดว่าหรานหร่านของฉันเป็นยังไง”

 

 

ใบหน้าที่นิ่งเฉยมาตลอดของเฉิงเจวี้ยนมีความอึ้งปรากฏให้เห็น

 

 

“เวลาของฉันใกล้หมดแล้ว” เฉินซูหลานไม่รอให้เขาตอบ เสียงราบเรียบทีเดียว “ฉันรอวันนี้ตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แต่หรานหร่านเอาแต่ใช้วิธีต่างๆ ยื้อชีวิตฉันมาตลอด ฉันคิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า เกิดฉันตายไป หรานหร่านจะทำยังไง จะอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายเหรอ ถึงได้ฝืนยื้อชีวิตไว้”

 

 

“หรานหร่านดื้อ แถมไม่ฟังใคร อาจเป็นเพราะรู้ว่าฉันอยู่ได้ไม่นานแล้ว ถึงได้เป็นฝ่ายติดต่อแม่ของตัวเองก่อน จากนั้นตามฉันมาที่อวิ๋นเฉิง” เสียงของเฉินซูหลานยานคาง “แม่กับน้าเล็กของหรานหร่านอยู่กันครบ”

 

 

“เพราะฉัน หรานหร่านต้องทิ้งโอกาสไปเรียนในเมืองหลวง เก็บนิสัยเสียของตัวเอง อยากให้ฉันมีความสุขสบายใจจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย” พูดถึงตรงนี้ เฉินซูหลานก็หลับตา บีบมือแน่น พูดจาอย่างยากเย็น เจือเสียงสะอื้นเล็กน้อย “ฉันเป็นตัวถ่วงของหรานหร่าน เมื่อก่อนฉันหวังอยากให้ตัวเองตายเร็วมาตลอด แต่ก็กลัวหรานหร่านจะตัวคนเดียว นิสัยแบบนี้ ถ้าไม่มีฉันอยู่ สักวันคงจะทำลายตัวเองเหมือนตาของเธอ…”

 

 

“เปล่าเลย” เฉิงเจวี้ยนหยิบแก้วที่เฉินซูหลานวางไว้อีกทางขึ้นมาอีกครั้ง เทน้ำอุ่นให้ ดวงตาหลุบลง “คุณสอนเธอได้ดีมาก”

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้ได้จากที่มือเธอบาดเจ็บครั้งก่อน เธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตตามใจชอบและไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนรู้สึกขอบคุณที่เฉินซูหลานเป็นคนดูแลฉินหร่านตั้งแต่แรก หากว่าหนิงฉิงหรือคนอื่นดูแล ไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

 

 

อัจฉริยะกับคนบ้า ต่างกันแค่หนึ่งเส้นกั้น

 

 

หากข้ามเส้น ก็คือคนบ้า คนที่อยู่ในเส้นนั้นได้ ก็จะกลายเป็นอัจฉริยะ

 

 

“ฉันคิดว่าเสี่ยวกู้เป็นคนดีมาก” เฉินซูหลานยิ้ม เธอมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง จากนั้นก้มหน้าจิบน้ำคำหนึ่ง “เธอรู้จักเสี่ยวกู้ไหม เพื่อนสนิทของหรานหร่าน หรานหร่านเคยให้เขามาพักที่บ้านด้วย ฉันตั้งใจว่าจะยกหรานหร่านให้เขาดูแล เธอคิดว่ายังไง”

 

 

มือของเฉิงเจวี้ยนชะงักไป เขามองเฉินซูหลาน เฉินซูหลานหลุบตาต่ำ ราวกับกำลังตั้งใจใคร่ครวญความเป็นไปได้ประการนี้

 

 

เขาอดล้วงบุหรี่ออกมาไม่ได้ จากนั้นก็กระแอมเล็กน้อย “ผมรู้จักครับ กู้ซีฉือใช่ไหม มีคนมากมายตามล่าเขา ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เฉิงเจวี้ยนก็นิ่งไปครู่หนึ่ง “ต่อไปเธอจะไปเรียนในเมืองหลวงใช่ไหมครับ”

 

 

เฉินซูหลานเงยหน้าขึ้นอย่างไม่แสดงอารมณ์ “แน่นอน อาจารย์เว่ยก็อยู่ในเมืองหลวง”

 

 

เฉิงเจวี้ยนยิ้ม พูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “บ้านผมอยู่ในเมืองหลวงยังพอคุยกันได้”

 

 

 

 

ข้างนอก ฉินหร่านกับพวกลู่จ้าวอิ่งรอตรงโถงทางเดินร่วมยี่สิบนาทีแล้ว

 

 

กว่าจะเห็นเฉิงเจวี้ยนเปิดประตูออกมา

 

 

ฉินหร่านมองเฉิงเจวี้ยน อีกฝ่ายก้มหน้า คาดเดาอารมณ์ไม่ได้

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอดถามไม่ได้ว่า “นายพูดความลับอะไรกับยายของฉินเสี่ยวหร่านบ้าง ลับๆ ล่อๆ ขนาดนี้”

 

 

ที่สำคัญคือคุยกันนานขนาดนี้

 

 

เฉิงเจวี้ยนเชยตาขึ้น จากนั้นมองลู่จ้าวอิ่ง พูดอย่างสบายๆ ว่า “แค่คุยสัพเพเหระไม่กี่ประโยค ไปกันเถอะ”

 

 

“เอาเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งรู้ว่าคุณยายของฉินหร่านเป็นพวกคลั่งไคล้คนหน้าตาดี

 

 

เชื่ออย่างสนิทใจ จึงไม่ได้ถามอะไรมาก

 

 

ฉินหร่านหันมองเขา ขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ค่อยเชื่อการแสดงจอมปลอมของเฉิงเจวี้ยน “ยายฉันคุยสัพเพเหระกับคนอื่นได้ถึงยี่สิบนาทีเลยเหรอ”

 

 

ต่อให้ท่านคลั่งไคล้คนหน้าตาดีก็ไม่เป็นแบบนี้

 

 

“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ท่านให้ฉันคอยจับตามองเธอหน่อย อย่าสร้างปัญหาในเซี่ยงไฮ้” มือของเฉิงเจวี้ยนล้วงกระเป๋า เหลือบมองเธอ กดเสียงต่ำลง หัวเราะเบาๆ “ไม่เชื่อเธอลองไปถามยายเธอดูสิ”

 

 

เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

 

 

ฉินหร่านกลับรู้สึกว่า บางทีอาจจะเป็นไปได้

 

 

พวกเขาเดินทางไปสนามบินทันที

 

 

เที่ยวบินรอบหนึ่งทุ่ม หากไม่สายละก็ ยังทันชมการแข่งขันรอบแรกของทีม OST ตอนสี่ทุ่มครึ่ง

 

 

ตอนที่พวกเขาไปถึงสนามบิน ปาเข้าไปหกโมงแล้ว

 

 

เจียงตงเย่พันผ้าพันคอ รออยู่ที่สนามบินนานแล้ว เมื่อเห็นพวกฉินหร่าน ก็รีบโบกมือเป็นพัลวัน “ท่านเจวี้ยน คุณหนูฉิน ทางนี้ๆ!”

 

 

เฉิงมู่ที่ตามหลังพวกเฉิงเจวี้ยน “…”

 

 

เขาว่าแล้วเชียวทำไมวันนี้ถึงไม่เจอเจียงตงเย่เลย ที่แท้คนขี้ประจบรออยู่ที่นี่มาโดยตลอดนี่เอง!

 

 

“คุณหนูฉิน ท่านเจวี้ยน บัตรประชาชนล่ะ ฉันจะไปเอาบอร์ดดิ้งพาสให้” เจียงตงเย่ดึงผ้าพันคอลงมา แขวนไว้บนคอลวกๆ เผยให้เห็นคาง ยิ้มอ่อนโยน “คุณหนูฉิน กระเป๋าหนักหรือเปล่า ฉันช่วยสะพายให้”

 

 

ขณะที่พูดก็ยื่นมือออกไป จะช่วยฉินหร่านถือกระเป๋า

 

 

ฉินหร่านเบี่ยงตัวหลบทันที

 

 

ในเป้ของเธอมีของแค่นิดหน่อย เงยหน้ามองเจียงตงเย่แวบหนึ่ง ปฏิเสธอย่างเย็นชาว่า “ไม่หนัก”

 

 

ใบหน้าเฉยชา

 

 

“จะไม่หนักได้ยังไง…” เจียงตงเย่พูดต่อ

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่ไม่พูดมาตลอดมองเขา เจียงตงเย่เกือบจะกัดลิ้นตัวเองเสียแล้ว จากนั้นก็มองกระเป๋าเป้สีดำของฉินหร่านด้วยความเสียดาย “ก็ได้ ดูไม่หนักจริงๆ ด้วย”

 

 

เขาถือบัตรประชาชนของฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนไปเอาบอร์ดดิ้งพาส

 

 

คนเข้าแถวเยอะ เฉิงเจวี้ยนจึงยื่นบัตรประชาชนของทั้งคู่ให้เจียงตงเย่อย่างไม่อิดออด

 

 

เจียงตงเย่ถือบัตรประชนชาของพวกเขาไปเอาบอร์ดดิ้งพาสด้วยความตื่นเต้น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งที่ไม่ได้รับสิทธิ์นี้ “…”

 

 

เฉิงมู่ที่อยากได้สิทธิพิเศษระดับวีไอพีเช่นกัน “…”

 

 

ทั้งคู่ถือบัตรประชาชนของตัวเองไปต่อแถวอย่างน่าสงสาร

 

 

เฉิงเจวี้ยนเห็นพวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว ถึงได้ก้มหน้าเล็กน้อย “อันที่จริง เธอบอกเรื่องของเจียงตงเย่กับกู้ซีฉือได้ แบบนี้ก็ไม่ดีสำหรับทั้งสองคน”

 

 

เขารู้สึกเหนื่อยแทนทั้งคู่

 

 

ฮู้ดของเสื้อกันหนาวยังอยู่บนหัวของฉินหร่าน เธอกำลังก้มหน้าดูมือถือ เมื่อได้ยินก็พูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา “พวกเขาสองคนมีความแค้นอย่างอื่นอีกไหม”

 

 

“มีนิดหน่อย” เฉิงเจวี้ยนหรี่ตา พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “เธอบอกกับกู้ซีฉือให้แน่ชัด เขาน่าจะยอมเจอเจียงตงเย่ เพราะถูกตามล่าแบบนั้นเขาก็อนาถมากเหมือนกัน จะเอาแต่หวาดระแวงทุกที่ที่อยู่ไม่ได้หรอกมั้ง ความดื้อของเจียงตงเย่เธอก็เห็นแล้ว”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า คิดว่ามีเหตุผลอยู่ทีเดียว

 

 

เฉิงเจวี้ยนเห็นท่าทางเธอเหมือนจะยอมอ่อนข้อแล้ว ก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางเจียงตงเย่อย่างพอใจ

 

 

คนคนนี้น่ารำคาญจริงๆ

 

 

…ไฟล์ทบินไม่ดีเลย์ ไม่ถึงสามทุ่ม ก็ถึงเซี่ยงไฮ้

 

 

นอกสนามบิน มีรถลีมูซีนคันหนึ่งจอดรออยู่ พวกเขามุ่งหน้าไปดูการแข่งขันที่ศูนย์กีฬาทันที

 

 

เวลานี้ ยังทันดูการแข่งขันรอบแรกของ OST

 

 

บัตรเข้าชมได้มาจากหยางเฟย เขาเก็บไว้ให้ฉินหร่านสี่ใบ มีเจียงตงเย่เพิ่มมาคนหนึ่ง

 

 

อันที่จริงเฉิงมู่ก็อยากดูมาก เขาก็เล่นเกมเหมือนกัน แถมยังเก่งกว่าเจียงตงเย่ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมองเจียงตงเย่แล้ว ก็เลือกยอมจำนน ให้เจียงตงเย่ไป

 

 

“เพื่อนรัก” เจียงตงเย่ตบไหล่เฉิงมู่ปุๆ ยิ้มหน้าระรื่น คิดว่าเฉิงมู่ใช้ได้ทีเดียว “กลับไปฉันจะช่วยนัดไอดอลนายให้ไปกินข้าวกับนาย”

 

 

เฉิงมู่กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที “ขอบคุณครับคุณชายเจียง!”

 

 

สี่คนเข้ามาในศูนย์กีฬาแล้ว

 

 

หยางเฟยเก็บบัตรแถวแรกให้ฉินหร่านเหมือนเดิม แถมยังเป็นทางซ้ายสุดอีกด้วย

 

 

ในสนามส่วนใหญ่จะเป็นแฟนคลับของ OST มีทั้งชายและหญิง ระดับความนิยมเทียบเท่าการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องบางคน

 

 

จะเห็นความนิยมของหยางเฟยได้จากเหตุนี้

 

 

อธิบายได้ไม่ยาก หยางเฟยควบคุมเกมได้ดี ซ้ำยังเป็นคนแรกที่ใช้การ์ดเทพสามใบ เกมเมอร์หนึ่งเดียวในทีมของประเทศที่โด่งดังไปถึงต่างประเทศ

 

 

ต่างประเทศยังมีแฟนคลับของเขาเลย ในประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

“เป็นครั้งแรกที่ได้สิทธิ์นั่งแถวแรก!” ลู่จ้าวอิ่งคุยกับฉินหร่านด้วยความตื่นเต้นหลายประโยคก่อน จึงจะสะกดกลั้นความตื่นเต้นแล้วชมการแข่งขัน

 

 

รอบคัดเลือกสี่ทีมสุดท้ายของการแข่งขันชิงแชมป์ฤดูหนาว คะแนนสะสมของ OST สูง แข่งขันกับอีกสองทีมก็พอ วันนี้เป็นการแข่งขันกับทีมหนึ่งในประเทศ

 

 

เวลาหนึ่งทุ่มในคืนวันอาทิตย์ แข่งกับทีมของประเทศ H

 

 

ทีม OST ในคืนนี้ไม่ค่อยโดดเด่นมากนัก ปล่อยการ์ดหนี่วาแค่ครั้งเดียว Yan สมาชิกทีมที่ถือการ์ดจู่โจมคนหนึ่งของ OST ทำพลาดระหว่างแข่งขัน

 

 

แต่การควบคุมของหยางเฟยและอี้จี้หมิง สู้สี่ต่อห้ากับทีมในประเทศไม่ใช่เรื่องยาก

 

 

ทั้งสองคนควบคุมเกมอย่างงดงามราวอย่างฮึกเหิม

 

 

ทีมในประเทศเล่นได้ไม่แย่ อย่างน้อยสุดท้ายยังมีตัวละครที่มีเลือดหลงเหลืออยู่

 

 

“วันนี้สภาพของ Yan ไม่ค่อยดี” Yan เป็นสมาชิกใหม่ของ OST โดดเด่นมากทีเดียว แทบจะเหนือกว่าอี้จี้หมิงแล้ว ลู่จ้าวอิ่งขมวดคิ้ว

 

 

“แสดงละคร” เฉิงเจวี้ยนดูการแข่งขันจนจบอย่างสบายๆ เหลือบมองลู่จ้าวอิ่งนิ่งๆ

 

 

แสดงละคร นิยมเรียกกันว่านักแสดง เป็นคนที่ทำทุกวิถีทางในเกมเพื่อให้ฝ่ายตัวเองแพ้

 

 

คนที่แสดงละครเก่ง คนทั่วไปจะมองไม่ออก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งลูบต่างหู มั่นใจอย่างยิ่ง “ไม่มีทาง”

 

 

การแข่งขันสิ้นสุดลง ฉินหร่านก็ลุกขึ้นอย่างอืดอาด ฟังบทสนทนาของทั้งคู่ หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไร

 

 

เจียงตงเย่ชมการแข่งขันอย่างง่วงเหงาหาวนอนจนจบ

 

 

เมื่อจบการแข่งขันแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นมา

 

 

“คุณหนูฉิน ค่อยๆ เดิน คนเยอะ อย่าให้มาเบียดเรา” เจียงตงเย่ช่วยกันกลุ่มคนให้ทั้งคู่อย่างใส่ใจ

 

 

แต่พวกเขาอยู่ใกล้เวทีที่สุด ไม่ต้องกั้นแต่อย่างใด คนรอบนอกออกไปก่อนแล้ว

 

 

ฉินหร่านสวมฮู้ด เดินตามหลังเฉิงเจวี้ยนอย่างเชื่องช้า

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ไม่สนเจียงตงเย่ที่เปิดทางให้ เขายืนพิงเก้าอี้แถวหนึ่งอย่างเกียจคร้าน รอคนออกไปพอสมควรแล้ว ถึงได้เริ่มเดินอย่างไม่รีบร้อน

 

 

เจียงตงเย่ที่พยายามแสดงตัวเอง “…”

 

 

ทั้งสี่คนยังไม่ได้กินข้าว เจียงตงเย่จองร้านอาหารไว้แล้ว ลู่จ้าวอิ่งยังคงอาลัยอาวรณ์ พึมพำว่า “พวกนายว่าจะได้เจอพวกเทพพระอาทิตย์ไหม พวกเขาก็น่าจะไปกินมื้อค่ำเหมือนกันหรือเปล่า”

 

 

สามคนที่เหลือไม่มีใครสนใจเขา

 

 

ทางออก

 

 

รถตู้สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้าม

 

 

อี้จี้หมิงย้อมผมทอง ในมือมีหมวกของทีม เมื่อเห็นพวกฉินหร่านออกมา ก็ลิงโลดใจ “ทางนี้! เทพฉิน! ทางนี้!”