ตอนที่223 เหนือกว่าคำว่าขี้เหนียว
หลินชูวโม่ทำสีหน้าครุ่นคิดพร้อมตอบกลับไปว่า “หาคนที่มีบุคลิกลักษณะใกล้เคียงกันแทนได้ไหมคะ? แล้วก็รีบๆติดต่อไปเลย เพราะพวกเราไม่มีเวลามากนัก”
“มันไม่ได้หาง่ายๆแบบนั้นน่ะสิครับ!” จางเหวินไคตอบกลับ
แต่แล้วจู่ๆ จางเหวินไคก็ตบมือเสียงดังพร้อมกับหัวเราะออกมา ก่อนจะร้องตะโกนออกมาว่า “จะไปมองหาดารงดาราให้ยุ่งยากทำไมล่ะครับ? นี่เลย ทำไมไม่เอาผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคุณมาเล่นล่ะ?”
“ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันเหรอคะ?”
หลินชูวโม่หันขวับมองไปทางฉีเล่ยทันที พร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาเสียงดัง “ผู้กำกับ คุณหมายถึงเขานี่นะ?!”
“ใช่ครับ! เขานี่ล่ะเหมะที่สุดแล้ว เขาเป็นเจ้าของไอเดีย น่าจะเข้าถึงอารมณ์ของตัวละคนได้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอครับ?” จางเหวินไคเอ่ยตอบ
“หา…”
หลินชูวโม่ยอมรับว่า ฉีเล่ยนั้นมีรูปลักษณ์และอารมณ์ที่ค่อนไปทางบุรุษในยุคโบราณ บางทีนี่อาจเกี่ยวข้องกับความรู้ด้านการแพทย์แผนจีน และความรู้เรื่องสมุนไพรของเขาก็เป็นได้
ผู้ชายบางคนหน้าตาหล่อเหลาก็จริงๆ แต่เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณเข้าไป กลับดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามกับฉีเล่ยซึ่งบุคลิกท่าทางของเขานั้นให้ความรู้สึกโบราณแม้จะไม่ได้สวมใส่ชุดย้อนยุค
“แต่หน้าตาของเขา…”
หลินชูวโม่มีท่าทางลังเล เธอเห็นด้วยว่าฉีเล่ยนั้นมีหน้าตาหล่อเหลาไม่เบาเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเทียบกับพวกดาราแล้ว เขายังนับว่าห่างไกลดาราหนุ่มๆพวกนั้นอยู่มาก
“จะมีผู้หญิงกี่คนเชียวครับที่จะได้สามีเป็นดาราหรือคนดัง? ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไปทั้งนั้นล่ะ ผมว่ารูปร่างหน้าตาแบบเขานี่ล่ะ ที่จะทำให้คนดูรู้สึกว่าเป็นตัวแทนของพวกเขาจริงๆ” จางเหวินไคออกความเห็น
เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ผู้ชายที่ขุ่นเคืองฉีเล่ยที่สุดก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนมาเป็นยกย่องเขาจนเลิศเลอ แต่นั่นกลับทำให้ฉีเล่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
อะไรกัน?! วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ได้ ฉันไม่หล่อหรือยังไง?
ว่าแต่ฉันนี่นะที่เหมาะจะเป็นตัวแทนของคนดู ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัว?
หลินชวูโม่ถูกจางเหวินไคโน้มน้าวจนเริ่มคล้อยตาม เธอหันไปกวักมือเรียกฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้องชายสุดหล่อ มานี่เร็วเข้า!”
“ไม่อ่ะ! ผมไม่คิดว่าตัวเองเหมาะจะเป็นพระเอกโฆษณา คุณไปหาพวกดารามืออาชีพมาเล่นดีกว่า!” ฉีเล่ยส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“แต่ฉันคิดว่านายนี่ล่ะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!” หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมไม่เหมาะจริงๆครับ!”
“เหมาะ!”
“ไม่เหมาะ!”
“นี่! ถ้านายไม่ยอมถ่ายโฆษณาชิ้นนี้ให้ฉันล่ะก็ ฉันจะไปบอกยัยคุณหนูมหาเศรษฐีนั่นว่า นายแอบดูฉันอาบน้ำด้วย ไม่เชื่อก็ลองดูสิ!”
“อย่าเอาผู้หญิงคนนั้นมาข่มขู่ผมเลย ผมกับเธอไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ต่อให้คุณจะไปบอกเธอว่าอะไร ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมทั้งนั้น”
“นี่นายไม่อยากเห็นฉันใส่ชุดราชินีบ้างงั้นเหรอ?”
“นี่คุณ…”
ฉีเล่ยทำสีหน้าท่าทางลังเลเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากกัดฟันแน่น ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมจะพยายามทำเต็มที่ก็แล้วกัน!”
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะให้ฉีเล่ยเล่นเป็นพระเอกโฆษณา การถ่ายทำก็เริ่มเปลี่ยนแผนใหม่อีกครั้ง
หลังจาทำการวัดตัวของฉีเล่ยเรียบร้อยแล้ว หนึ่งในผู้ช่วยของจางเหวินไคก็รีบไปหาชุดโบราณและวิกมาให้เขาสวมใส่
ส่วนจางเหวินไคยังคงถ่ายรูปของถงเซียวเซียวต่อไป อย่างน้อยเขาก็ต้องถ่ายภาพนิ่งในเซ็ทของราชินีให้เสร็จเสียก่อน
“ผมว่าผมไม่เหมาะเลยสักนิด!”
ฉีเล่ยหันไปบอกหลินชูวโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไม่เหมาะตรงไหน?”
“เอ่อ.. ผม.. ผมไม่อยากดัง!”
“ทำไมล่ะ? โด่งดังมีชื่อเสียงไม่ดีตรงไหนห๊ะ?!” หลินชูวโม่ย้อนถามกลับไปทันที
“ผมก็จะถูกผู้คนก่นด่าน่ะสิ!” ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่น
“ใครจะด่านายกัน? แล้วทำไมคนต้องด่านายด้วย?”
หลินชูวโม่ร้องถามด้วยสีหน้าท่าทางโมโห พร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมที่จะทะเลาะกับฉีเล่ยอย่างจริงจัง
ผู้หญิงคนนี้ช่างน่ากลัวมากจริงๆ เวลาโมโหไม่ได้ดั่งใจอะไรขึ้นมา ก็ทำตัวเป็นนักเลงพร้อมที่จะลุยดะอย่างไม่เกรงกลัวใคร และสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ
“อย่าลืมสิว่าผมเป็นหมอ เป็นแพทย์แผนจีน แต่จะให้มาเล่นโฆษณาสินค้าของตัวเองแบบ…”
หลินชูวโม่เบะปากพร้อมกับร้องตะโกนค้านขึ้นมาโดยไม่ปล่อยให้เขาได้พูดจนจบ “นี่! อย่าลืมนะว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันมีหุ้นส่วนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์กันเชียว แต่ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อนาย!”
“จะมีผู้หญิงโง่ๆอย่างฉันสักกี่คนเชียวห๊ะ อะไรดีๆก็ยกให้ไปอยู่ในกระเป๋าของนายหมด!” หลินชูโม่ทำเสียงดุใส่ฉีเล่ย
ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ ก่อนจะอธิบายให้เธอฟังว่า “คุณลองคิดดูให้ดีนะ ผมมีฐานะเป็นหมอ แต่กลับมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าตัวเองแบบนี้ ทั้งสื่อทั้งคนดูจะไม่คิดว่าผมเป็นพวกต้มตุ๋นหรือยังไง? พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นพวกหมาขี้เรื้อนหิวเงิน”
นี่เป็นเหตุการณ์ระดับชาติของประเทศจีนเลยทีเดียว ทุกวันนี้คนในประเทศล้วนแล้วแต่ใจแคบอย่างน่าสมเพช!
ดูเหมือนในสายตาของคนบางคน ผู้ที่มีอาชีพนักเขียนก็ควรต้องเป็นนักเขียน นักวิทยาศาสตร์ควรต้องหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัย ส่วนแพทย์ก็ควรต้องจริงจังกับการรักษาคนไข้เท่านั้น
แต่การที่แพทย์จะออกมาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาผลิตภัณฑ์แบบนี้ ไม่เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือยังไง?
ฉีเล่ยเป็นแพทย์แผนจีน และแบกรับภารกิจในการพัฒนาวงการแพทย์แผนจีนให้ก้าวหน้าโดยเร็ว อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นถึงผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปฏิหารย์ ทำให้ตัวเขาเองได้กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของวงการแพทย์อยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้ นักข่าวจากสำนักพิมพ์และสื่อต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่นำรูปภาพของเขาไปขึ้นหน้าหนึ่งกันหมด
คงจะไม่แปลกหากเขาจะเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา หรือแข่งขันด้านทักษะทางการแพทย์กับแพทย์ท่านอื่นๆ แต่ต้องไม่ใช่การโฆษณาสินค้าให้กับตัวเองแบบนี้
ท้ายที่สุด เป็นเพราะประเทศจีนขาดหน่วยงานที่เป็นกลางมาคอยตรวจสอบดูแลในเรื่องนี้ เพื่อเงินทองแล้ว.. เหล่าคนดังมีชื่อเสียงต่างก็ยินดีรับงานโฆษณาโดยไม่คำนึงถึงความจริง ทำให้ประชาชนทั่วไปถูกหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า จนสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวดาราไปมากแล้วเหมือนกัน
หลินชูวโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอพอที่จะเข้าใจความคิดภายในใจของฉีเล่ยได้ และเรื่องที่ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวศิลปินดาราก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสามารถกอบกู้เองได้เพียงลำพัง
“ฉันเข้าใจแล้ว!”
หลินชูวโม่พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยต่อว่า “เอาล่ะๆ ฉันจะไม่ฝืนใจนาย ถ้านายไม่อยากจะถ่ายโฆษณาจริงๆ ฉันก็จะไม่บีบบังคับ ไว้ฉันค่อยหาดาราชายมาเล่นบทนี้แทนนายก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ถ่ายเซ็ทราชินีจบแล้วก็กลับบ้านได้”
หลินชูวโม่จ้องมองฉีเล่ยพร้อมกับพูดต่อว่า “แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะว่า เดี๋ยวนี้คนไม่ได้เชื่อพวกดาราง่ายๆ ใช่ว่าพวกดาราใช้อะไรพวกเขาก็จะใช้ตามสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าถึงเวลาที่คนคลางแคลงใจในสรรพคุณ นายก็ต้องออกมา แล้วทำให้พวกเขาเชื่อมั่นล่ะ”
“อ่อ.. อีกอย่าง นายต้องทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองดูด้วยล่ะจะได้มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ฉันเองก็ได้ทดลองใช้ดูแล้วเหมือนกัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีผลข้างเคียงอะไรหลังใช้ อย่าลืมว่านี่เป็นผลิตภัณฑ์ของนาย นายจะต้องรู้สึกมั่นใจก่อน!”
“ถึงไม่ได้ทดลองใช้ ผมก็มั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่แล้ว!”
ฉีเล่ยยิ้มพร้อมกับพยักหน้า เพราะถ้าเขาไม่มั่นใจในยาของตัวเองแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่คิดที่จะนำออกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายในท้องตลาดอย่างแน่นอน
หากเขากล้าทำผลิตภัณฑ์ปลอมออกมาหลอกลวงผู้คนแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่จะสามารถทำเงินได้หรือไม่เลย แม้แต่จรรยาบรรณแพทย์ที่เขาได้รับมาจากบรรพชนสกุลเฉินก็คงจะไม่เหลืออย่างแน่นอน
อีกอย่าง หากไม่ใช่เพราะเขามั่นใจในตัวยาของตนเอง และมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของตนจะเป็นที่นิยมทันทีเมื่อออกสู่ตลาดแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่ขอแบ่งหุ้นกับหลินชูวโม่โหดแบบนั้นแน่
ฉีเล่ยเป็นคนร้ายกาจอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่เลย!
เขาเป็นคนที่เหนือกว่าคำว่าขี้เหนียว