ตอนที่ 177 ความอิจฉามีอยู่ทั่วไป

แม่ครัวยอดเซียน

“นังหนู เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เสวียนหั่วนึกไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะกลับมาเร็วขนาดนี้

“อื้ม ข้าพาน้องสาวมาด้วย ท่านบอกเองไม่ใช่หรือ จะปล่อยแกะหนึ่งตัวหรือสองตัวอย่างไรก็ต้องปล่อยอยู่ดี” หลิวหลีพูดอย่างไม่สนใจ

“นี่บิดามารดาเจ้าไว้ใจให้เจ้าพาน้องสาวของเจ้าออกมาได้ด้วยหรือ” นังหนูน้อยคนนี้ได้รับความรักและเอ็นดูมากไม่ใช่หรือ นางเคยลำบากมาก่อนหรือเปล่า

“ข้าให้นังหนูอยู่สำนักนอก หนึ่งปีแล้วค่อยรับกลับมา บางเรื่องข้าคงไม่สามารถสอนนางได้” หลิวหลีไม่รู้ว่าน้องสาวของนางจะรับรู้ความตั้งใจของนางหรือไม่

“เจ้าทำหน้าที่พี่สาวได้ดีจริง ๆ” เสวียนหั่วทอดถอนใจ

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารับประกันเลยว่าน้องสาวของข้าต้องเติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามและแข็งแกร่งแน่นอน” หลิวหลีพูดรับประกัน

“นังหนู เจ้าจะสอนอะไรบ้าง รับศิษย์สักคนดีไหม” น่าจะให้นางรับศิษย์ มีศิษย์หลานสักคนก็ดีเหมือนกัน

“รับศิษย์หรือ เรื่องนี้ขอไม่พิจารณาได้หรือไม่ ข้าสอนศิษย์ไม่เป็นด้วยซ้ำ” ลูกศิษย์จำเป็นจะต้องมีอาจารย์ที่ดี

“พอเถอะ เจ้าคิดว่าข้าจะเป็นอาจารย์ที่ดีไหม เจ้ายังไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง แถมก้าวหน้าไปรวดเร็วเสียด้วย” เสวียนหั่วไม่ฟังคำพูดไร้สาระของหลิวหลีหรอก ลองดูตัวนางเถอะ ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

“อาจารย์ ท่านคิดมากไปแล้ว” หลิวหลีไม่รู้จะพูดอะไร อาจารย์ท่านก็รู้ตัวนี่ว่าท่านสอนลูกศิษย์ไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะว่าข้ามีความทรงจำในอดีต แถมเป็นความทรงจำของผู้ใหญ่ด้วย ไม่เช่นนั้นคงจะออกนอกลู่นอกทางไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

“ไม่สักหน่อย ศิษย์เอ๋ย ว่างก็ว่าง เจ้ารับศิษย์สักคนเถอะ” ว่างอยู่ไม่มีอะไรทำรับศิษย์มาเล่นสักคนดีจะตายไป

“เรื่องนี้น่ะ ข้าจำเป็นต้องรับลูกศิษย์ด้วยหรือ ท่านอาจารย์ จะไม่คุยกันก่อนหรือ” หลิวหลีมองอาจารย์แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่มีอะไรต้องคุย เจ้าต้องรับศิษย์มาหนึ่งคน” เสวียนหั่วพูดพลางทำหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าเป็นแบบนี้ ให้อาจารย์อาเจ้าสำนักแจ้งข่าว ข้าจะเลือกลูกศิษย์จากช่วงฝึกฝนลมปราณ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับไว้สักคน แล้วให้อาจารย์ของนางเป็นคนสอนแล้วกัน จะได้ไม่รู้สึกว่ารับศิษย์แล้วไม่รู้สึกประสบความสำเร็จ

“พูดจริงหรือ ข้าบอกให้ศิษย์น้องเจ้าสำนักแจ้งข่าวแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้แล้วนะ” เสวียนหั่วพูดย้ำเพื่อความแน่นอนอีกครั้ง

“จริงเจ้าค่ะ รออีกสักสามเดือนก็แล้วกัน” หลิวหลีคิดๆแล้วก็กล่าว

“ก็ได้ นังหนู ให้มีขอบเขตกว้างขึ้นหน่อยดีไหม พิจารณาลูกศิษย์ช่วงพื้นฐานกับช่วงอมตะด้วย”

“ไม่ได้หรอก ลูกศิษย์ช่วงสร้างรากฐานกับช่วงอมตะแทบจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรค่อนข้างยาก ช่วงฝึกฝนลมปราณยังสามารถสร้างโครงร่างขึ้นมาใหม่ได้” หลิวหลีกล่าวปฏิเสธ

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะแจ้งให้กับศิษย์น้องเจ้าสำนักไปตามนี้” ให้ลูกศิษย์ยอมรับลูกศิษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว หากบังคับมากเกินไป นางเปลี่ยนใจขึ้นมาก็คงจะไม่ดีนัก เห็นว่าดีก็รับไว้แล้วกัน

ข่าวใหญ่ที่สุดในสำนักเมฆาคล้อย ท่านปรมาจารย์หลิวหลีที่เลื่องชื่อจะรับลูกศิษย์ ลูกศิษย์จะเลือกมาจากลูกศิษย์ที่อยู่ในช่วงฝึกฝนลมปราณ เวลาคือในอีกสามเดือนข้างหน้า ผู้บำเพ็ญที่เตรียมจะบรรลุช่วงพื้นฐานจำนวนไม่น้อยก็เลิกล้มความคิดไป หากพวกเขาได้รับความเมตตาจากท่านปรามาจารย์ท่านนี้ก็จะมีความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วแน่นอน คนที่เพิ่งจะบรรลุช่วงสร้างรากฐานได้สำเร็จก็เศร้าใจ ท่านปรมาจารย์ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ อีกทั้งยังมีคนที่มีความคิดว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะสลายพลังบำเพ็ญเพียรทั้งหมดแล้วเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่

“อย่านึกว่าท่านปรมาจารย์หลิวหลีจะเลือกลูกศิษย์ในช่วงฝึกฝนลมปราณ แล้วหางของพวกเจ้าก็กระดกขึ้นมา ท่านปรมาจารย์จะเลือกลูกศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้าโชคดีก็มีคนโชคดีเพียงคนเดียว หากไม่ได้รับการคัดเลือก นอกเสียจากพวกเจ้าจะบรรลุช่วงพื้นฐาน ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ยังต้องทำงานพวกนี้อยู่ดี เอาล่ะ แยกย้ายได้แล้ว ไปทำงานทำการของตัวเอง” หวงฉีปลุกเด็กช่างฝันพวกนี้ให้ตื่นจากฝัน ได้ยินมาว่าท่านปรมาจารย์ผู้นั้นค่อนข้างเรื่องมาก ไม่ใช่ว่าใครก็จะเตะตานาง แต่ท่านปรมาจารย์ท่านนี้เก่งกาจนัก ตอนนั้นเขาโชคดีได้ไปฟังคำสอนของท่านปรมาจารย์ท่านนี้ ยังได้อะไรกลับมาไม่น้อย

“มั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าท่านปรมาจารย์จะรับลูกศิษย์”

“พี่ชุ่ย ข้าได้ยินแล้ว” มั่วหลีตอบ ก็แค่พี่สาวของนางจะรับศิษย์ น่าตื่นเต้นถึงขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมท่านตาของนางถึงไม่มองการณ์ไกล ให้พี่สาวของนางรับศิษย์ในบ้านสกุลหลงสักคนหนึ่งก็จบเรื่อง

“มั่วเอ๋อร์ ท่านปรมาจารย์ท่านนั้นเป็นต้นแบบของข้า หากได้เป็นลูกศิษย์ของนาง ข้าคงต้องโชคดีมากแน่นอน” หยางชุ่ยจินตนาการว่าหากได้เป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ จะมีหน้ามีตาขนาดไหน

“พี่ชุ่ย ผู้ดูแลได้บอกไว้แล้ว ท่านปรมาจารย์จะเลือกลูกศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเราส่วนใหญ่เป็นแค่คนธรรมดา พวกเราก็ยังคงต้องทำงานพวกนี้อยู่ดี” มั่วหลีไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง มือสองข้างกำลังหั่นอาหารด้วยท่าทางชำนาญ

“มั่วเอ๋อร์ เจ้าไม่มีมุมานะเลย ตำแหน่งลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์อย่างไรข้าก็จะขอลองดูสักตั้ง” หยางชุ่ยพูดอย่างหยิ่งทรนง

“รู้แล้วล่ะ เสี่ยวหู่ รีบมาช่วยทางนี้เร็ว” มั่วหลีตะโกนเรียกเด็กชายที่อยู่ห่างออกไป

“รู้แล้ว” เด็กผู้ชายท่าทางเงอะงะรีบวิ่งเข้ามา

พูดถึงเพื่อนของมั่วหลีสองคน หยางชุ่ยกับหยางจิงหู่ ก็คงจำเป็รต้องพูดถึงเด็กผู้ชายที่มั่วหลีสละข้าวของให้ คนผู้นั้นก็คือหยางจิงหู่ที่กำลังหิวโซ เขาเป็นเด็กที่พ่อแม่ของหยางชุ่ยเก็บมาเลี้ยง เด็กกว่าหยางชุ่ยสองปี และเพราะมั่วหลีสละข้าวให้ วันถัดมาเด็กผู้ชายหน้าตาซื่อๆคนนั้นจึงยื่นมือช่วยนางทำงาน ผลคือใครก็คาดไม่ถึง ถึงแม้มั่วหลีจะเป็นเด็กตัวเล็กๆแต่ทำงานได้โดดเด่น หยางชุ่ยตั้งใจจะมาเป็นเพื่อนกับมั่วหลี แต่มักแอบอู้ตอนทำงานเสมอ มั่วหลีก็ไม่ได้ชอบนางมากนัก แต่จะทำอย่างไรได้ก็เพื่อนเพียงคนเดียวที่นางพอใจ ดันต้องไปช่วยพี่สาวผู้นี้ สามคนก็เลยต้องมาอยู่ด้วยกัน มั่วหลีมั่นใจเลยว่า พี่สาวนางไม่ชอบคนอย่างหยางชุ่ยไปเป็นศิษย์อย่างแน่นอน พี่สาวของนางก็ไม่ชอบคนอย่างหยางจิงหู่เช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ก็ดูเหมือนว่าหยางชุ่ยจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น

หลังจากนั้นก็ยิ่งเป็นหนักกันมากขึ้น ทุกคนต่างใจเต้นรัว ฝันอยากโดนหลิวหลีเลือก จะได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หวงฉีจะดุด่าขนาดไหน ก็ไม่ช่วยอะไร มีเพียงแต่มั่วหลีกับหยางจิงหู่ที่ยังคงทำงานของตัวเองต่อไป

มั่วหลีก็ทำงานของตัวเองในวันนี้จนเสร็จ และกลับไปพร้อมกับที่พักด้วยความปวดเมื่อยไปทั้งตัว นางนำของในแหวนเก็บของออกมา ยังไม่ทันได้เปิดค่ายกล มั่วหลีก็เห็นเงาสีแดงๆลอยผ่านมาแวบหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับหยางชุ่ย แต่ว่ามั่วหลีไม่ได้คิดอะไร ปิดประตูลง และนำค่ายกลออกมาบำเพ็ญฝึกฝนต่อ

“หลี่มั่วเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีแหวนเก็บของ นางคงไม่ได้ขโมยใครมาใช่หรือไม่” หยางชุ่ยเห็นว่ามั่วหลีปิดประตูลงแล้ว ก็พึมพำกับตนเอง

วันถัดมา สายตาที่ทุกคนมองมั่วหลีเต็มไปด้วยความซับซ้อน บางคนเย้ยหยัน บางคนดูถูก ทำให้มั่วหลีงุนงง เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“มั่วเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ” หยางจิงหู่ยังคงทำตัวเช่นเดิม

“เสี่ยวหู่ ข้ามีอะไรผิดปกติ ทำไมทุกคนมองข้าแปลกๆ” มั่วหลีถามเพื่อนตัวเอง

“ไม่มีอะไร มั่วเอ๋อร์ ไม่ต้องสนใจพวกเขา” ตาหยางจิงหู่กระตุกน้อยๆ น้ำเสียงตะกุกตะกักทำให้มั่วหลีสงสัยอย่างมาก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“หลี่มั่ว ได้ยินมาว่าเจ้ามีแหวนเก็บของ แถมยังมียาผงจำนวนไม่น้อยเลย แบ่งให้พวกเราบ้างสิ” สาวน้อยที่อายุมากกว่ามั่วหลีไม่กี่ปีสั่งนาง

“เจ้าไปได้ยินใครพูดมา ถึงข้าจะมี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นอะไรกับข้างั้นหรือ มีสิทธิ์อะไรมาใช้น้ำเสียงอย่างนั้นสั่งข้า” มั่วหลีไม่เล่นด้วยหรอก

“อ้าว มีจริงหรือนี่ ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นเด็กที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักเก็บมา ทำไมถึงมีแหวนเก็บของที่เป็นของระดับสูงเช่นนี้ได้ เจ้าไม่ได้ขโมยมาใช่หรือไม่” สาวน้อยคนนั้นยังคงตอแยไม่หยุด

“เจ้าพูดอะไรน่ะ แหวนเก็บของนี่ ท่านแม่ของข้าให้ข้ามา”

“แม่ของเจ้าให้เจ้ามาหรือ? ยังมียาผงอีก พวกเราสะสมหินวิญญาณสามเดือนยังไม่พอจะซื้อยาสามหลอดด้วยซ้ำ เจ้าบำเพ็ญเพียรครั้งหนึ่งก็ใช้เป็นสิบ อย่าบอกพวกเราล่ะว่ายาผงก็เป็นของที่คนในครอบครัวของเจ้าให้มาเหมือนกัน?” สาวน้อยคนนั้นทำหน้าเย้ยหยัน และคนรอบข้างก็ทำสีหน้าแบบเดียวกัน

“เจ้าพูดถูกจริงๆ ยาผงนี่เป็นของที่พี่สาวข้าให้มา” นางจ้านมั่วหลีมีพี่สาวที่เป็นนักปรุงยาที่เก่งที่สุดในโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถเทียบกับนางได้

“พี่สาวเจ้าให้มาหรือ เจ้าเป็นเด็กที่ผู้อาวุโสเก็บมา แถมพี่สาวของเจ้ายังปรุงยาได้ เจ้าบอกมาสิ ว่าพี่สาวของเจ้าคือใคร” สาวน้อยคนนั้นยังคงเค้นนาง

“พี่สาวของข้า เจ้าควรคู่ได้รู้ชื่อของนางหรือ?” มั่วหลีมองสาวน้อยคนนั้นอย่างไม่ยี่หระ หากพี่สาวของนางจะเลือกลูกศิษย์จากคนในช่วงฝึกฝนลมปราณ คนกลุ่มนี้ไม่เหมาะเลยแม้แต่น้อย

“อ้อ พูดไม่ได้เสียด้วย น่าจะไม่มีมากกว่า เจ้ามันเป็นขโมย ขโมย” สาวน้อยผู้นั้นตะโกนราวจับได้

“หุบปาก ซุนหลิง อย่าคิดว่าเจ้าเข้ามาอยู่ในสำนักก่อนข้า แล้วจะพูดจาร้สาระได้ เชื่อไหมว่าข้าจะฉีกปากเจ้า อย่างมากก็แค่โดนผู้ดูแลทำโทษเท่านั้น” มั่วหลีพยายามสะบัดมือสองข้างที่ถูกหยางจิงหู่จับเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความโมโห

“ทำอะไรกัน ไม่ทำงานหรือไง ทะเลาะอะไร หลี่มั่ว มีคนมารายงานว่าเจ้าขโมยของคนอื่น เอาของออกมาเดี๋ยวนี้” หวงฉีตะโกนจนทำให้คนกลุ่มนั้นถอยร่นไป และเขาพูดกับมั่วหลีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ข้าไม่ได้เอาของคนอื่นไป” มั่วหลีส่ายหัว พูดด้วยความน้อยใจ

“มีคนบอกว่า เจ้ามีแหวนเก็บของ ผู้บำเพ็ญในระดับนี้จะมีแหวนเก็บของของระดับสูงอย่างนั้นได้อย่างไร เอาออกมา” หวงฉีตกใจเล็กน้อย แม้แต่เขาที่เป็นผู้ดูแลยังรู้สึกตกใจเลย

“ข้าจะมีแหวนเก็บของไม่ได้งั้นหรือ แม่ของข้าเป็นคนให้ข้ามา” มั่วหลีจ้องผู้ดูแลตาเขม็ง ผู้ดูแลคนนี้นอกจากจะเป็นกร็องเด้ต์[1]แล้วก็ยังเป็นโจวปาผี[2]อีกด้วย

“บอกให้เจ้าเอาออกมาก็เอาออกมา คนเห็นกันหมดแล้ว” หวงฉีเริ่มจะหมดความอดทน

“ใคร ให้นางออกมาพูดต่อหน้าข้า” มั่วหลีกวาดสายตามองคนกลุ่มนั้น ก็พบว่าหยางชุ่ยหลบไปเล็กน้อย แถมยังอยู่ในชุดกระโปรงแดงด้วย นึกถึงเงาสีแดงในคืนนั้น ในใจก็รับรู้ได้เลยทันที

“ถ้าอย่างนั้นก็มานี่” หวงฉีใช้พลังบำเพ็ญเพียรกดให้มั่วหลีคุกเข่าลง แหวนเก็บของที่มีก็ถูกแย่งไป มั่วหลีกัดริมฝีปากจนเลือดออกเมื่อโดนกดดัน การเหยียดหยามในครั้งนี้ นางจ้านมั่วหลีจะต้องเอาคืนแน่นอน

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ก็จริง มียาผงจำนวนมาก ไม่ใช่ของที่เด็กสาวไร้ที่พึ่งจะครอบครองได้ ขโมยของคนอื่นมาแน่ๆ บอกมาว่าของใคร ข้าจะจัดการสถานเบา ทำลายพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้า แล้วขับออกจากสำนัก” หวงฉีมองดูกองยาในแหวนเก็บของด้วยความโลภ ยาบางตัวเขาไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ แถมยังมีหินวิญญาณชั้นเลิศ

“ก็บอกแล้วไง ว่าเป็นของข้า” มั่วหลีกัดฟันพูด

“ผู้ดูแล เป็นของหลี่มั่วจริงๆ ท่านคืนให้นางเถอะ” หยางจิงหู่อ้อนวอนแทนมั่วหลี

“เสี่ยวหู่ เจ้าโง่หรือไง เรื่องอะไรก็จะออกหน้าหรือ ให้มั่วเอ๋อร์บอกที่มาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ” ทันทีที่หยางชุ่ยเริ่มพูด ก็เท่ากับเปิดเผยตัวตนแล้วว่าเป็นฝีมือตนเอง

“หยางชุ่ย เป็นเจ้าจริงๆด้วย หึ เจ้าอยากจะเป็นลูกศิษย์ของหลิวหลีหรือ ฝันไปเถอะ” พี่สาวของนางจะถูกใจคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน

“หึ ก็ยังดีกว่าสิบแปดมงกุฏที่พูดโกหกอย่างเจ้าแล้วกัน” หยางชุ่ยมองมั่วหลีเป็นนักต้มตุ๋นอย่างมั่นใจ

 ………………………………………..

[1]  กร็องเด้ต์เป็นตัวละครในนิยายฝรั่งเศส

[2] โจวปาผีเป็นตัวละครในนิยายจีน