บทที่ 170 สิงโตคำราม
เหิงหย่วนหยุดฝีเท้าทันที เขาหันกายกลับมา ไม่ได้พูดอะไร แต่ประนมมือทั้งสิบคำนับสวี่ชีอัน

“ข้าอยากจะไปดูที่สถานรับเลี้ยงเด็กหน่อย” สวี่ชีอันเสนอข้อเรียกร้องของเขา

“ได้สิ”

“ไปด้วยกันเถอะ” สวี่ชีอันหันไปเชิญเพื่อนร่วมงานสองคน

“เจ้าไม่ได้เอาเงินมาใช่ไหม” ซ่งถิงเฟิงเหลือบมองเขา

สวี่ชีอันยิ้มแย้มไม่พูดอะไร เดินไปสองก้าว ฝ่าเท้าก็เหยียบลงบนก้อนแข็งๆ เขาหยิบขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วแบมือ “ดูสิ เงินมาแล้วนี่ไง”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว “???”

คนแรกจ้องมองเงินสีหม่นแล้วเอ่ยอย่างหดหู่ “เมื่อกี้ข้าเดินไม่ดูทาง พลาดเงินก้อนนี้ไป ทำให้เจ้าเก็บไปได้อย่างง่ายดาย”

อันที่จริง เจ้าเคยพลาดไปอย่างน้อยก็หลายตำลึงทีเดียว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก เก็บเงินในอกเสื้อแล้วอธิบายว่า “ไต้ซือเหิงหย่วนอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กทางตะวันออกของเมืองชั้นนอก ได้ยินว่าที่นั่นเด็กยากจนไร้ที่ไปมีความเป็นอยู่ไม่ค่อยดีนัก”

“คนมากมายบนโลกล้วนมีความเป็นอยู่ไม่ค่อยดี” จูกว่างเสี้ยวพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่จบก็ถอนหายใจ

ทั้งสามตามเหิงหย่วนออกจากเมืองชั้นใน แล้วเดินไปทางสถานรับเลี้ยงเด็กที่ตะวันออกของเมือง ระหว่างทาง ซ่งถิงเฟิงพบเรื่องน่าสนใจหนึ่งเรื่อง

“พวกเจ้าดูภิกษุรูปนี้สิ พวกเราเดินเร็วแล้ว เขากลับเดินเร็วยิ่งกว่า ทั้งยังรักษาระยะห่างเท่าๆ กันเอาไว้เสมอ แต่เขาไม่เคยหันกลับมามองพวกเราเลย”

นี่ไม่ได้เป็นเพราะเหิงหย่วนมีตาข้างหลังแต่อย่างใด พวกสวี่ชีอันสามคนทอดถอนใจ ช่างเป็นจิตสัมผัสที่น่ากลัวจริงๆ

พวกเขาจงใจเร่งฝีเท้าขึ้น ไม่นานทั้งสี่ก็มาถึงทางตะวันออกของเมือง ที่นี่เป็นเขตยาจก ทุกที่ล้วนเป็นบ้านหลังเล็กทรุดโทรม และมีชาวบ้านสวมชุดกันหนาวเก่าๆ ขาดๆ

ใบหน้าของพวกเขากรำแดดจนเหลืองโทรม แววตาว่างเปล่า ในดวงตาของเด็กๆ ที่นี่ยังเปล่งประกายมีชีวิตชีวา แต่ร่างกายนั้นผอมแห้ง ใบหน้าซูบซีด รวมถึงดวงตาที่มักจะจดจ้องมายังกระเป๋าเงินบ่อยๆ ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขาขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ในใจสวี่ชีอันรู้สึกเกลียดชังอย่างมาก แต่ไม่ใช่เกลียดชังเหล่ายาจกและเด็กๆ พวกนี้ ทว่าเกลียดชังสภาพแวดล้อม

ชาติก่อนเขาเคยเห็นรูปภาพพื้นที่สงครามมาไม่น้อย ความยากจน ความหิวโหย และความวุ่นวายต่างเป็นพื้นฐานหลักของสงครามที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่ได้เห็นภาพและฉากแบบนี้ เขาก็จะรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรงขึ้นมา เพราะผู้ที่มีจิตใจงดงามมาตลอดอย่างเขากลับไม่มีกำลังจะเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านี้ได้

คงเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความโกรธเกรี้ยวของคนไร้ความสามารถ’ นั่นล่ะ

“ดูแลกระเป๋าเงินของพวกเจ้าไว้ดีๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าและไม่มีความสามารถจะขโมยเงินของพวกเจ้าได้ก็เถอะ” เสียงของเหิงหย่วนดังมาจากด้านหน้า เขาเอ่ยต่อ “อยู่ที่นี่ อย่าได้ให้ทานเลย เพราะมันจะทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดเสียเปล่าๆ”

เขาไม่ได้อธิบายว่า ‘สถานการณ์น่าอึดอัด’ เป็นอย่างไร

เรื่องนี้ข้าเข้าใจ เพียงข้าแสดงความเมตตาออกมา มันก็จะเป็นแกะอ้วนตัวใหญ่สำหรับพวกเขา…ภิกษุเหิงหย่วนกลัวว่าถึงตอนนั้นพวกเราจะบันดาลโทสะเพราะความอับอาย แล้วลงมือทำร้ายยาจกที่นี่สินะ สวี่ชีอันคาดเดาอยู่ในใจ ปากก็พูดว่า

“ข้ามาที่แบบนี้ไม่บ่อยนัก ทำไมพวกเขาไม่ไปหางานทำล่ะ”

“คนที่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยไร้ที่นา ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะมีที่ดินอยู่ แต่ก็ไม่อาจแบกรับการใช้แรงงานหนักได้ จึงเลือกทิ้งที่นา แล้วเข้าเมืองมาหาเลี้ยงชีพ แต่ในเมืองไม่มีที่ว่างให้พวกเขาได้อาศัย บางครั้งก็จะมีมือปราบมาเสาะหาแพะรับบาปที่นี่ แต่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป คนหลายคนจึงต้องกลายเป็นอันธพาลกระทำความผิดไปเสีย”

ไต้ซือเหิงหย่วนอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ขณะที่พูดอยู่ คนทั้งสี่ก็มาถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นบ้านที่ดูมีอายุหลังหนึ่ง แผ่นป้ายบนประตูใหญ่สีซีดจางไปตามการชะล้างของลมและน้ำค้างแข็ง

“ก่อนหน้านี้มีคนของทางการมาซ่อมแซมบ้านแล้ว แต่ข้าเปลี่ยนป้ายอักษรจากใหม่กลับไปเป็นของเก่าเพราะมันเปล่งประกายงดงามเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับสถานรับเลี้ยงเด็ก ทั้งสามท่าน เชิญ!”

เมื่อเข้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็ก เหิงหย่วนก็เดินนำพวกเขาเข้าไปในข้างในแล้วพูดว่า “ใต้เท้าสวี่ อาตมารู้ว่าท่านมีเรื่องลำบาก ที่ข้าไปขอความช่วยเหลือจากท่านนั้นไม่ได้ไปขอยืมเงิน แต่ได้ยินว่าท่านกับเหล่าโหรของสำนักโหราจารย์มีมิตรภาพแก่กันเป็นพิเศษ จึงอยากขอให้ท่านช่วยหาโหรชุดขาวมาช่วยเหลือเด็กหนึ่งหน่อย”

เมื่อผ่านเรือนด้านหน้ามา พวกเขาก็เข้ามาในเรือนหลังรกๆ แล้วเดินมายังห้องเก็บฟืน

ในห้องเก็บฟืนปูด้วยหญ้าแห้งกับผ้านวมหนาๆ ที่มุมห้องวางกระถางถ่านและชามใบใหญ่เอาไว้ บนผ้านวมมีหมาดำผอมโซตัวหนึ่งนอนขดอยู่

เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว หมาดำก็ขยับตัว แต่ลุกไม่ขึ้น มันใช้แรงเงยหน้าขึ้น เมื่อว่ามีคนแปลกหน้า ดวงตาสีเทาหม่นก็แสดงท่าทีประจบเอาใจออกมาโดยไม่รู้ตัว มันประจบอย่างน่าสงสาร กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า

“มีโชคลาภ…วาสนา มีโชคดี…มหามงคล”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวที่เดิมสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ พลันตัวแข็งทื่อ

สวี่ชีอันเหมือนถูกฟ้าผ่า นึกถึงตอนที่ช่วยเหลือหมายเลขหกเหิงหย่วน แล้วเขาเคยพูดเรื่องบางอย่างไว้

“นี่ นี่คือ…นี่คือเด็กหรือ” สวี่ชีอันพึมพำเบาๆ

“เขาพูดได้แค่ประโยคนี้เท่านั้น” เหิงหย่วนจ้องมองดูหมาดำ สีหน้าขื่นขม “ข้าช่วยเขาไว้ตอนที่ตามหาศิษย์น้องเหิงฮุ่ย เพราะถูกปฏิบัติอย่างน่าสังเวชเช่นนี้ เขาจึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ช่วงนี้ข้าใช้พลังปราณเลี้ยงดูร่างกายของเขา ฝืนให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ทำได้ไม่นานหรอก ร่างกายของเขาย่ำแย่อย่างยิ่ง ต้องได้รับการรักษา มิเช่นนั้นมากที่สุดสามวันก็ไม่รอดแล้ว หมอธรรมดาทั่วไปช่วยเขาไม่ได้ มีแต่โหรของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่ทำได้ อาตมาจนปัญญา ถึงได้ไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้า”

ซ่งถิงเฟิงอ้าปากแล้วเอ่ยเสียงขรึม “บางที การตายอาจจะเป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็ได้นะ”

เหิงหย่วนเหลือบมองฆ้องทองแดงผู้นี้แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ทุกๆ วันยามอาทิตย์ขึ้น ดวงตาของเขาก็จะสว่างไสวขึ้นมา ข้าเข้าใจความปรารถนาข้างในนั้นได้ เพราะมันคือความหวังอันบริสุทธิ์ที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น ในสายตาของคนบางคน เขาอาจจะไม่สลักสำคัญเหมือนกับวัชพืชในลานเรือน แต่ต่อให้เป็นหญ้าต้นเล็กก็อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างทรหดเหมือนกัน”

ซ่งถิงเฟิงเงียบไป

สวี่ชีอันมองดู ‘หมาดำ’ อย่างล้ำลึก “ข้ารู้แล้ว ข้าจะเชิญโหรของสำนักโหราจารย์มาดูอาการ ไต้ซือ…ต่อไปถ้ามีส่วนที่ต้องใช้เงิน มาหาข้าได้เลย”

พูดจบ เขาก็เสริมต่อ “แต่ละวันข้าให้ได้มากที่สุดแค่สามอีแปะเท่านั้น”

‘วันละสามอีแปะ?’ ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวประทับใจ แปดอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึง ส่วนเงินเดือนของสวี่ชีอันนั้น ถ้าไม่นับพวกธัญพืช เฉพาะเงินทองจริงๆ ที่อยู่ในมือก็มีแค่สี่ห้าตำลึงเท่านั้น

แม้ว่าจะอยู่ในเมืองชั้นใน ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยได้แล้ว

สามอีแปะต่อหนึ่งวัน สามวันก็หนึ่งตำลึงแล้ว เขาเอาเงินมาจากไหนมากมายขนาดนี้ อ้อ เขามีทองที่ฝ่าบาทตกรางวัลให้ด้วย เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว

เหิงหย่วนส่ายหน้า

“วางใจเถิด เงินสุจริตอย่างยิ่ง เหมือนได้เปล่านั่นแหละ” สวี่ชีอันพูดปลอบใจ

ไต้ซือเหิงหย่วนจึงพยักหน้า ปลอบโยนให้ ‘หมาดำ’ สงบ แล้วเดินนำพวกสวี่ชีอันสามคนกลับไปเรือนด้านหน้า พลางกล่าวว่า “ใต้เท้าทั้งสองรอสักประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะพูดกับใต้เท้าสวี่”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวพยักหน้า คนหนึ่งหันกายไปหยอกล้อพวกเด็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในห้องแอบดูแขก ส่วนอีกคนไปพูดคุยกับคนแก่ที่อาบแดดอยู่บนโต๊ะหินในลานบ้าน

เมื่อเข้ามาในห้องเก่าๆ เรียบๆ ห้องหนึ่ง เหิงหย่วนก็ปิดประตู ประนมมือกล่าว “กลิ่นอายของใต้เท้าล้ำลึก จิตวิญญาณเต็มไปด้วยปราณ กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณใช่หรือไม่”

เขามองออกชัดขนาดนี้เลยเหรอ ข้ารู้แค่หมายเลขหกเป็นจอมยุทธ์หลวงจีนขั้นแปด มีพลังขนาดไหนไม่รู้ ข้ายังไม่รู้ตื้นลึกของคนอื่นเขาเลย แต่เขากลับรู้หนาบางของข้าแล้ว…สวี่ชีอันสีหน้าเคร่งขรึม “ไต้ซือมีสิ่งใดจะชี้แนะ”

“มีภาพตระหนักรู้แล้วหรือยัง”

“มีแล้ว”

ไต้ซือเหิงหย่วนพยักหน้าทันทีแล้วเอ่ยว่า “อาตมาเป็นบรรพชิต ไม่อาจตอบแทนเรื่องเงินทองให้แก่ใต้เท้าสวี่ได้ เดิมทีคิดจะรอให้ท่านอยู่ระดับหลอมปราณสูงสุดก่อน แล้วค่อยมอบภาพตระหนักรู้ภาพหนึ่งให้แก่ใต้เท้า แต่ในเมื่อใต้เท้ามีหนทางแล้ว เช่นนั้นอาตมาก็ขอแลกด้วยเคล็ดวิชาอย่างหนึ่งแทนแล้วกัน”

ข้าเชี่ยวชาญ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ แล้ว เลยเข้าใจเรื่องข้อดีข้อเสียของเคล็ดวิชานี้เป็นอย่างดี…ซึ่งก็ควรเรียนรู้เคล็ดวิชาอื่นมาเสริมข้อบกพร่องจริงๆ นั่นแหละ…สวี่ชีอันมีชีวิตชีวาขึ้นมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณไต้ซือมาก”

เหิงหย่วนพยักหน้า “ข้าเป็นจอมยุทธ์หลวงจีนขั้นแปด ไม่อาจรู้เรื่องวิชาลับของสำนักพุทธ รู้แค่เพียงกระบวนท่าจู่โจมเล็กน้อยเท่านั้น ที่ใช้งานได้ดีที่สุดก็คือสิงโตคำรามของสำนักพุทธ วิชานี้เป็นทั้งวิชาตระหนักรู้และเป็นทั้งเคล็ดวิชา”

เป็นวิชาแบบชุดนี่นา…ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการคำรามเหรอ…สวี่ชีอันได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ‘สิงโตคำราม’ ฟังแล้วเหมือนใช้ในหมู่คนเซ่อซ่า ขาดความมีมาดไปสักหน่อย

หมายเลขหกเหิงหย่วนเห็นประกายผิดหวังวาบผ่านดวงตาของสวี่ชีอันก็ครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “อาตมาสามารถแสดงอานุภาพของสิงโตคำรามให้ใต้เท้าดูได้นะ”

เจ้าอย่ามาคำรามจนข้าหูหนวกก็พอ…สวี่ชีอันพยักหน้า แต่ก็ไม่วางใจกล่าวเตือนขึ้นมา “จะไม่รบกวนคนแก่กับเด็กๆ ในเรือนใช่ไหม”

เหิงหย่วนส่ายหน้า “ข้าจะควบคุมอานุภาพให้อยู่ในห้องนี้”

พูดจบ สวี่ชีอันก็เห็นหมายเลขหกผู้ขมขื่นความแค้นล้ำลึกสูดลมหายใจ แล้วปล่อยหมัดด้วยท่าทางปกติ

หมัดนี้ธรรมดาสามัญ พลังและความเร็วได้ D ทั้งหมด ไม่มีภัยคุกคามอะไรเลย…ความคิดเพิ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว ที่หูก็ได้ยินเสียงสิงโตคำรามดังลั่นอย่างองอาจ

┗|`O′|┛’โฮก~~’

สมองของสวี่ชีอันสั่นสะเทือน เข้าสู่สภาวะมึนงงโดยไม่รู้ตัว พอเขาคืนสติกลับมาได้ ก็มองเห็นกำปั้นใหญ่เท่าหม้ออยู่ที่ปลายจมูกของตน

ภิกษุเหิงหย่วนถอนหมัดกลับไป เอ่ยเสียงขรึม “วิชานี้สะเทือนจิตเดิม สะท้านศัตรู เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูงส่งล้ำลึกแล้ว แม้แต่เทพเจ้าหยินผู้ทรงพลังที่สุดก็ยากจะต้านทาน”

นี่ช่างเหมาะกับดาบเดียวตัดฟ้าดินของข้านัก สมบูรณ์แบบไปเลย…ความกังวลใหญ่ที่สุดของข้าก็คือพลาดเป้า แต่พอมีผลลัพธ์จากสิงโตคำรามแล้ว ก็ไม่กลัวโจมตีพลาดเป้าแล้ว…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างยินดี “ขอไต้ซือโปรดสอนข้าด้วย”

ขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็เกิดคำถามขึ้นมา ‘เจ้าเป็นแค่จอมยุทธ์หลวงจีนขั้นแปดจริงๆ หรือ’

เหิงหย่วนหันกายเดินไปที่เตียง แล้วนำกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งจากใต้เตียง แล้วหยิบแผ่นภาพใบหนึ่งออกมาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ก่อนมอบให้สวี่ชีอัน

“หนังสือเล่มนี้บันทึกวิถีการโคจรพลังปราณ และการตระหนักรู้ขณะฝึกฝนของข้าเอาไว้”

สวี่ชีอันยื่นมือไปรับมา ไต้ซือเหิงหย่วนจับหน้าปกเอาไว้ เอ่ยเสียงขรึม “ต้องคืนด้วย”

ทำไมต้องเสริมประโยคนี้มาด้วย เจ้าก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรื่องคนแซ่สวี่จอมกินฟรีของข้าด้วยหรือ สวี่ชีอันพยักหน้า “ได้ขอรับ ไต้ซือ”

เขาออกจากห้องแล้วมายังเรือนด้านหน้า รวมตัวกับสหายร่วมหน่วยทั้งสองคน ทั้งสามปรึกษากับอยู่พักหนึ่ง แล้วรวบรวมเงินจำนวนหนึ่งบริจาคให้แก่สถานรับเลี้ยงเด็ก

พอเอ่ยลาเหิงหย่วนและเดินไปยังประตูใหญ่ จู่ๆ ซ่งถิงเฟิงก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน”

เขาหันกายวิ่งกลับไป จ้องเจ้าหน้าที่ชราเขม็งไม่พูดไม่จา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าท่าทางดุร้ายมาก

“ใต้ ใต้เท้า” เจ้าหน้าที่ชราหวาดกลัวเล็กน้อย

ซ่งถิงเฟิงกัดฟันเจ็บใจ ถอดถุงเงินโยนออกไป แล้วหันหลังจากไป ไม่อาจทนดูได้อีก

นั่นเป็นเงินห้าตำลึงที่เขาวางแผนจะเอาไปใช้ที่สำนักสังคีตคืนนี้ เป็นเงินเดือนหนึ่งเดือนของเขา

“เจ้าสวี่หนิงเยี่ยน เจ้าต้องทนทุกข์กับดาบพันเล่ม ถ้าต่อไปข้ายอมตามเจ้ามาในที่แบบนี้อีก จะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้าเลย” ซ่งถิงเฟิงเตะสวี่ชีอันไปหนึ่งที

สวี่ชีอันหลบได้ ยิ้มเยาะว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้ามาใช้แซ่ข้าหรอก ต่อไปให้ลูกชายเจ้าใช้แซ่ข้าก็พอแล้ว”

ซ่งถิงเฟิงถอดฝักดาบออกมา ไล่ตีเขา

เมื่อกลับมาถึงเมืองชั้นใน สวี่ชีอันก็โยนงานลาดตระเวนให้กับสหายร่วมหน่วยสองคน ส่วนตนไปที่หอดูดาว

“คุณชายสวี่” เหล่าโหรชุดขาวทักทายอย่างกระตือรือร้น ไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาขึ้นไปชั้นบน

สวี่ชีอันเดินหาอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็หาฉู่ไฉ่เวยไม่เจอ ทั้งยังหาซ่งชิงไม่พบด้วย จึงจับนักเล่นแร่แปรธาตุคนหนึ่งมาถาม

“แม่นางไฉ่เวยล่ะ”

“องค์หญิงใหญ่เสด็จมา ศิษย์พี่ไฉ่เวยจึงไปหาท่านอาจารย์โหราจารย์ที่ศาลาแปดเหลี่ยมเป็นเพื่อนพระองค์ขอรับ” นักเล่นแร่แปรธาตุบอก

ภรรยาใหญ่กับภรรยาน้อยของข้าอยู่กันพร้อมหน้า…สวี่ชีอันหันไปถาม “ศิษย์พี่ซ่งล่ะ”

“ไปขอตัวนักโทษประหารที่หน่วย กำลังศึกษาอยู่ในห้องลับขอรับ”

“…”

สวี่ชีอันล้มเลิกความคิดเรื่องไปพบซ่งชิง เอ่ยถามว่า “ห้องครัวอยู่ไหน”

………………………………….