ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 1 ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“หนุ่มน้อยคนนั้นเป็นคนอย่างไรกัน”

“เขาสงบนิ่งมาก นั่งมาครึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เพียงแค่ดื่มชาไปอึกหนึ่งเท่านั้นในตอนที่เพิ่งมาถึง เขาคงดื่มเพื่อเป็นมารยาทกระมัง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ดื่มอีกเลย…อันที่จริง ชาอึกแรกนั้นเขาเพียงแค่จิบเท่านั้น ท่าทีเขาก็ไม่ได้เหมือนกับระแวดระวัง แต่เหมือนกับเป็นคนรอบคอบเสียมากกว่า จิตใจลุ่มลึก การเตรียมพร้อมเป็นเลิศ ถึงแม้จะปิดบังเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์อยู่ก็ตาม”

“ดูแล้วเขาก็น่าจะเป็นคนฉลาด อย่างน้อยก็ไม่ได้โง่…อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“สิบสี่ปี”

“ถ้าข้าจำไม่ผิดก็คงจะราวๆ นี้”

“เพียงแต่ลักษณะท่าทางสงบนิ่งนั้น มองดูแล้วอาจทำให้เขาแก่กว่าอายุจริงไปบ้าง”

“เป็นคนธรรมดารึ”

“ใช่แล้ว…พลังลมปราณธรรมดา แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็คงยังไม่เคยผ่านมาก่อน ถึงแม้จะดูความสามารถไม่ออก แต่อายุก็สิบสี่ปีแล้ว ถ้าเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง ก็คงไม่ค่อยมีอนาคตไกลสักเท่าไหร่”

“นับว่ามีอนาคต เมื่อเทียบกับลูกศิษย์พรรคของฉางเซิง”

“ฮูหยิน แล้วการหมั้นหมายเป็นเรื่องจริงหรือ”

“หลักฐานเป็นของจริง เรื่องการหมั้นหมายก็คงต้องเป็นของจริงกระมัง”

“เหตุใดในปีนั้นนายท่านถึง…ตกลงเรื่องคู่ครองเช่นนี้ให้กับคุณหนูนะ”

“ถ้านายท่านยังไม่จากไป หรือว่าเจ้าจะสามารถหาคำตอบได้กระนั้นหรือ…เปิดประตู ข้าจะไปพบเขา”

เสียงแอ๊ดดังขึ้นคราหนึ่ง พร้อมกับประตูค่อยๆ แง้มออก แสงทองอร่ามของดวงอาทิตย์ สาดส่องจากข้างนอกมายังทั่วทุกมุมของห้อง สาดส่องกระทบเข้ากับใบหน้าอันสวยวิจิตรของสตรีนางหนึ่งและหยกครึ่งซีกที่อยู่ถือในมือของนางอย่างแนบแน่น หญิงรับใช้ชราที่สนทนาอยู่ตรงหน้านางผู้นั้นกำลังยืนอยู่ในซอกมุมของห้อง ร่างกายถูกเงามืดบดบังไว้ หากไม่ดูให้ละเอียดถี่ถ้วน เห็นทีคงดูไม่ออกเป็นแน่

ฮูหยินย่างก้าวออกจากห้องภายใต้การประคองจากหญิงรับใช้ชรา ถ้าหากมีสายลมพัดผ่านมาร่างกายคงอ่อนไหวราวกับต้นหลิวโดนลมไม่ปาน ผมถูกปักเข้ากับปิ่นทองล้ำค่า สร้อยหยกที่ผูกติดกับตัวเมื่อก้าวเดินไม่ก่อให้เกิดเสียงใดๆ เลย ช่างน่าแปลกไม่น้อย

ภายในสวนมีเงาของต้นไม้สาดแสงบดบังเป็นหย่อมๆ บนทุ่งหญ้ามีต้นไม้ที่ต้องใช้คนโอบถึงสิบคนตั้งตระหง่านอยู่ ทางเดินด้วยหินสองข้างทางไม่มีแม้แต่เงาของหญิงรับใช้ เมื่อมองไปไกลๆ เห็นผู้คนนั่งคุกเข่าเป็นทิวแถว บรรยากาศอันเงียบสงบแต่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือกนี้ ราวกับต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านมุ่งตรงไปยังฟากฟ้า มองอีกทีก็เปรียบดังสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยศาสตราวุธ

เจ้าของจวนหลังนี้ คือขุนพลเทพตงอวี้ สวีซื่อจี ผู้ที่ได้รับชัยชนะจากศึกสงครามอันเลื่องลือในสมัยราชวงศ์ต้าโจว ท่านขุนพลเทพได้ปกครองกองทัพทหาร ทำให้ราชสำนักร่มเย็นเป็นสุข แต่เป็นเพราะวันนี้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ทหารทั้งหมดจึงถูกเรียกให้กลับมา บรรยากาศที่นี่จึงชวนให้รู้สึกสลดหดหู่ยิ่งนัก กำแพงด้านนอกถูกสายลมของฤดูใบไม้ผลิพัดกระทบผนัง ราวกับว่าจะแช่แข็งกำแพงเหล่านั้นไว้

ฮูหยินสวีได้เดินทะลุสวนมาจนถึงด้านหน้าของห้องโถง จึงหยุดเท้าลง สายตาจ้องไปยังหนุ่มน้อยที่อยู่ภายในห้องโถง คิ้วทั้งสองขมวดเล็กน้อย

หนุ่มน้อยคนนั้นสวมใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำครึที่ผ่านการซักมาหลายคราจนกลายเป็นสีขาวซีด แทบจะไม่เหลือร่องรอยของสีเดิมอยู่เลย รูปหน้าอ่อนเยาว์ ขนตาตั้งตรงเป็นแพ ดวงตาสุกสว่างสดใส ในตัวของเขามีบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ราวกับว่าเขาคือกระจก ที่สามารถมองเห็นสรรพสิ่งที่ซ่อนอยู่ได้

เท้าของเด็กหนุ่มได้วางพาดบนสัมภาระ ดูๆ ไปแล้วก็เป็นสัมภาระธรรมดา แต่ก็ถูกจัดให้ดูดีไม่เบา ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ฝุ่นระหว่างการเดินทางก็ไม่มีเกาะสักเม็ด บนสัมภาระยังมีหมวกที่ถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้านใบหนึ่งผูกติดไว้

เหตุที่ฮูหยินขมวดคิ้วคงไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แต่เป็นเพราะชาที่วางอยู่บนโต๊ะไม่มีไอร้อนแล้ว เจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นยังกลับทำท่าทีสงบ ไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่ายออกมาสักนิด เด็กหนุ่มที่อายุราวนี้คงหาได้ยากยิ่งที่จะมีท่าทีสงบและอดทนเช่นนี้

ช่างเป็นคนที่ยากแก่การคบค้าสมาคมยิ่งนัก

ก็ยังดี ที่คนเช่นนี้มักจะเป็นคนทะนงตน

เมื่อย่างก้าวเข้ามาในจวน พูดคุยกับหญิงรับใช้ท่านนั้นไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นก็ไม่มีใครสนใจตนอีกเลย เขาได้นั่งอยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม อดคิดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ว่าเฉินฉางเซิงก็ไม่ได้รู้สึกว่าลำบากอะไร อาจเป็นเพราะว่าเขาเคยชินกับความเงียบสงัดเสียแล้วกระมัง

เขานั่งท่องคัมภีร์ฮวาถิง เล่มที่ 6 ฆ่าเวลาอยู่เงียบๆ อีกด้านหนึ่งก็รอให้ฝ่ายตรงข้ามมาสักคนหนึ่ง เขาอยากจะคืนหนังสือสมรสให้ฝ่ายตรงข้ามเสียที หลังจากจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว เขาก็มีเรื่องของตนเองที่จะต้องสะสางอีกมากมาย

กรณีของน้ำชานั้น แท้ที่จริงแล้วเขาดื่มไปแค่หนึ่งอึก เพียงจิบให้โดนริมฝีปากเท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นเพราะระแวดระวังหรือรอบคอบอย่างที่หญิงรับใช้ชราท่านนั้นได้คาดการณ์ไว้ เพราะเขารู้สึกว่ามาเป็นแขกของผู้อื่น ไม่อยากจะดื่มน้ำชาให้มากเกรงว่าจะต้องขอเข้าห้องน้ำ ซึ่งมันดูไม่มีมารยาท อีกทั้งจวนขุนพลเทพแห่งนี้ใช้เครื่องเคลือบหรูที่ดูมีราคา เขาเองก็ไม่คุ้นชินกับการใช้สิ่งของของผู้อื่นดื่มน้ำเช่นเดียวกัน

จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นคนรักสะอาดกับเรื่องพรรค์นี้

เขาได้ยืดตัวลุกขึ้นยืน เดินมุ่งไปยังฮูหยินที่แต่งตัวสวยสดงดงามเพื่อโค้งคำนับ ถ้าเดาไม่ผิดฝ่ายตรงข้ามคงจะเป็นฮูหยินสวี นายหญิงของจวนแห่งนี้เป็นแน่ ในใจก็คิดว่าในที่สุดก็สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้เสียที จึงสอดมือเข้าไปในร่องเสื้อ เตรียมที่จะหยิบหนังสือสมรสออกมา

ฮูหยินสวียกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าไม่ต้องเร่งรีบ ให้เขานั่งลงก่อน ไม่นานหญิงรับใช้ก็ได้ยกน้ำชามาให้ ฮูหยินสวีมองดูเขาอย่างสงบพลางเอ่ยขึ้นว่า “สุสานเทียนซูเจ้าไปชมมาหรือยัง สะพานหน่ายเหอละ หรือว่าอยากจะไปพระราชวังลี่ที่นั่นมีไม้เลื้อย ทิวทัศน์ก็งดงามยิ่งนัก”

เฉินฉางเซิงคิดในใจว่าคงเป็นการทักทายตามมารยาท เขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องทักทายอย่างใด แต่ทว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้อาวุโสกว่าตนได้เอื้อนเอ่ยวาจากล่าวถาม ไยเล่าเขาจะไม่มีมารยาท จึงตอบด้วยประโยคสั้นๆ แต่แฝงด้วยความเคารพในที “ยังไม่เคยไป วันหลังจะไปชมขอรับ”

เมื่อฮูหยินสวีได้ยิน มือที่จับฝาถ้วยน้ำชาได้หยุดชะงักกลางอากาศ ถามกลับไปว่า “พูดเช่นนี้ เจ้าจะบอกว่ามาถึงจิงตู ก็มุ่งหน้ามาจวนขุนพลเทพเป็นที่แรกรึ”

เฉินฉางเซิงตอบไปอย่างสัตย์จริง “ข้าไม่กล้าให้เกิดความล่าช้า”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ฮูหยินเงยหน้าขึ้น แล้วมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าหนุ่มน้อยที่มาจากหมู่บ้านทุรกันดารไกลโพ้นคนนี้ ทว่ามิได้ถูกทิวทัศน์ของเมืองจิงตูดึงดูด แต่กลับมุ่งตรงมาเพื่อจะเจรจาเรื่องการสมรส ช่างเป็นคนใจร้อนยิ่งนัก แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่น่าขบขันเสียมากกว่า

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจประโยคที่ว่า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ เขาได้ยืดตัวตรงขึ้น ยื่นมือเข้าไปในเสื้อ เตรียมที่จะหยิบเอาหนังสือสมรสส่งคืนให้กับฝ่ายตรงข้าม ในเมื่อได้ตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่อยากจะใช้เวลาไตร่ตรองให้มากกว่านี้

อย่างไรก็ตามการกระทำของเขา ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ฮูหยินจ้องมองเขา ท่าทีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นกว่าเดิม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เห็นด้วยกับการสมรสในครั้งนี้ ถึงแม้นเจ้าจะนำหนังสือสมรสมา ก็มิได้มีความหมายใดๆ”

เฉินฉางเซิงไม่คาดคิดว่าจะได้ยินวาจาเช่นนี้ จึงตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง

“หลายปีก่อนอาจารย์ของเจ้าช่วยเหลือนายท่านเอาไว้ หลังจากนั้นจึงได้กำหนดการสมรสครั้งนี้ขึ้น…เรื่องนี้คล้ายจะเป็นเรื่องน่ายินดีใช่หรือไม่”

ฮูหยินสวีจ้องมองที่เขาด้วยท่าทีเยือกเย็นเอ่ยต่อว่า “…แต่ว่าคงจะมีเพียงแค่บทละครงิ้วเท่านั้นที่เป็นเรื่องน่ายินดี เหตุเพราะไม่สามารถเป็นจริงได้ นอกจากสตรีโง่งมแล้ว ผู้ใดจะเชื่อกัน”

เฉิงฉางเซิงอยากจะอธิบาย ว่าตนนั้นเดิมทีมีความตั้งใจที่จะมายกเลิกการสมรส ทว่าเมื่อได้ยินวาจาที่แสนสูงส่งและมองดูท่าทีของฮูหยินสวีที่มิได้ซ่อนเร้นความเหยียดหยามเอาไว้เลย กลับทำให้เขายากนักที่จะขยับปากพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่กระนั้นมือของเขายังคงล้วงอยู่ในเสื้อ สัมผัสกับขอบกระดาษที่แข็งกระด้าง กระดาษแผ่นนี้คือหนังสือสมรสที่บรรจงเขียนขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง อีกแผ่นหนึ่งได้เขียนชะตาวันเกิดของแม่นางน้อยท่านนั้นไว้

“นายท่านได้จากไปเมื่อสี่ปีก่อน เช่นนั้นการสมรสครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ”

ฮูหยินสวีจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้า พร้อมเอ่ยต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เช่นนั้นเรามาคุยกันแบบคนฉลาดคุยกันไม่ดีกว่ารึ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องขบคิดถึงเรื่องการสมรสต่อไปแล้ว แต่ควรจะคิดว่าจะชดเชยอย่างไรให้เพียงพอ เจ้าคิดว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร”

เฉินฉางเซิงได้เอามือออกมาจากเสื้อ เขาไม่ได้ล้วงเอาหนังสือสมรสออกมา แต่โค้งตัวกล่าวว่า “ข้าขอถามว่าเพราะเหตุใดได้หรือไม่”

“เหตุใดหรือ นี่ไม่ใช่คำถามของคนฉลาดที่ควรจะถาม”

ฮูหยินสวีจ้องมองใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ของเขา พร้อมเอ่ยว่า “เพราะวิชาการแพทย์ของอาจารย์เจ้าก็ไม่เลวนัก ทว่าก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา แต่ที่ตรงนี้คือจวนเทพขุนพล เจ้าก็คือหนุ่มน้อยจนๆ ที่สวมใส่เสื้อผ้าคร่ำครึ แต่บุตรสาวของข้าเป็นถึงคุณหนูของจวนเทพขุนพล ส่วนเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา ถึงอย่างไรเสียจวนเทพขุนมิควรให้คนธรรมดาเข้ามาย่างกราย ข้าพูดชัดเจนหรือไม่”

เฉินฉางเซิงกำหมัดแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สั่นเครือใดๆ “ชัดเจนยิ่งนัก”

ฮูหยินสวีจ้องที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา ตัดสินใจที่จะพูดกดดันเขาอีกครั้ง นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่ฉลาดหรือทะนงตนนั้นไม่สามารถทนกับสิ่งใดได้ รออีกนิด เขาจะต้องเป็นฝ่ายยกเลิกงานสมรสก่อนเป็นแน่

นางนำถ้วยน้ำชาวางไว้บนโต๊ะ แล้วยืดตัวลุกขึ้น พร้อมกับเอ่ยว่า “ชาที่อยู่ในถ้วยของเจ้านั้นคือชาผีเสื้อ แม้ใช้ถึงห้าสิบสองตำลึงซื้อได้เพียงแค่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น ถ้วยน้ำชานี้ทำออกมาจากเตาเผา มีราคากว่าทองเสียอีก ชาเย็นแล้ว เป็นเพราะว่าเจ้าไม่ดื่ม คงเพราะว่าเจ้าไม่มีวาสนาได้ดื่มชาถ้วยนี้เป็นแน่ เจ้าก็เป็นเพียงแค่รากหญ้าที่อยู่ในโคลนตม เจ้าหาใช่เครื่องลายครามไม่ แต่เจ้าคือเศษหิน อยากจะมาอยู่จวนนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าหรือ ข้าต้องขอโทษด้วย ถ้าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้ามีความสุข แต่ข้าหายินดีด้วยไม่”

สิ้นเสียงของฮูหยิน นางมิได้วางอำนาจบาตรใหญ่ เพียงแต่อยากจะเหยียบย่ำให้เขาจมดินเท่านั้น นางมิได้มีเจตนาวางตัวสูงส่ง แต่กลับเปรียบดังผู้อยู่บนฟ้าที่มองลงมาเห็นเพียงมดเท่านั้นเอง

ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับว่าได้ถ่ายทอดให้เฉินฉางเซิงอย่างครบถ้วน

นี่คือความอัปยศที่ได้เปิดเผยออกมา โดยเฉพาะประโยคที่เอ่ยว่า ‘อยากจะมาอยู่จวนนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงฐานะของเจ้าหรือ’ สำหรับหนุ่มน้อยที่ทะนงในตนแล้วนั้น ล้วนแต่รับไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ เพื่อที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่สูญหายไป คงจะมีเด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะโต้เถียงด้วยความโกรธแค้น หลังจากนั้นคงจะฉีกหนังสือสมรสออกเป็นสองส่วน แล้วโยนใส่หน้าของฮูหยินหรือแม้กระทั่งสบถน้ำลายสักสองที

และนั่นคงจะเป็นภาพที่นางอยากจะดูยิ่งนัก ถ้าไม่เป็นเพราะหนังสือสมรสฉบับนั้นมีความสำคัญ คงจะไม่เป็นอย่างเช่นวันนี้แน่ แต่นางก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ หรือจะให้นางสูญเสียสภาพจิตใจกระนั้นหรือ

ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีเสียงของสิ่งใดๆ

นางมองเฉินฉางเซิงอย่างเยือกเย็น รอคอยให้เด็กหนุ่มคนนี้แสดงความโกรธออกมา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กลับไม่เป็นดั่งที่นางคาดคิดไว้อย่างสิ้นเชิง

เฉินฉางเซิงจ้องที่ฮูหยินสวี เอ่ยอย่างสงบว่า “ที่จริงท่านเข้าใจผิดแล้ว เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อที่จะนำหนังสือสมรสให้กับพวกท่าน ตั้งใจจะมายกเลิกการสมรส”

ทั้งจวนเต็มไปด้วยความเงียบ

ลมพัดจากสวนเข้ามาในห้องโถง ด้านล่างของเฉลียงมีเสียงไม้ไผ่เก่าๆ พลิ้วไหวตามแรงลมส่งเสียงกระทบกัน

ฮูหยินประหลาดใจยิ่งนัก จึงได้ถามกลับไปว่า “เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่”

นางคงไม่รู้ว่าเสียงของตนเองนั้นสั่นสะท้านเพียงใด แต่ก็มีความโล่งใจในที เพราะเหตุบังเอิญครานี้ยากที่จะจินตนาการได้ ไม่ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะกลัวเสียหน้า จึงแกล้งพูดเช่นนั้น หรือว่าแท้จริงแล้วจะมายกเลิกการสมรส ล้วนเป็นสิ่งที่นางอยากเห็นทั้งสิ้น

เฉินฉางเซิงพูดกับนางอย่างจริงจังว่า “ความจริงแล้ว…ข้าต้องการมายกเลิกการสมรส”

ที่มุมของห้องนั้น หญิงรับใช้ชราที่สีหน้าไม่เคยมีความรู้สึกใดๆ ตอนนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนแปรไปแล้ว

อารมณ์ของฮูหยินสวียังมิเปลี่ยนใดๆ เพียงแค่เอามือทาบบนหน้าอกเบาๆ

ทั่วทั้งจวน ณ เวลานี้ ราวกับว่าเบาหวิว

แต่แล้วอารมณ์ของเฉินฉางเซิงก็กลับมาเคร่งขรึมทันที

เขาเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้…ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

สายลมของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ บรรยากาศกลับมาหดหู่ เงามืดค่อยๆ บดบังในห้องโถง ริ้วรอยที่อยู่บนใบหน้าของหญิงรับใช้ชราผู้นั้น ลึกดั่งร่องน้ำตามหุบเขานับไม่ถ้วนที่ถูกน้ำซัดถาโถมอย่างไม่ทันตั้งตัว

ทันใดนั้นฮูหยินสวีถึงรู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิดพลาดไป

นางไม่รู้ว่าความไม่สงบนี้มากดทับหัวใจนางได้อย่างไร นางปล่อยให้เสียงของตนเองอ่อนโยนลง แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อคิดได้เช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเอ่ยเช่นนั้นออกมา สู้ไม่…”

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้นางยิ่งตกตะลึงไปกว่าเดิมนั้น คงเป็นเพราะว่าหนุ่มน้อยคนนั้นไม่ได้อยู่ฟังนางกล่าวเสียแล้ว

เฉินฉางเซิงได้ก้มหยิบสัมภาระมาสะพายบนไหล่ แล้วเดินตรงออกจากห้องโถงไป