ตอนที่ 425
ไป๋จื่อพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าล้วนไม่มีทางปิดบังท่าน วางใจเถอะ!”
นางเห็นจ้าวหลานไม่ถามต่ออีก จึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูท่าจ้าวหลานจะปลุกนางขึ้นมากะทันหัน นางถึงได้กลับมาที่โลกนี้
น่าเสียดายนัก!
เพราะนางแน่ใจแล้วว่าหลินหยางเห็นนาง และหลินหยางกำลังวิ่งมาที่อาคารหลังใหญ่อย่างบ้าคลั่ง อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้น อีกแค่ชั่วขณะเดียว นางก็จะได้พบกับหลินหยาง บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง ให้เขาช่วยคิดวิเคราะห์เรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับนางให้กระจ่าง
นางอยากรู้ที่สุดว่าหากไป๋จื่อในยุคปัจจุบันตายแล้ว เช่นนั้นจะส่งผลกระทบถึงไป๋จื่อที่อยู่ในแคว้นฉู่หรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางล้วนไม่อยากกลับไปที่ยุคปัจจุบันอีก เพราะนางพอใจและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ยิ่งนัก
เมื่อหลับตาลงอีกครั้ง นางกลับไร้ความง่วงงุน จึงปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนฟ้าสาง
ค่ำคืนในวันพระจันทร์เต็มดวงผ่านไปอีกครั้ง พระจันทร์เต็มดวงครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือไม่
“เจ้าตื่นเช้าถึงเพียงนี้เลยรึ พวกนายช่างซ่งไปแล้ว ไม่ต้องทำอาหารเช้ามากมายขนาดนั้นอีก เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้” จ้าวหลานเห็นไป๋จื่อสวมเสื้อผ้ากำลังจะออกไป จึงรีบถาม
ไป๋จื่อหันไปมองจ้าวหลานหนหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ข้าชินแล้วเจ้าค่ะ ก็เลยว่าจะไปดูเมล็ดพันธุ์ที่แช่น้ำไว้เมื่อวาน ท่านนอนต่ออีกสักพักเถอะ ข้าจะทำอาหารเช้าเอง”
เมื่อคืนนี้จ้าวหลานนอนหลับไม่สนิท นางตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกกระหายน้ำมาก เดิมทีคิดจะลงจากเตียงไปดื่มน้ำสักคำ แต่กลับพบว่าบุตรสาวที่นอนอยู่ข้างๆ ตัวเย็นยะเยือกเหมือนกับคราวก่อน ทำเอานางตกใจจนสติกระเจิง จึงกอดเด็กสาวพร้อมกับร้องไห้ไปพลาง ร้องเรียกชื่อไป๋จื่อไปพลาง จนในที่สุดจื่อเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นมา
จ้าวหลานรู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก นางปล่อยให้บุตรสาวออกไปจากเรือน ส่วนตนเองพลิกตัวนอนต่ออีกสักพัก
ไป๋จื่อไปถึงเรือนด้านหน้า นำเมล็ดพันธุ์ที่แช่อยู่ในถังน้ำออกมาตรวจดู ในถุงใหญ่ใส่ถุงเล็กไว้มากมาย และในถุงเล็กแต่ละใบก็ใส่เมล็ดพัน์สมุนไพรที่ต่างกันเอาไว้
ตอนนี้ยังไม่นับว่าอากาศเย็น แช่น้ำในอุณหภูมิเช่นนี้สักสองวันจึงเพียงพอแล้ว
เสี่ยวเฟิงออกมาจากในเรือนเช่นกัน เขาเห็นนางนั่งยองอยู่ข้างๆ ถังน้ำในลานบ้าน จึงรีบเข้าไปถาม “กำลังทำอะไรอยู่หรือ อยากให้ข้าช่วยหรือไม่”
ไป๋จื่อนำเมล็ดพันธุ์ออกมาจากในน้ำ ก่อนจะยื่นให้เสี่ยวเฟิง “เจ้าถือไว้ ข้าจะไปเปลี่ยนน้ำในถัง”
ทว่าเสี่ยวเฟิงไม่รับเมล็ดพันธุ์ไว้ เขาเดินไปยกถังน้ำโดยตรง “ข้าเปลี่ยนน้ำเอง”
นางมองเขายกถังน้ำขึ้นสบายๆ พลางยิ้มว่า “ข้ามองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าแม้เจ้าจะผอมบางเช่นนี้ แต่มีแรงมากทีเดียว”
“ข้าฝึกกำลังได้จากตอนที่อยู่ในค่ายทหาร เมื่อก่อนข้าก็ไม่ค่อยมีแรงเท่าไรหรอก แต่เมื่อไปอยู่ที่ค่ายทหารแล้ว ไม่มีใครมาคอยดูแลเอาใจใส่เจ้า ยิ่งไม่มีทางให้เจ้าทำงานเล็กน้อยเพราะเจ้าเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมแห้งแน่นอน” เสี่ยวเฟิงกล่าว
ไป๋จื่อพลันนึกถึงหูเฟิง นางจึงถอนใจเสียงหนึ่ง “ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้หูเฟิงจะเป็นอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวเฟิงกล่าวยิ้มๆ “พี่หูสบายดี เขาเป็นคนเก่ง ไม่ช้าก็เร็วต้อง…”
“ชู่…” นางส่ายหน้าให้เขา “อย่าพูดไป เรื่องบางเรื่องยังพูดตอนนี้ไม่ได้”
เสี่ยวเฟิงก็รู้กัน เขาพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนไปที่ลานบ้านด้านหลัง หลังจากเสี่ยวเฟิงเปลี่ยนใส่น้ำสะอาดลงในถังแล้ว เขาก็เห็นว่าน้ำในโอ่งเหลือน้อยจนเห็นก้นแล้ว “สถานที่ตักน้ำอยู่ที่ใด ข้าจะไปตักน้ำมาสักหน่อย”
ไป๋จื่อโบกมือ “เจ้าไม่ต้องไปหรอก อีกเดี๋ยวพี่อู่จะไปตักให้ อีกอย่างเจ้าก็ไม่ชินทางด้วย” นางเองกลัวว่าเขาจะเหนื่อย เพราะเขาเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ จึงไม่อาจเหนื่อยเกินไปได้ โชคดีที่ตอนนี้เขาอายุยังน้อย ถ้าหากช้าไปมากกว่านี้ เมื่อมีอายุสามสี่สิบปีแล้ว หากอาหารกำเริบขึ้นมา ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงเกินจะคาดคิด ตอนนี้ยังมีโอกาสรักษาให้หายได้
ขอเพียงใช้ยาให้ถูกกับโรค รักษาและปรับสภาพร่างกายอย่างดี ถึงแม้จะไม่สามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้โดยสิ้นเชิง แต่ก็ทำให้เขาไม่เกิดอาการกำเริบอีก
……….
ตอนที่ 426 พลิกหน้าดิน
เสี่ยวเฟิงโบกมือ “ไม่ต้องรอเขามาหรอก ข้าทำงานนี้ได้ เจ้านำทางข้าไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
ไป๋จื่อยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงจ้าวหลานเรียกนางดังมาจากด้านหน้าแล้ว
เด็กสาวพลันบ่นพึมพำ ไม่ใช่ว่าบอกให้นางนอนต่ออีกสักหน่อยหรอกหรือ เหตุใดถึงตื่นแล้วล่ะ
นางหันกายเดินไปที่ด้านหน้า ส่วนเสี่ยวเฟิงรีบยกถังไม้ข้างโอ่งขึ้น แล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว
ในลานบ้านไม่ได้มีเพียงจ้าวหลาน ยังมีเจ้ารองกับจางซื่ออยู่ด้วย
“เหตุใดพวกเขาถึงมาที่นี่” ไป๋จื่อถามจ้าวหลาน
ในภาพจำของนาง จางซื่อไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางมาก่อน และไม่เคยให้เกียรตินางเท่าไรเช่นกัน อีกทั้งไม่เคยทำดีกับนางด้วย ทว่าเทียบกับหญิงชราและหลิวซื่อแล้ว นางยังนับว่าไว้หน้าทั้งสองคนอยู่บ้าง
จ้าวหลานกล่าว “พวกเขามีเรื่องอยากคุยด้วย เจ้าก็ฟังดูก่อนเถอะ”
เจ้ารองรู้สึกอายอยู่บ้าง ตอนนี้เขาหน้าแดงมาก จึงเอาแต่ก้มหน้าลงไม่กล้ามองไป๋จื่อ แต่จางซื่อกลับตรงไปตรงมามากกว่า นางยิ้มพลางก้าวมาข้างหน้า พูดกับไป๋จื่อว่า “จื่อยาโถว พักนี้ไม่ค่อยได้พบกัน เจ้าดูมีน้ำมีนวลขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ”
ไป๋จื่อยิ้มจางๆ “ท่านพูดเล่นแล้ว มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
จางซื่อเห็นนางไม่อยากพูดด้วยมาก ตนเองจึงไม่พูดมากความเช่นกัน เข้าประเด็นทันที “คืออย่างนี้ ข้ากับเจ้ารองได้ยินมาว่าเจ้ากำลังหาคนช่วยพลิกหน้าดินอยู่ใช่หรือไม่”
เด็กสาวพยักหน้า “แหล่งข่าวของพวกท่านกว้างขวางนัก เมื่อวานข้าเพิ่งกระจายข่าวไป วันนี้พวกท่านก็รู้แล้วหรือนี่”
อีกฝ่ายยิ้มแห้ง “จื่อยาโถว ขอไม่ปิดบังเจ้า พวกข้าบ้านรองแยกบ้านกับบ้านใหญ่แล้ว พวกเขาไม่แบ่งข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้ในฤดูนี้ให้พวกข้าเลย ยามแยกบ้านก็แบ่งเงินให้พวกข้าเพียงสามสิบเหรียญทองแดง สถานการณ์ของพวกข้าจึงย่ำแย่ไม่ต่างจากพวกเจ้าในตอนนั้น ทว่าข้าไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าพวกเจ้า หาลู่ทางหาเงินไม่ได้ ทุกวันนี้จึงแทบจะกินข้าวไม่อิ่มอยู่แล้ว”
ไป๋จื่อเข้าใจโดยพลัน “ท่านจึงจะรับงานพลิกหน้าดินอย่างนั้นสินะ” สายตาของนางมองไปยังเจ้ารอง ในความทรงจำของนาง เจ้ารองไม่เคยทำงานพลิกหน้าดินมาก่อน ในอดีตล้วนมีแต่จ้าวหลานเป็นคนทำ หากค้นหาดูทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว เห็นทีจะมีเพียงสกุลไป๋เท่านั้นที่ให้สตรีลงมือพลิกหน้าดิน
“ท่านทำเป็นใช่หรือไม่” นางยิ้มถาม
เจ้ารองยิ่งหน้าแดงกว่าเก่า เขาตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เป็น ข้าเคยทำเมื่อหลายปีก่อน แม้ต่อมาจะไม่ได้ทำแล้ว แต่หากจะต้องทำจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก” หลังจากเจ้าสามตาย เขาเคยพลิกหน้าดินอยู่ครั้งหนึ่ง ส่วนพี่ใหญ่ของเขาไม่เคยทำเลยแม้สักครั้ง และหลังจากนั้นจ้าวหลานล้วนเป็นคนทำทุกครั้งไป
“พวกท่านก็รู้ว่าคนที่อยากรับงานนี้มีมากมาย ไยข้าถึงต้องเลือกพวกท่านด้วย” ไป๋จื่อเลิกคิ้วมองจางซื่อและเจ้ารอง ถึงทั้งสองคนจะไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางจนเกินไปเหมือนหญิงชราและหลิวซื่อ แต่หลายปีมานี้พวกเขาก็ไม่เคยพูดจาดีๆ ต่อหน้าพวกนางสองแม่ลูกเลย ตอนที่พวกนางสองคนเหนื่อยล้าจนเกือบตาย พวกเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากยื่นมือเข้าช่วย ตอนนี้จะให้นางช่วยพวกเขาอย่างนั้นหรือ ด้วยเหตุผลอะไรกันเล่า!
จางซื่อเห็นไป๋จื่อมีสีหน้าเย็นชา ในใจนางก็เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “จื่อยาโถว ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นพวกข้า ข้าเองก็ไม่หวังให้เจ้าให้อภัยข้าหรอกนะ ทว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกข้าอดอยากปากแห้ง ขอเจ้าเห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยแม่เจ้าไว้ในปีนั้น ช่วยพวกข้าสักหนเถอะ”
ไป๋จื่อมองไปทางจ้าวหลาน อีกฝ่ายพยักหน้าให้นาง “ถูกต้อง ปีนั้นนางเคยช่วยพวกเราไว้จริงๆ” ปีนั้นเจ้าสามเพิ่งจากไปได้ไม่ถึงสามเดือน หญิงชรากับจ้าวหลานก็ปรึกษากันว่าต้องการขายจื่อเอ๋อร์ จางซื่อลอบนำเรื่องนี้มาบอกนาง นางถึงได้มีโอกาสไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าหมู่บ้าน และปกป้องจื่อเอ๋อร์ไว้ได้
เด็กสาวเห็นมารดาพยักหน้าให้เช่นนั้น ก็ไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าไป๋จื่อก็ไม่ใช่คนลืมบุญคุณคน งานพลิกหน้าดินนี้ข้าคิดราคาต่อหนึ่งหมู่ พลิกหน้าดินหนึ่งหมู่จะได้สองเฉียน เดิมทีข้าคิดจะหาคนมาทำสักสามคน หนึ่งคนทำหนึ่งหมู่ พวกนี้พวกท่านกำลังลำบาก เช่นนั้นข้าจะให้พวกท่านเป็นคนพลิกหน้าดินทั้งหมดสามหมู่”