ตอนที่ 651 โลกลอยเลื่อน

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ในช่วงห้าหกเดือนถัดมา ชื่อซีและผานกงสั่วไม่ได้ก่อเรื่องอะไร ชื่อซีริเริ่มที่จะปรากฏตัวและคารวะทักทายกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก่อน แม้ว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ไม่หลบเลี่ยงการพบปะ ชื่อซีมองไม่ออกว่าเขาเสแสร้งหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยับยั้งชั่งใจเอาไว้และเพียงแต่ขับเรือเขียวขจีนี้ตรงไปยังโลกลอยเลื่อน

เรือเหาะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก็ในเมื่อปีกทั้งหกหักไปทั้งหมด ความเร็วของมันจึงลดทอนลงไปอย่างมาก ชื่อซีใช้ปีกอีกาของเทพอีกาไฟเพื่อทดแทนปีกเดิม ดังนั้นความเร็วที่ดำเนินไปนั้นจึงช้าลงมากเมื่อเทียบกับปีกเดิม แม้ว่าพวกเขาจะล่าช้าไป แต่เวลาที่ใช้ก็ยังคงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้มากนัก

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ นอกจากฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวแล้ว ฉินมู่ก็ต่อสู้กับผานกงสั่ว และทดสอบวิชาบู๊สามเศียรหกกร

ผานกงสั่วฝึกปรือวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลอันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนนั้น ฉินมู่สามารถใช้เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้ผานกงสั่วบาดเจ็บสาหัสได้ ดังนั้นเขาจึงดูแคลนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของแสงฉาน แต่ทว่า หลังจากที่เห็นชื่อซีและเทพครองดาวมหาตะวันต่อสู้กัน เขาก็เริ่มจะมีความสนใจในสามเศียรหกกร

ผานกงสั่วหวาดกลัวฉินมู่อย่างลึกล้ำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธทันทีที่ถูกร้องขอให้มาประลองกัน แต่ทว่า เขาก็ต้องประลองกับฉินมู่อย่างเสียไม่ได้ หลังจากถูกซ้อมเสียยับเยินไปรอบหนึ่ง

ระหว่างการฝึกสู้ประลอง ปฏิภาณความเข้าใจของผานกงสั่วต่อวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลก็เพิ่มพูนขึ้นมากไปทุกทีๆ ความหวังอันโลดโผนพลันจุดติดขึ้นมาในหัวใจของเขา และเขาครุ่นคิดในใจ ในเมื่อวรยุทธของข้าเพิ่มพูนเร็วขนาดนี้ ข้าก็จะต้องสังหารไอ้เด็กแซ่ฉินนี่ได้ หากว่าลงมือด้วยกระบวนท่าพิฆาต!

เมื่อเขาลองใช้กระบวนท่าพิฆาตออกไปเพื่อกำจัดฉินมู่ เขาก็ลงเอยด้วยการนอนแซ่วอยู่กับเตียงไปสิบกว่าวัน

หลังจากผานกงสั่วหายจากการบาดเจ็บ เขาก็ไม่ยอมฝึกปรือกับฉินมู่อีกไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉินมู่จะสบถสาบานว่าจะไม่มือหนักกับเขาขนาดนั้นอีก

ฉินมู่จนปัญญา ในท้ายที่สุด เขาจึงให้หลิงอวี้จิวไปสู้ประลองกับผานกงสั่ว ส่วนเขาก็ยืนมองจากข้างๆ

หลิงอวี้จิวฝึกปรือวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะระดับบัลลังก์จักรพรรดิ แม้ว่านางจะไม่ใช่มังกร แต่ในเมื่อนางได้ฝึกปรือวิชาเก้ามังกรราชันย์มาตั้งแต่ยังเด็ก ความก้าวหน้าของนางก็รวดเร็วดุจเทพยดา

ยิ่งไปกว่านั้น อธิการบดีป้าซานยังได้ชี้หนทางมรรคาแห่งเวทมนตร์ และหลิงอวี้จิวก็รุดหน้าไปอย่างดุเดือดราวกับมังกร นางได้ฝึกปรือจนกระทั่งทั้งร่างกายมีพละกำลังเถื่อนประดุจมังกรร้าย

กำลังฝีมือของนางทัดเทียมกับผานกงสั่ว พละกำลังและทักษะเทวะของนางก็เหนือล้ำไปกว่าเขา แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงในกายเนื้อของนางไม่อาจเทียบได้กับสามเศียรหกกรแห่งวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหล

ในวันนั้น จู่ๆ ผานกงสั่วก็พลันทลายฝ่าขั้นวรยุทธ เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะเป็นตาย หลิงอวี้จิวก็มิใช่คู่ต่อสู้และพ่ายแพ้ไปทันที

ผานกงสั่วกระหยิ่มใจและมองไปยังฉินมู่ ความมั่นใจเหลือล้นของเขาพลันพวยพุ่งออกมาจากหัวใจอีกครั้ง ข้าได้ทลายฝ่าขั้นเป็นตายมาแล้ว และเขาก็อยู่เพียงแค่ขั้นเจ็ดดาว ดังนั้นก็คงง่ายที่จะสังหารเขา! ข้าอยากได้ศพของเขา ให้มาคุกเข่าโขกศีรษะต่อหน้าข้า…แต่ในเมื่อมีบรรพชนแรกคอยพิทักษ์เขาเอาไว้ มันคงไม่ง่ายนัก…

ในตอนนั้นเอง ชื่อซีก็กล่าวอย่างกระสับกระส่าย “พวกเราเกือบจะถึงโลกลอยเลื่อนแล้ว!”

ฉินมู่และหลิงอวี้จิวมายังป่าที่หัวเรือด้วยความรีบเร่ง เขามองออกไป แต่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง บรรพชนแรกก็มองไปยังที่ไกลๆ แต่ก็มองไม่เห็นอะไรเช่นกัน

ระหว่างวันเวลาเหล่านี้ ฉินมู่ได้รักษาเยียวยาเขา และสีหน้าของเขาก็ดีขึ้นมาก แต่ทว่าความเหนื่อยล้าแห้งเหือดจากการใช้สามท่วงท่าคว่ำฟ้าดินนั้นหนักหนาสาหัสจนเกินไป สีหน้าของเขาจึงยังดูเผือดและป่วยไข้

ทันใดนั้น เรืออันพังแหล่มิพังแหล่ก็สั่นสะเทือน ชื่อซีรีดเร้นพลังวัตรทั้งหมดของเขาเพื่อขับเคลื่อนและควบคุมเรือ ป้องกันไม่ให้มันแตกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ

ฉินมู่มองออกไปอีกครั้ง และพบว่าบริเวณโดยรอบยังคงมืดมิด มองไม่เห็นอะไรสักสิ่ง เขาไม่รู้ว่าอะไรกันที่ทำให้เรือเหาะเขย่าสั่น และนี่ก็ทำให้เขาพิศวงเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างที่เขาคิดใคร่ครวญอยู่นั่นเอง เขาก็สังเกตพบว่าเรือเหาะได้กลายเป็นบางเรียวมากขึ้นทุกที

ไม่เพียงแต่เรือเหาะจะบางเรียว มันยังคงยาวเหยียด ในตอนนี้เรือเหาะดูราวกับเส้นผมที่ยาวหนึ่งพันลี้!

ที่หัวเรือนั้นเรือเคลื่อนที่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความเร็วไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นมากมายที่ท้ายเรือ ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ตระหนักว่าพวกเขากำลังถูกดูดเข้าไปในรูอวกาศ!

รูนั้นไร้รอยตา และดูกลืนไปกับความมืดรอบๆ พวกเขา จึงมองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย!

ชิ่ววว

เรือเหาะ พร้อมกับผู้โดยสารของมัน ถูกหลุมดูดกลืนเข้าไป อวกาศในความมืดเหมือนกับน้ำต้มปลาที่ทิ้งไว้ให้เย็นจนจับตัวเป็นวุ้น มันกระเด้งกระดอนสองคราก่อนจะกลับมานิ่งสนิท ในเวลาเดียวกันนั้น เรือที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้มากมาย ก็หายวับไปโดยสิ้นเชิง

หลังจากมุดเข้าไปในรูอันมืดมิดและหลบซ่อน เรือเหาะก็กลับมาเป็นปกติ

บนเรือ สายตาของทุกๆ คนพลันปะทะเข้ากับภาพอันเต็มไปด้วยแสงหลากสี สีสันมากมายลอยผ่านพวกเขาไป และดูราวกับว่าพวกเรากำลังแล่นลอยผ่านเขาวงกตอันก่อขึ้นมาจากสีสันนับร้อยหมื่น ชื่อซีควบคุมเรืออย่างกระสับกระส่าย และไม่กล้าหย่อนยานเลยแม้แต่นิด

“ที่นี่คืออะไร”

ฉินมู่ฉงนฉงาย แสงในบริเวณโดยรอบของพวกเขาให้ความรู้สึกอันตราย และดูเหมือนว่าหากเขาเข้าไปแตะมันเข้าก็คงจะตายดวงวิญญาณแตกสลาย

“นี่คือสถานที่ที่จักรพรรดิแดงฉานรุ่นแรกค้นพบ หลังจากจักรพรรดิแดงฉานเข้ามาที่นี่ เขาก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกแม้ผ่านไปหลายพันปี เทพเจ้าทั้งหมดที่ตามหาค้นหาในสถานที่นี้ก็ไม่ได้รอดชีวิตกลับไปเช่นกัน และยุคสมัยแสงฉานก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งความโกลาหล ร่ำลือกันว่ามีหลายกลุ่มที่แข่งขันแย่งชิงอำนาจนำ และเทพเจ้าหลายตนก็หมายตาตำแหน่งจักรพรรดิ พวกเขาสถาปนารัชสมัยจอมปลอมขึ้นมา และเทพเจ้าทั้งหลายก็เข้าไปครอบครองแว่นแคว้นต่างๆ ทั้งโลกตกอยู่ในความปั่นป่วน”

ชื่อซีกล่าว “ในท้ายที่สุด ยอดฝีมือพรสวรรค์ล้ำเลิศผู้หนึ่งจากเชื้อสายจักรพรรดิแดงฉาน ก็ได้ล้มล้างรัชสมัยจอมปลอมและก่อสร้างรัชสมัยเทวะแสงฉานขึ้นมาใหม่ ไม่ช้าไม่นานเขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิแสง ช่วงเวลาที่จักรพรรดิแดงฉานปกครองนั้นเรียกว่าจักรพรรดิตะวันตก และช่วงเวลาที่จักรพรรดิแสงปกครองนั้นเรียกว่าจักรพรรดิตะวันออก เมื่อจักรพรรดิแสงเซ่นไหว้บรรพชน เขาก็ตั้งพิธีอันยิ่งใหญ่ และเขาก็รับสัมผัสได้ถึงสายบางๆ แห่งสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉานที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล ทำให้เขารู้เส้นทางมายังสถานที่แห่งนี้ โอรสเทพได้นำพาซากทัพที่เหลือรอดแห่งยุคสมัยแสงฉานของพวกข้ามาที่นี่เพื่อซ่อนจากภยันตราย และเวลาก็ผ่านไปสามสิบห้าหมื่นปีนับแต่นั้น”

ฉินมู่ หลิงอวี้จิว และคนอื่นๆ รับฟังอย่างจดจ่อ ระหว่างช่วงเวลาที่แสงฉานตะวันออกได้เข้าไปทดแทนแสงฉานตะวันตก วีรบุรุษทั้งหลายในโลกหล้าคงจะออกมาต่อสู้แข่งขันชิงอำนาจ และเวลานั้นคงเต็มไปด้วยดวงดาวสุกสกาวที่เจิดจ้าตระการเป็นพิเศษ

“น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น ข้าอยากที่จะพบปะกับวีรชนในยุคสมัยนั้นเสียจริง” ฉินมู่กล่าวพลางถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

ดวงตาทั้งหกของชื่อซีมองไปที่เขา และยิ้มหยัน “เจ้าไปเกิดในยุคนั้นก็เปล่าประโยชน์ จักรพรรดิแสงเป็นบุตรแห่งโชคชะตา และบุตรแห่งโชคชะตาก็มีแต่จะบดขยี้เจ้า!”

“บุตรแห่งโชคชะตา? คนผู้นั้นถือครองโชคชะตาอย่างนั้นหรือ”

ฉินมู่สะท้านหัวใจเล็กน้อย “หรือว่าโอรสเทพแสงฉานก็เป็นบุตรแห่งโชคชะตาด้วย”

ชื่อซีไม่ตอบ พวกเขาพลันไปถึงปลายสุดทางวงกตแสง แผ่นปฐพีกว้างใหญ่พลันปรากฏตรงหน้าพวกเขา มันลอยล่องอยู่ท่ามกลางแสงหลากสี ที่เหนือท้องฟ้า ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวประปรายจำนวนหนึ่งปรากฏให้เห็นอยู่

ฉินมู่กวาดตามองรอบๆ และเห็นว่าแผ่นปฐพีนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงทั้งหมด โลกภายนอกมิอาจมองเห็นได้ และก็ไม่มีดวงดาวอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

สถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง สมแล้วกับที่มันถูกเรียกว่าโลกลอยเลื่อน!

เรือเหาะที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ก็แล่นไปยังใจกลางของแผ่นปฐพีนี้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวอย่างอ่อนแรง “มู่เอ๋อ ดูที่ดวงตะวัน”

ฉินมู่หัวใจหวั่นไหวเล็กน้อย เขาเรียกข้าว่ามู่เอ๋อ หรือเขาวางแผนจะตีสนิทกับข้า ฮึ่ม ข้ายังไม่ให้อภัยเจ้าหรอก… แม้ว่าเขาคิดเช่นนั้น แต่เขาก็หักใจเกลียดบรรพชนแรกไม่ลง

เขามองไปยังดวงอาทิตย์ในโลกลอยเลื่อน และเขาก็ตะลึงไปกับสิ่งที่เขาเห็น มันมีดวงอาทิตย์สามดวง และพวกมันก็ล้วนแต่ใหญ่มหึมา แต่ทว่า แสงที่มันส่องออกมานั้นดูค่อนข้างประหลาด พวกมันดูเหมือนรังสีเทวะ และมันมีวงจรพยุหะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ในดวงตะวัน พวกมันดูเหมือนกับแก้วตาเสียมากกว่า

“โครงสร้างพยุหะ?”

ฉินมู่ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก “ดวงอาทิตย์พวกนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์?”

บรรพชนแรกส่ายหัว “พวกมันคือดวงตา”

ฉินมู่หัวใจโลดเต้น และเขาร้องออกมาอีกครั้ง “ดวงตาของจักรพรรดิแดงฉาน? เจ้าหมายความว่าหลังจากที่จักรพรรดิแดงฉานตายไป ดวงตาของเขาก็กลายเป็นดวงอาทิตย์พวกนี้หรือ”

“และดวงจันทร์ก็ด้วย”

บรรพชนแรกยกมืออันอ่อนระโหยชี้ไปยังดวงจันทร์อันสุกสว่างบนท้องฟ้า “ดวงจันทร์ที่นี่ก็แปรเปลี่ยนมาจากดวงตาของเขา ขณะที่ดวงดาวอันประปรายพวกนี้คือสมบัติเทวะห้าธาตุของจักรพรรดิแดงฉาน จักรพรรดิแดงฉานคงจะสิ้นชีวิตที่นี่ และร่างกายของเขาทอดลงไปบนแผ่นปฐพีผืนใหญ่ กลายเป็นพื้นดิน โลหิตของเขากลายเป็นแม่น้ำ และทะเลปราณก็กลายเป็นมหาสมุทร”

ฉินมู่ทึ่งเสียจนพึมพำออกมา “จักรพรรดิแดงฉานได้ใช้กายเนื้อของเขาเพื่อสร้างโลกลอยเลื่อน มอบสถานที่ลงหลักปักฐานให้แก่ลูกหลาน จักรพรรดิแดงฉานผู้นี้น่านับถือจริงๆ…”

ไม่นานนัก แม่ทัพเทพเจ้าที่มีสามเศียรหกกรก็เหาะขึ้นมาตรวจสอบพวกเขา เมื่อเขาเห็นชื่อซี ก็คารวะทักทายทันที “ใต้เท้า หลังจากที่ท่านออกไปจากโลกลอยเลื่อนเพื่อเสาะหาข่าวสาร ท่านก็ไม่ได้กลับมาเป็นเวลาหลายพันปี จนโอรสเทพท้อถอยกำลังใจ และบัดนี้เมื่อท่านกลับมาอีกครั้ง โอรสเทพจะต้องปลาบปลื้มยินดีอย่างแน่นอน!”

ชื่อซีซาบซึ้งใจ “การเดินทางของข้าในคราวนี้เต็มไปด้วยภยันตราย แต่ข้าก็รอดชีวิตกลับมาได้ในที่สุด แต่ทว่าสหายร่วมเผ่าทั้งหลายที่ติดตามข้าไป ล้วนแต่ประสบเคราะห์ภัย ขอให้โอรสเทพโปรดลงโทษข้าด้วย”

ฉินมู่รู้สึกสับสน นี่ไม่เหมือนที่ชื่อซีมักจะทำเลย เพชฌฆาตแห่งยุคแสงฉานผู้นี้มักจะมองผู้อื่นด้วยสายตาเย็นชา แต่เมื่อมาถึงโอรสเทพแสงฉาน กลับเผยความเคารพที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ

หรือว่าโอรสเทพแสงฉานผู้นี้จะเป็นตัวตนที่ทำให้ผู้คนยินยอมพร้อมใจติดตามเขาเหมือนกับจักรพรรดิแดงฉานและจักรพรรดิแสง เขาคิดในใจและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกับการพบเจอโอรสเทพแสงฉาน

เรือเหาะมาจอดที่เมืองเทพยดาอันมีแบบแผนอันเหนือธรรมดา และชื่อซีก็ลงไปจากเรือโดยพลัน เขานั้นกำลังจะมุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อรายงานแก่โอรสเทพแสงฉาน แต่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ เขาหันไปหาแม่ทัพเทพสามเศียรหกกรและกล่าว “ผู้คนเหล่านี้คือคณะทูตจากสันตินิรันดร์ พวกเขามาที่นี่เพื่อถวายความเคารพแก่โอรสเทพ และปรึกษาหารือเรื่องการเป็นพันธมิตรของพวกเรา จัดเตรียมที่พักให้พวกเขาก่อน และให้พวกเขาพักผ่อนหย่อนใจระหว่างที่รอโอรสเทพเรียกเข้าพบ นี่คือผานกงสั่ว เป็นศิษย์ที่ข้ารับมา เขาจะอาศัยอยู่ในวังของข้า”

แม่ทัพเทพรับคำและกล่าว “ทูตทั้งหลาย โปรดตามข้ามา”

ฉินมู่ หลิงอวี้จิว บรรพชนแรก และผานกงสั่วติดตามแม่ทัพเทพผู้นี้เข้าไปในเมืองเทพยดา พวกเขามองไปรอบๆ เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง ผู้คนที่นี่มีสามหัวหกแขน และบางคนถึงกับมีดวงตาเก้าดวงอันเกิดจากการที่ฝึกปรือดวงตาที่สามอันอยู่ใจกลางระหว่างคิ้ว นี่ก็เพราะว่าวิชาฝึกปรือของพวกเขาแตกต่างออกไป

และยังมีสัตว์พิสดารต่างๆ นานาด้วยเช่นกัน สัตว์พิสดารเหล่านี้ก็มีสามหัวแปดขา ผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีฐานะสูงส่งจะขี่ไปบนสัตว์พิสดาร เดินทางไปมาบนถนน!

“ขนาดวิชาฝึกปรือของสัตว์พิสดารก็ยังคล้ายคลึงกับวิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลของผู้สูงศักดิ์!”

หลิงอวี้จิวมองไปยังแมวเสือดาวที่นั่งอยู่บนหลังคา แมวตัวนี้มีร่างกายขนาดเท่ากับเสือ และมีหัวสามหัวที่งอกออกมาข้างๆ นางอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ “อารยธรรมของยุคสมัยแสงฉานดูราวกับว่าจะก่อสร้างขึ้นมาบนรากฐานของการมีสามเศียรหกกร นี่มันเกินจินตนาการจริงๆ!”

พวกเขาไปยังใจกลางของเมืองจักรพรรดิ และก็พบว่ามีเมืองซ้อนอยู่ในเมืองอีกที กำแพงเมืองนี้สร้างขึ้นจากทองคำสีม่วง และก็มีปราสาทราชวังเป็นพันๆ อยู่ข้างใน พวกมันล้วนแต่ยิ่งใหญ่ตระการตา นอกเมืองนี้น่าจะเป็นสถานที่พำนักของเทพเจ้า และมันก็ยังมีปราสาทซ้อนปราสาท

แม่ทัพเทพนำพวกเขาไปยังอุทยานหน้าโถงวังแห่งหนึ่ง และเขากล่าว “คณะทูตแห่งสันตินิรันดร์ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ในระหว่างนี้ โอรสเทพจะเรียกพวกเจ้าเข้าพบในเวลาไม่นาน”

เมื่อแม่ทัพเทพจากไป ฉินมู่ก็มองไปรอบๆ เขาได้ยินเสียงท่องสาธยายจากโถงวังใกล้ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินไปดู การตกแต่งภายในของโถงวังนี้หรูหราเป็นอย่างยิ่ง และมันดูเหมือนกับจะเป็นโรงเรียนเอกชนของเทพจากชนชั้นสูง มีเด็กๆ ที่มีสามเศียรหกกรนั่งอยู่ในโถง อ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับครู

พวกเขามีปากสามปาก และเสียงของพวกเขาก็สดใสกังวานกับหูของฉินมู่ “สามสวรรค์แห่งหลงฮั่น แสงฉานแยกเป็นสอง! เหนือและใต้ก่อเกิดจักรพรรดิสูงส่ง หนึ่งรุ่นในจักรพรรดิก่อตั้ง!”