ตอนที่ 134 ปรึกษา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 134 ปรึกษา

เมื่อฮ่องเต้ดำริได้เยี่ยงนั้นก็เป็นเหตุให้สายพระเนตรเปลี่ยนไปเล็กน้อยและตรัสถามมู่จวินฮานอีกครั้ง “เจ้ามิชอบคุณหนูใหญ่อันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ถึงขั้นยอมรับโทษเพราะต้องการถอนหมั้นกับนางให้ได้”

ใบหน้าของมู่จวินฮานดูอึดอัดเล็กน้อย แต่แล้วก็เก็บความรู้สึกไว้อย่างรวดเร็วราวกับเมื่อกล่าวถึงอันหลิงเกอก็รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเคยทำความเข้าใจในตัวคุณหนูใหญ่อันแล้ว ทว่าหลายครั้งที่พบกันก็ทะเลาะตลอด บางทีกระหม่อมกับคุณหนูใหญ่อันอาจไร้วาสนาต่อกันก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กหนุ่มมักไร้เดียงสาและอารมณ์ร้อนเยี่ยงนี้เสมอ

ฮ่องเต้ก้มพระพักตร์เพื่อทอดพระเนตรมู่จวินฮาน

มู่จวินฮานเกิดมามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกสง่างามกล้าหาญ คิ้วคมเข้ม ดวงตาเฉียบคมล้ำลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงระเรื่อ มิมีส่วนใดในร่างกายที่มิงดงาม

เดิมทีเด็กหนุ่มเยี่ยงนี้ควรใช้ชีวิตขี่ม้ายิงธนูอยู่ที่ม่อเป่ย มิใช่อยู่ในเมืองหลวงเป็นคุณชายขี่ม้าชมบุปผาเช่นนี้

น่าเสียดายที่อ๋องมู่กุมอำนาจทหารกว่าแสนนาย หากพระองค์ส่งมู่จวินฮานออกไปเฝ้าชายแดนที่ม่อเป่ยก็รอเวลามอบอำนาจทหารทั้งหมดของต้าโจวให้อ๋องมู่ได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นคงได้แต่กะพริบตามองอำนาจของอ๋องอยู่เหนือฮ่องเต้ได้เลย

ทว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็มิใช่หมดหนทางเสียทีเดียว

เพียงครู่เดียวภายในหทัยของฮ่องเต้ก็มีความคิดมากมายผุดขึ้นมา

ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็แย้มพระโอษฐ์และทำท่าทางมีเมตตาดังเดิม “ดูเหมือนเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็คงโน้มน้าวใจเจ้ามิได้”

มู่จวินฮานได้แต่ก้มหน้ามิพูดมิจา

ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัยออกมายาวเหยียด “เจ้าได้รับความรักจากไทเฮามาตั้งแต่เด็ก ข้าก็เห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็กเช่นกัน บัดนี้เจ้ามิพอใจเรื่องคู่ครอง ข้าจักมิฝืนใจอยู่แล้ว ทว่าตัวข้าเป็นโอรสสวรรค์ตรัสแล้วมิอาจคืนคำ ราชโองการที่ประกาศออกไปแล้วคิดถอนกลับ มีแต่ต้องให้เจ้าออกตัวรับโทษก่อนเพียงเท่านั้น”

“ฝ่าบาทมีวิธีอันใดก็ตรัสได้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพร้อมทำตามทุกอย่าง”

มู่จวินฮานเงยหน้า ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนไปด้วยความปีติยินดี

ท่าทางเยี่ยงนี้ทำให้ความระแวงสุดท้ายของฮ่องเต้มลายหายไปและวางพระทัยได้อย่างแท้จริง

“การที่เจ้าจักถอนหมั้นกับคุณหนูใหญ่อันก็ต้องมีเหตุผลสักข้อที่เหมาะสม เมื่อครู่ข้าลองคิดแล้วก็มีเพียงเรื่องเดียวที่เหมาะใช้เป็นเหตุผลที่สุด” ฮ่องเต้เสด็จออกจากโต๊ะทรงพระอักษร ปลายของฉลองพระองค์มังกรสีทองสะท้อนสู่สายตาของมู่จวินฮาน

ฮ่องเต้เอื้อมพระหัตถ์มาช่วยประคองมู่จวินฮานให้ลุกขึ้นแล้วตรัสว่า “อ๋องมู่ควบคุมทหารนับแสนที่ม่อเป่ย บัดนี้เจ้าก็โตพอและกำลังกลายเป็นผู้ใหญ่แต่ยังมิเคยเข้าสู่สนามรบสักครั้ง ต่อไปจักสืบทอดตำแหน่งของบิดาเพื่อสังหารศัตรูได้เยี่ยงไร?”

ภายในใจของมู่จวินฮานมีเสียงดังกึกก้อง แต่เขาก็คล้อยตามฮ่องเต้ “ฝ่าบาทประสงค์ให้กระหม่อมนำทหารออกรบที่ม่อเป่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ถูกต้อง” ฮ่องเต้พยักดวงพักตร์ “แต่ข้ามิยกกองทัพใหญ่ให้เจ้าทั้งหมด จักแต่งตั้งเจ้าเป็นรองแม่ทัพ ขัดเกลานิสัยของเจ้าให้ได้คุ้นชินกับการทำศึกเอาไว้ ต่อไปข้าถึงจักยกม่อเป่ยให้เจ้าดูแลได้อย่างวางใจ”

นัยยะของฮ่องเต้กำลังบอกว่าไว้วางพระทัยในตัวมู่จวินฮานเพราะหากส่งตัวมู่จวินฮานไปยังม่อเป่ยแล้ว อำนาจของอ๋องมู่ที่ม่อเป่ยก็ตกอยู่ในมือของบุตรชายแทน

เด็กหนุ่มที่ยังมิถึงวัยผู้ใหญ่และยังมิเคยออกรบมาก่อน ต้องคุมอำนาจกำกับทหารนับแสนและยังเป็นแค่รองแม่ทัพ ผู้ใดจักยอมอยู่ใต้บัญชาของเขา?

เมื่อถึงเวลานั้น พระองค์ก็จักแต่งตั้งคนของพระองค์เป็นแม่ทัพและส่งผู้บัญชาการไปอีกนายเพื่อยั่วยุทหารเหล่านั้น ปลุกระดมความมิพอใจต่ออ๋องมู่ ในเวลาเดียวกันก็สร้างสถานการณ์ปลอบประโลมทหาร ผ่านไปมิถึง 2 ปี ทหารนับแสนนายก็จักภักดีต่อแม่ทัพที่พระองค์ส่งไป

ฮ่องเต้วางแผนไว้ยาวไกลยิ่งนัก ทว่าสิ่งที่พระองค์คาดมิถึงคือมู่จวินฮานมิใช่เด็กหนุ่มทั่วไป เขาทั้งฉลาดและมีพรสวรรค์ อีกทั้งเขาสามารถทำให้ทหารที่ม่อเป่ยทั้งหมดยอมรับได้ทั้งกายใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังสังหารศัตรูจนได้รับฉายา ‘เทพสงครามหน้าหยก’ มาครอง

ทว่ามันเป็นเรื่องราวต่อจากนี้ เราจักยังมิกล่าวถึง

มู่จวินฮานย่อมเดาความคิดของฮ่องเต้ออก ทว่าใบหน้าของเขาแสร้งเผยความสงสัยออกมา “ทูลฝ่าบาท อำนาจทหารม่อเป่ยอยู่ในมือท่านพ่อมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทให้กระหม่อมไปม่อเป่ย…”

“อ๋องมู่อายุมากแล้ว ช่วงหลายปีนี้ก็อยู่แต่เมืองหลวง ส่วนเจ้ามีฐานะเป็นซื่อจื่อของจวนอ๋องมู่ เดิมทีควรสืบทอดตำแหน่งบิดาอยู่แล้ว หรือเจ้ามิอยากทำ ? ”

ฮ่องเต้ตรัสพร้อมพระพักตร์ที่เข้มขึ้น ท่าทางเคร่งขรึมพอสมควร

เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น มู่จวินฮานก็รีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที “มิใช่ว่ากระหม่อมมิอยากทำพ่ะย่ะค่ะ แต่หากกระหม่อมทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง ปกป้องม่อเป่ยมิสำเร็จ แม้ตายสักหมื่นหน กระหม่อมก็มิอาจชดใช้ความผิดนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฮ่องเต้ส่งเสียงพระสรวลออกมาดังลั่น พระพักตร์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและกลับมามีเมตตา ในขณะเดียวกันก็เอื้อมพระหัตถ์มาตบไหล่มู่จวินฮาน “วางใจได้ ข้าให้เจ้าไปเป็นแค่รองแม่ทัพ เมื่อถึงเวลาข้าจักส่งแม่ทัพที่เก่งกาจและผู้บัญชาการไปสมทบเพื่อช่วยแนะนำเจ้าในเรื่องต่าง ๆ เจ้ามิต้องกังวลหรอก”

เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

มู่จวินฮานเผยแววตาเข้าใจออกมาเล็กน้อย

หากบอกว่าเมื่อครู่เขาเพียงคาดเดา ตอนนี้มู่จวินฮานก็มั่นใจในความคิดของฮ่องเต้แล้ว

ฮ่องเต้คิดส่งตัวเขาไปที่ม่อเป่ยแล้วเรียกตัวคนของฟู่หวางกลับมาด้วยเหตุผลที่ชอบธรรม หลังรอให้ตัวเขาเข้ากองทัพแล้ว พระองค์ก็จักหาแม่ทัพมาควบคุมเขาอีกที ต่อจากนั้นมินานทหารนับแสนนายที่ม่อเป่ยก็จักตกอยู่ในพระหัตถ์

สำหรับฮ่องเต้ เรื่องนี้คือโอกาส สำหรับมู่จวินฮานแล้ว มันถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง

มู่จวินฮานทำเพียงพยักหน้ารับ แสร้งทำใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกพร้อมทูลออกไปด้วยท่าทีดีใจและหายกังวล “ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ให้มู่จวินฮาน “เจ้าอย่าเพิ่งขอบคุณข้าเลย การส่งเจ้าไปม่อเป่ยก็เป็นแค่ข้ออ้างให้เจ้าถอนหมั้นเท่านั้น สักครู่ข้าจักออกราชโองการให้เจ้าไปดูแลชายแดนม่อเป่ย ในเวลาเดียวกันก็ส่งคนไปจวนอ๋องอัน เพื่อมิให้คุณหนูใหญ่อันเสียเวลาก็ต้องบอกว่าการแต่งงานของเจ้ากับนางถือเป็นโมฆะ”

นี่คือข้ออ้างสวยหรูที่ฮ่องเต้ตระเตรียมเอาไว้ อันหลิงเกออยู่ในวัยเหมาะแก่การออกเรือนแล้ว ดังนั้นคงมิดีที่จักให้นางรอบุรุษที่ต้องไปเฝ้าชายแดนตลอดไป

หากมู่จวินฮานมิกลับเมืองหลวงภายในสามถึงห้าปี อันหลิงเกอก็มิต้องรอจนกลายเป็นสาวแก่เลยหรือ

เวลานี้มีเหตุผลดีพอ ฮ่องเต้สามารถยกเลิกราชโองการและทางฝั่งท่านโหวก็คงมิร้องเรียนอันใด

หรือท่านโหวกล้ากล่าวว่าการแต่งงานของบุตรสาวสำคัญกว่าม่อเป่ย สำคัญกว่าความมั่นคงของราษฎรต้าโจวทั้งหมด ?

“แม้ข้าช่วยเจ้าได้ แต่ถ้าไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจักต้องโวยวายเป็นแน่”

ฮ่องเต้ไพล่สองหัตถ์ไว้ด้านหลัง ขมวดพระขนง ท่าทางจนปัญญามิรู้ว่าจักกล่าวเรื่องนี้ต่อฮองไทเฮาเยี่ยงไร

มู่จวินฮานฉีกยิ้มออกมาแล้วทูลออกไปว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ทางฝั่งไทเฮากระหม่อมจักไปกราบทูลเอง พระนางทรงเอ็นดูกระหม่อมถึงเพียงนั้น คงมิอยากให้กระหม่อมแต่งกับสตรีที่มิชอบหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ก็มิแน่หรอก

ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเวลานั้นหากไทเฮามิเข้ามาแทรกแซง พระองค์คงมิมีราชโองการให้จวนอ๋องมู่หมั้นหมายกับจวนโหวรวดเร็วถึงเพียงนั้น

ตอนนี้ถ้าโยนให้มู่จวินฮานไปรับมือไทเฮา พระองค์ก็มิต้องปวดศีรษะอีกต่อไป

พอคิดได้เยี่ยงนี้พระพักตร์ก็แจ่มใสขึ้น “เอาเถิด เจ้าก็มิได้เข้าวังบ่อยนัก ในเมื่อมาแล้วก็ไปเฝ้าไทเฮาหน่อย มิเช่นนั้นนางจักบ่นให้ข้าฟังทุกวัน”

มู่จวินฮานขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วค่อย ๆ ถอยออกไปจากห้องทรงอักษร