เหตุการณ์ตรงหน้านี้ทำให้เซียวเฟิงนึกถึงหานเฟิงที่จัดว่าเป็นผู้เล่นที่กวนโอ๊ยที่สุดในเขตฮัวเซียขึ้นมาทันที

เพราะประโยคนั้นประโยคเดียวที่ทำให้เห็นว่าเซียวเฟิงกำลังต่อว่าเพื่อนร่วมปาร์ตี้ ทัศนคติต่อพวกเอลฟ์ทุกคนที่มีต่อเขาจึงเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าด้วยความสับสนและไม่ใช่พวกพ่นคำด่าทอได้อย่างรวดเร็วของเซียวเฟิง หากเป็นชายหนุ่มยามปกติล่ะก็คงจะไล่ทุบคนพวกนี้ด้วยกระบองไปแล้ว ดังนั้นวินาทีนี้น่ะ เขาจึงอยากจะได้ความช่วยเหลือจากหานเฟิงแบบสุด ๆ

“พูดอะไรของพวกนายน่ะ? ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าพวกนายต่างหากที่เป็นตัวปัญหา?”

ผู้เล่นอื่นที่หันมาจับจ้องเซียวเฟิงด้วยความไม่พอใจก็พากันขมวดคิ้วกันขึ้นมาทันทีเมื่อเซียวเฟิงอธิบายเพิ่ม

“ถ้านายเพิ่มเลือดให้ฉันเรื่อย ๆ ป่านนี้ฉันก็ยังรอดอยู่แหละน่า!”

“มันเป็นหน้าที่ของนายที่จะต้องเพิ่มเลือดให้นักรบโล่! การที่พวกเราทุกคนต้องตายเพราะนักรบโล่ไม่สามารถยืนค้ำดาเมจให้นั้นมันเป็นความผิดของนาย!”

ทัศนคติไร้ยางอายของคนเหล่านี้ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาพูดต่อ “ไอ้จ๊าดง่าวเอ้ย! ไม่มีใครหน้าไหนสามารถช่วยนายไว้ได้ทั้งนั้น ถ้าไอ้บ้านั่นไม่สามารถรีเซ็ตคูลดาวน์ของสกิลโฮลี่ไลท์และยัดฮีลให้พวกนายตลอดเวลา!”

“พูดบ้าอะไรของนายน่ะ? นายกำลังจะบอกว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะพวกเราอ่อนแอเกินกว่าจะฮีลงั้นเหรอ? นี่นายเป็นฮีลเลอร์จริงหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมนายถึงเอาแต่จะใช้โฮลี่ไลท์เพื่อเพิ่มเลือดอย่างเดียวเลย? ทำไมไม่ใช้สกิลฮีลปกติ?”

นักรบโล่ต่อว่าเขาบ้าง อันที่จริงนักพิธีกรรมน่ะจะมีสกิลฮีลอีก 1 สกิลที่สามารถเพิ่มเลือดให้เพื่อนร่วมทีมได้เรื่อย ๆ แต่เพราะเซียวเฟิงไม่ได้เรียนมันมาด้วยเหตุผลที่ว่า ประสิทธิภาพในการฮีลของมันค่อนข้างช้า

“ได้ งั้นฉันยอมรับเองว่าฉันผิด ฉันไม่ควรที่จะมาจับกับทีมพวกนาย เพราะมันเสียเวลา ฉันควรจะจัดการงานนี้ด้วยตัวเองแล้วรีบ ๆ จบภารกิจในดันเจี้ยนนี้ซะ” เซียวเฟิงปฏิเสธที่จะคุยกับคนเหล่านี้ต่อแล้ว

“นายมันก็เป็นแค่ฮีลเลอร์ เพราะงั้นนายไม่มีทางสำเร็จภารกิจดันเจี้ยนนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก!”

“ใช่! ถ้านายแข็งแกร่งขนาดนั้นล่ะก็ พวกฉันจะกดออกจากทีมให้เลยก็ได้ แล้วปล่อยให้นายไปสู้กับบอสด้วยตัวเอง!”

เหล่าเอลฟ์เย้ยหยันและมองเซียวเฟิงด้วยความเหยียดหยาม

เซียวเฟิงพยักหน้าแล้วหันหน้ากลับเพื่อเดินเข้าไปในดันเจี้ยนโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ

“เฮอะ! นายคิดว่าตัวเองสูงส่งนักหรือไง? ฉันยอมรับเลยนะว่าอุปกรณ์ของนายอาจจะดีกว่าฉันก็จริง แต่ยังไงเดี๋ยวนายก็โดนฆ่าอยู่ดีแหละน่า!”

เหล่าผู้เล่นเอลฟ์เริ่มจะพูดด้วยถ้อยคำไม่ไว้หน้า จะมีก็แต่ชาแมนสาวเผ่าออร์คเท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไร เธอมองบรรยากาศรอบ ๆ แล้วรีบเดินตามเซียวเฟิงไปแทน

ชายหนุ่มไม่ได้หันหน้ากลับมามองด้านหลังเลย เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไปในหุบเขาพงไพรนั้นจนกระทั่งร่างของเขาหายไปตามระยะทาง

“นี่เจ้านั่นจะเข้าไปในดันเจี้ยนจริง ๆ เหรอ? บางทีเราควรตามเขาไปก็ได้นะ เขาอาจจะฆ่าบอสตัวที่ 2 ได้หากพวกเราร่วมมือกัน”

“ปล่อยหมอนั่นไปเถอะน่า ตั้งแต่เล่นเกมนี้มาฉันยังไม่เคยเจอฮีลเลอร์ที่มั่นหน้ามั่นโหนกขนาดนี้มาก่อนเลย พวกเรารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวพอโดนบอสฆ่าตายมันก็กลับมาเอง”

“ฉันเห็นด้วย ให้เขาไปตายซะให้เข็ด จะได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น ต่อให้มีอุปกรณ์ดีกว่า ยังไงซะเขาก็เป็นได้แค่ฮีลเลอร์กระจอก ๆ เท่านั้นแหละ”

….

“รอก่อนค่ะ…ได้โปรด รอฉันก่อนนะคะ…”

ชาแมนสาวที่พยายามไล่ตามเซียวเฟิงนั้นเริ่มก้าวฝีเท้าช้าลงเมื่อเห็นว่าตนเริ่มเข้าใกล้ด้านหลังเซียวเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ทำไมเธอถึงไม่อยู่กับพวกที่ทางเข้าดันเจี้ยนนั่นล่ะ? บางทีฉันอาจจะกลับไปอีกครั้งหลังจากปราบบอสเสร็จก็ได้” เซียวเฟิงหันไปถาม เขาไม่ได้รังเกียจอะไรผู้เล่นสาวคนนี้หรอก เพราะเธอคนนี้ก็เป็นเหยื่อที่ถูกพวกเอลฟ์กลุ่มนั้นป้ายความผิดมาเหมือนกัน เพียงแค่เจ้าตัวไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไรเท่านั้น

จริง ๆ ชาแมนคนนี้ก็คอยแจกบัฟและโจมตีช่วยตลอดเวลาไม่แผ่วอยู่แล้ว ด้วยผลของสกิลอวยพรความกล้าที่เซียวเฟิงร่ายให้ มันยิ่งทำให้ดาเมจที่เธอสร้างนั้นแทบจะเทียบเท่า 1 ใน 3 ของดาเมจทั้งปาร์ตี้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเอลฟ์กระจอกทั้งหลายก็ยังคงต่อว่าเธอ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เซียวเฟิงไม่พอใจเหมือนกัน

“ฉันคิดว่าคุณนักบวชต้องเป็นผู้เล่นระดับสูงแน่ ๆ ค่ะ แล้วก็…ฉันเชื่อว่าคุณจะต้องไม่โดนฆ่าตายง่าย ๆ แน่ ๆ รวมไปถึงบางที…คุณนักบวชอาจจะฆ่าบอสตัวนั้นได้ด้วยตัวเองซะด้วยซ้ำ”

ในที่สุดเธอก็ตามเซียวเฟิงทันจนได้ แม้ตอนนี้เสียงที่เปล่งออกมาจะฟังดูเหนื่อยหอบ แต่สาวเจ้าก็พยายามจะควบคุมตัวเองให้สามารถตอบคำถามที่เขาถามด้วยความตั้งใจ

เธอคนนี้น่าจะอายุราว ๆ 20 ต้น ๆ ด้วยหูแมวและหางแมวสีน้ำตาล มันทำให้เธอดูเหมือนสาว ๆ หูแมวที่เห็นได้ตามเว็บไซต์มากกว่าออร์คจริง ๆ เสียอีก รูปร่างที่เล็กบางกับชุดที่ดูโดดเด่นของเผ่าพันธุ์ออร์คทำให้เธอดูน่ารักไม่หยอกเลย

หากมองดี ๆ จะพบว่าชาแมนผู้นี้ค่อนข้างสวยมาก ๆ บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกผู้เล่นเอลฟ์ให้เธอเข้าร่วมปาร์ตี้ก็ได้ เพราะตามปกติแล้วไม่ค่อยมีใครอยากจะเชิญชวนผู้เล่นที่ทำดาเมจได้ค่อนข้างน้อยเช่นเธอมาเข้าร่วมปาร์ตี้ในดันเจี้ยนยาก ๆ หรอกนะ

“ฉันเชื่อใจคุณนักบวชนะคะ! ฉันไม่เคยเห็นนักบวชคนไหนที่สามารถเพิ่มพลังชีวิตให้คนอื่นได้ดีแบบนี้มาก่อนเลย! ถึงแม้ว่าในกิลด์ของฉันจะมีพวกฮีลเลอร์อยู่บ้าง แต่พวกเขาก็หนักไปทางการร่ายสกิลเพิ่มพลังโจมตีเสียมากกว่า เพราะงั้นแล้ว คุณนักบวชเองคงเป็นผู้เล่นสายสนับสนุนที่เก่งกาจด้วยสินะคะ!”

มือเล็ก ๆ ของเธอกำหมัดแน่นขณะที่พูด ชื่อตัวละครของเธอคือ คิทเท่น และตลอดเวลาที่อยู่ในปาร์ตี้เมื่อครู่นี้ เธอก็เอาแต่แอบมองเซียวเฟิงอยู่ด้านหลังตลอด

“พี่สาวของฉันเองก็เป็นนักบวชที่ดีมาก ๆ ของกิลด์ฉันเช่นกัน เธอสามารถฮีลผู้อื่นได้ แถมยังใช้สกิลโจมตีได้อีก ดาเมจที่เธอสร้างนั้นก็ถือว่าสูงมาก ๆ เลยล่ะค่ะ! เพราะงั้นฉันเลยคิดว่า คุณนักบวชเองก็น่าจะเป็นแบบพี่สาวของฉันแน่ ๆ ”

“หา? ทำไมพี่สาวของเธอสามารถใช้สกิลโจมตีได้น่ะ?” เซียวเฟิงยิงคำถามออกไปทันทีด้วยความสนใจมาก ๆ

“พวกเราได้เข้าไปในพื้นที่ขั้นสูงน่ะค่ะ ที่นั่นจะมีพวกมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง ๆ อยู่เต็มไปหมดเลย ผู้เล่นที่เข้าไปในพื้นที่นั่นจำเป็นต้องช่วยกันเพื่อจะได้มีชีวิตรอดต่อไปเรื่อย ๆ แต่ผลตอบแทนก็ดีอยู่นะคะ มอนสเตอร์พวกนั้นดร็อปหนังสือสกิลบ่อยมาก พวกฉันเองก็ได้มาตั้ง 2 เล่มเลยนะคะ!…อุ๊บ!?” คิทเท่นที่กำลังอธิบายนั้นรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันทีหลังจากพูดออกไปแบบนั้น เธอรีบพูดต่อ “อ่ะ…ซวยแล้ว! หัวหน้ากิลด์ของฉันไม่อนุญาตให้เปิดเผยเรื่องนี้กับใครด้วย…”

น้ำเสียงของคิทเท่นฟังดูจะกังวลมาก แต่เพราะเรื่องนั้นมันหลุดออกมาแล้ว เซียวเฟิงจึงหรี่ตามองเธอ เขาโดนเรื่องน่าสนใจนี้ล่อลวงเข้าให้แล้ว

พื้นที่ที่สามารถดร็อปหนังสือสกิลได้งั้นเหรอ! นี่มันเหลือเชื่อสุด ๆ ไปเลยนะ! น่าสนใจมาก

“เธอเป็นออร์ค ก็ควรอยู่ในเมืองหลักของพวกออร์ค ทำไมฉันถึงได้มาเจอเธออยู่ที่เมืองหลักของเอลฟ์ได้ล่ะ?” เซียวเฟิงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างไม่ลังเล ชาแมนสาวมิอาจเห็นได้ถึงรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากกะโหลกที่ปกปิดใบหน้าเขาอยู่

เซียวเฟิงอยากจะรู้วิธีเข้าไปในพื้นที่พิเศษนั้นให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้ากิลด์ของคิทเท่นจะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ เขาถึงได้กำชับมาให้คนในกิลด์ปิดปากให้สนิท ทว่าคิทเท่นน่ะดูไร้เดียงสามาก ๆ หากพยายามดี ๆ ล่ะก็ เซียวเฟิงจะต้องสามารถล้วงความลับนี้จากเธอได้แน่ ๆ!

“อืม… พวกฉันพยายามที่จะเป็นกิลด์แรกที่สำเร็จภารกิจในดันเจี้ยนนี้น่ะค่ะ แต่พวกเราไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นดันเจี้ยนระดับกลางเลยไม่ได้เตรียมปาร์ตี้ขนาดใหญ่เอาไว้ พอเขาจับปาร์ตี้กัน ฉันเลยถูกทิ้งไว้ด้านหลังเพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากขนาดนั้น…”

คิทเท่นพูดด้วยความโศกเศร้า ทว่าทันใดนั้นเธอก็รีบอธิบายขึ้นมา “อ๊ะ จริง ๆ แล้วฉันเองก็มีแรงจูงใจที่ทำให้กล้าเข้ามาอยู่นะคะ ไหน ๆ ทีมของเราก็ยังปราบบอสตัวนี้ไม่ได้ ถ้ายังไงฉันอาจจะเข้าไปเรียนรู้สกิลของบอสก่อน แล้วเอาข้อมูลที่ได้มาบอกคุณนักบวชอีกที บางทีมันอาจจะช่วยให้คุณนักบวชทำงานสะดวกขึ้น…”

“ถ้าได้แบบนั้นก็ดี แล้วว่าแต่กิลด์ของเธอ… ชื่ออะไรนะ?”

เซียวเฟิงไม่ใส่ใจสิ่งที่เธอพูดนักพร้อมทั้งโบกมือให้คิทเท่นเพื่อบอกให้เธอไม่ต้องใส่ใจด้วยเช่นกัน

นางแมวสาวมองเซียวเฟิงกลับด้วยแววตาซาบซึ้งใจ เธอไม่ได้ตระหนักเลยว่าเซียวเฟิงกำลังพยายามล่อลวงให้เธอพูดข้อมูลเกี่ยวกับกิลด์ของเธอออกมาอยู่ เพราะงั้นหญิงสาวจึงเผลอเปิดเผยข้อมูลพื้นฐานของพื้นที่ระดับสูงนั้นให้เขาฟังขณะพูดไปโดยไม่รู้ตัว

….

“ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมากันอีกนะ? จากระยะเวลา ตอนนี้ก็น่าจะถึงห้องของบอสตัวที่ 2 กันแล้วไม่ใช่หรือไง?”

เหล่าผู้เล่นเอลฟ์ที่ยังคงยืนรออยู่ที่ปากทางเข้าเริ่มจะสงสัย

“ฉันรอจะตอกหน้าเจ้าฮีลเลอร์นั่นจนเมื่อยแล้วนะ นี่ถ้าไม่ติดว่าอยากจะถ่มถุยมันซักหน่อย ป่านนี้ฉันออกจากดันเจี้ยนไปเก็บเลเวลแล้ว”

“นั่นสิ หรือบางทีพวกนั้นอาจจะโดนบอสฆ่าแล้วออกจากดันเจี้ยนไปแล้วก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายถึงเรากำลังเสียเวลาอยู่”

“ฉันล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของไอ้ฮีลเลอร์นั่นจัง ฮ่า ๆๆ! มันจะต้องน่าสมเพชน่าดูเลยก็ได้”

“หมอนั่นมันสวมหน้ากากอยู่ ยังไงเราก็มองไม่เห็นหรอกน่า”

“จะว่าไป หน้ากากที่หมอนั่นใส่ก็ดูเจ๋งไม่เบาเลยแฮะ ไปได้มาจากไหนกัน? ฉันเองก็อยากจะได้สักอันเหมือนกัน!”

ขณะที่เหล่าเอลฟ์กำลังคุยกันด้วยความสนุกสนาน เสียงของระบบก็ดังขึ้น

[ยินดีด้วย! ทีมของคุณปราบบอสต้นไม้ปีศาจยักษ์เรียบร้อยแล้ว]

คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางวงพวกเขา ผู้เล่นเหล่านี้ถึงกับชะงักกันไปหมดกับสิ่งที่ได้ยินมา

“ต้นไม้ปีศาจยักษ์นี่มันบอสตัวที่สองไม่ใช่เหรอ…?”

“อะไรนะ? จะบอกว่าบอสตัวที่ 2 ถูกฆ่าไปแล้วงั้นเหรอ? แต่พวกเรายังยืนอยู่นี่อยู่เลยนะ! ถ้างั้นมันฝีมือใครล่ะ!?”

“ฮีลเลอร์นั่น! เจ้าฮีลเลอร์นั่นมันฆ่าบอสตัวที่ 2! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย!”

“เป็นไปไม่ได้น่า! เร็วเข้า รีบเข้าไปที่ห้องบอสตัวที่ 2 ก่อน! ถ้าไปทันเรายังอาจจะพอเก็บอุปกรณ์ดี ๆ ที่ยังเหลืออยู่ได้!”

“เร็ว ๆๆ! ชิ เจ้าฮีลเลอร์นั่นต้องเป็นผู้เล่นระดับพระกาฬแน่ ๆ ! เขาสามารถฆ่าบอสได้ด้วยตัวคนเดียวโดยที่พวกเราไม่ช่วยเลย!”

“บางทีเขาอาจจะเป็นพาลาดินแห่งการรักษาจริง ๆ ก็ได้!”

กลุ่มผู้เล่นเอลฟ์ต่างพากันวิ่งเข้าไปยังห้องของบอสตัวที่ 2 ในดันเจี้ยนเพราะกลัวว่าของที่ดร็อปจากบอสจะถูกคนอื่นเก็บไปก่อน

ภายในดันเจี้ยนนั้นมีกฏให้ควรระวังมากมาย แต่ตามปกติพวกเขาจะคำนึงกันถึงกฏเพียง 2 ข้อหากคิดจะตั้งปาร์ตี้เข้าไป

กฏข้อที่หนึ่งก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับปาร์ตี้ ปาร์ตี้ที่ถูกจัดตั้งสำหรับเข้าดันเจี้ยนนั้นจะสามารถเข้าไปภายในได้เรื่อย ๆ ตราบใดก็ตามที่พวกเขายังทำภารกิจไม่สำเร็จ โอกาสต่าง ๆ จะยังไม่หายไป

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมาชิกในปาร์ตี้ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ นั่นหมายถึง จะไม่มีใครสามารถไปเข้าร่วมกับปาร์ตี้อื่นได้หลังจากลงดันเจี้ยนนี้มาแล้วจนกว่าจะจัดการภารกิจภายในจบสิ้น ห้ามออกไปเข้าปาร์ตี้อื่นขณะที่ตนเองยังทำภารกิจไม่เสร็จ

กฏข้อนี้มีผลดีสำหรับป้องกันไม่ให้ผู้เล่นที่ฉลาดแกมโกงกลับมาฆ่าบอสตัวเดิมซ้ำ ๆ ได้ เช่น ผู้เล่นคนหนึ่ง จงใจแพ้ดันเจี้ยนหลังจากฆ่าและเก็บของจากบอสตนที่ 2 ไปแล้ว เขาออกจากปาร์ตี้เดิมเพื่อต้องการจะหาปาร์ตี้ใหม่แล้วเข้าไปฆ่าบอสตนที่สองซ้ำอีกรอบเพื่อเก็บของใหม่ แบบนี้ถือว่าทำไม่ได้

ถ้าเกิดภารกิจที่มากับปาร์ตี้แรกไม่สำเร็จ หากต้องการจะจัดปาร์ตี้ใหม่อีกครั้ง ผู้เล่นสามารถเลือกสมาชิกได้จากปาร์ตี้ที่เข้าไปด้วยกันก่อนหน้าเท่านั้น อาจจะเลือกแค่บางคนและไม่จำเป็นต้องเลือกทั้งหมด เพราะปาร์ตี้สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 10 คน 9 คน 8 คน 7 คน ลงไปจนถึง 1 คนก็ยังได้ หรือก็คือ เลือกทำภารกิจด้วยตัวคนเดียว

มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้นที่สามารถให้ผู้เล่นใหม่เข้าร่วมปาร์ตี้ได้ นั่นคือ หากมีใครคนใดคนหนึ่งในปาร์ตี้ออกไปก่อนที่จะสำเร็จภารกิจ หรือปาร์ตี้นั้น ๆ มีจำนวนคนไม่เต็มลิมิตอยู่แล้ว ผู้เล่นใหม่ที่ยังไม่ได้เข้าดันเจี้ยนสามารถเข้าร่วมปาร์ตี้ได้ และกรณีนี้คือกรณีเดียวกับที่เซียวเฟิงเข้าปาร์ตี้นี้มา

ผู้เล่นที่เข้ามาในปาร์ตี้ทีหลังจำเป็นต้องรีบตามความเร็วของปาร์ตี้ดั้งเดิมให้ทัน อย่างเช่น ถ้าปาร์ตี้ที่เข้าร่วมได้ทำการปราบบอสตัวที่ 1 ไปแล้ว และกำลังจะเข้าโจมตีบอสตัวที่ 2 ผู้เล่นเข้าใหม่จะต้องเข้าไปช่วยสู้กับบอสตัวที่ 2 ทันทีแม้ว่าผู้เล่นคนนั้นจะยังไม่ได้กำจัดบอสตัวที่ 1 มาก่อนก็ตาม หน้าที่ของเขาก็คือช่วยให้ปาร์ตี้นั้น ๆ ประสบผลสำเร็จให้จงได้

ตามปกติแล้วผู้เล่นควรจะอยู่กับปาร์ตี้ที่จัดไว้ตั้งแต่แรกจนกระทั่งจบภารกิจ เพราะเมื่อไหร่ที่ผู้เล่นออกจากปาร์ตี้ ตัวคน ๆ นั้นจะถูกส่งออกจากดันเจี้ยนไปด้วย ถ้าเกิดเพื่อนร่วมปาร์ตี้ทำภารกิจเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ โอกาสในการกลับเข้าไปเก็บของของผู้เล่นที่ออกไปก่อนก็จะกลายเป็นศูนย์ เขาจะไม่ได้อะไรกลับออกไปเลยจากการแวะเข้ามาในดันเจี้ยนเช่นนี้

ดังนั้นแล้วจะมีเพียงผู้เล่นไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเลือกออกจากปาร์ตี้หลังจากเห็นว่าเพื่อนร่วมปาร์ตี้ไม่สามารถชนะบอสได้แน่ ๆ เพราะถ้ายังคงฝืนลงวนซ้ำอยู่แบบนั้น มันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า การยอมเสียโอกาสในวันนี้แล้วเอาเวลาไปเก็บเลเวล ฟาร์มหาอุปกรณ์ดี ๆ จากนั้นค่อยมายังดันเจี้ยนแห่งนี้ใหม่ในวันรุ่งขึ้นหรือวันอื่น ๆ มันจะยังดีเสียกว่า

อย่างเมื่อดันเจี้ยนปราบซาลาแมนเดอร์ตอนนั้น แม้ผู้เล่นบางส่วนจะถอดใจและออกจากปาร์ตี้หลังจากปราบบอสได้ 2 ตัว ผู้เล่นที่เข้ามาใหม่ก็จะไม่ได้ของที่ดร็อปจากบอสทั้ง 2 ตัวนั้นเพราะเข้ามาทีหลัง สิ่งที่เขาจะได้ จะมีเพียงของที่ดร็อปจากบอสที่เขาได้ร่วมสู้ด้วยเท่านั้น

ส่วนกฏข้อที่ 2 พูดถึงการแบ่งของรางวัลหลังจากปราบบอสได้แล้ว

ถึงแม้ว่าสมาชิกทุกคนในปาร์ตี้จะมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในของทุก ๆ ชิ้นที่ดร็อปจากบอส แต่แท้จริงแล้วจะมีเพียงผู้ที่อยู่ในห้องบอสตนนั้นตอนที่มันถูกปราบลงเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ในของแต่ละอย่างที่ดร็อปออกมา ตามปกติแล้วพวกเขาจะใช้วิธีการจับฉลากเอา กฏข้อนี้มีผลดีสำหรับหยุดไม่ให้ผู้เล่นที่ทำตัวเป็นปลิงเดินเล่นไม่ยอมช่วยโจมตีบอสมีสิทธิ์ในการได้รับสิ่งของจากความพยายามของคนอื่น

ตอนนี้ในห้องของบอสตนที่ 2 มีเพียงเซียวเฟิงและคิทเท่นเท่านั้นในตอนที่มันตายลงไป ดังนั้นพวกเอลฟ์ทั้งหมดจึงไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของไอเทมเหล่านั้นได้ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรดร็อปลงมาบ้าง

ทั้งเซียวเฟิงและคิทเท่นมีสิทธิ์ในการแบ่งไอเทมกันเองด้วยวิธีจับฉลาก ทว่าคิทเท่นนั้นเลือกที่จะปล่อยผ่านเพราะเธอมองว่าบอสตัวนี้เป็นฝีมือของเซียวเฟิงล้วน ๆ ดังนั้นการให้ไอเทมที่ดร็อปทั้งหมดเป็นของเขาไปมันก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว

เซียวเฟิงเก็บไอเทมเหล่านั้นไปโดยไม่ลังเล แต่ถึงอย่างนั้นของที่ดร็อปมาก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรนัก ทั้งสองไม่รอช้าที่จะจัดการทุกอย่างในห้องนี้ให้เสร็จเพื่อจะได้เดินทางไปยังห้องบอสตัวสุดท้ายอย่างรวดเร็ว

[ยินดีด้วย! ทีมของคุณจัดการบอสตัวสุดท้ายได้แล้ว…ผู้พิทักษ์ดาร์คเอลฟ์ถูกกำจัดลงแล้ว! ภารกิจดันเจี้ยนหุบเขาพงไพรของพวกคุณสำเร็จแล้ว!]

เสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่เหล่าเอลฟ์เพิ่งจะมาถึงห้องบอสตัวที่ 2

“เฮ้ย!? หมอนั่นมันเคลียร์ภารกิจดันเจี้ยนนี้เสร็จแล้วเหรอ!?”

“ผู้พิทักษ์ดาร์คเอลฟ์คือบอสตัวสุดท้าย! เขาฆ่ามันไปแล้วจริงดิ!!”

“จะทำภารกิจเสร็จเร็วเกินไปแล้วนะ! แทบไม่อยากจะเชื่อเลย!”

“เวรเอ้ย! หมดกัน! ฮีลเลอร์นั่นเป็นผู้เล่นระดับสูงจริง ๆ! เขาสามารถจัดการบอสทั้ง 2 ตัวได้ด้วยตัวคนเดียวแถมยังปิดฉากภารกิจในดันเจี้ยนไปแล้ว! โดยที่พวกเราไม่ได้อะไรเลย!!”

“เวร ๆๆๆ! ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาด! ขนาดพวกเรามีกันตั้งเยอะยังจัดการบอสตัวที่ 2 ไม่ได้ หมอนั่นมันจะเอาอะไรไปเคลียร์มิชชั่นได้โดยที่ไม่มีใครช่วยวะ?”

“อย่างที่พูดนั่นแหละ เขาเป็นผู้เล่นระดับสูงจริง ๆ … พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายทำเขาเสียเวลา…”