บทที่ 216 เบี่ยงเบนความสนใจ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 216 เบี่ยงเบนความสนใจ

“พวกเจ้าจงหยุด”

เฉินเฉียงได้ตะโกนออกมาดังลั่นเพื่อหยุดเหล่านายพลทักษะพิเศษทั้งหมด

ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นเกราะพลังงานของเขาไร้สี เหล่านายพลทักษะพิเศษจึงไม่รู้ว่าเฉินเฉียงอยู่ในระดับใดกันแน่ยามแรกเห็น

แต่ด้วยปีสีเงินนี้ที่ยาวเกินกว่าเจ็ดเมตร เพียงเท่านี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอย่างน้อยๆเขาต้องอยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษที่ไม่ใช่ขั้นต่ำอย่างแน่นอน

ด้วยการที่ชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่กลับถูกพวกเดียวกันหยุดเอาไว้ เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์จึงทำเพียงรุมล้อมหลู่ฟาง ชุยหยันหลันและเว่ยฉิงเชินเอาไว้เท่านั้น

ผู้นำกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้นั้นได้เดินออกมา และป้องหมัดของตนที่ลอยอยู่บนฟ้าแล้วพูดออกมา “นายท่าน นี่หมายความว่าอย่างไร ทำไมท่านถึงหยุดพวกเราไว้”

เฉินเฉียงที่ยังคงสยายปีกอยู่กลางอากาศนั้นได้ถามออกมาด้วยท่าทีสงบ “เจ้ารับใช้ราชาองค์ใดกันถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่”

หลู่ฟางและเว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งในตอนนี้โดนรุมล้อมโดยมนุษย์กลายพันธุ์นับสิบก็ได้ใช้จังหวะนี้ในการฟื้นฟูเลือดและพลังงานไปพลาง มองไปยังเฉินเฉียงที่อยู่ๆก็โผล่ออกมาไปพลาง

เฉินเฉียงนั้นได้แปลงเสียงตัวเองเรียบร้อยหลังจากแปลงรูปลักษณ์ไป นี่ทำให้แม้แต่หลู่ฟางและเว่ยฉิงเชินก็ไม่อาจจดจำ

นั่นก็เพราะเฉินเฉียงนั้นต้องมีเรื่องที่ต้องจัดการ

นั่นก็คือการช่วยฉิงเชินให้ได้โดยต้องไม่เผยตัวเองไปมากกว่านี้จนทำให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์สงสัย

อย่างไรก็ตาม หากว่าฉิงเชินและหลู่ฟางจดจำเขาได้ล่ะก็ เรื่องราวคงยิ่งเลยเถิดไปการใหญ่ ดีไม่ดีอาจช่วยทุกคนไว้ไม่ได้

นายพลทักษะพิเศษในกองกำลังมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้มีทั้งหมดเจ็ดตน

ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับขั้นกลาง ถึงจะอย่างนั้น แต่หากเทียบกับหลู่ฟางและพวก พวกมันยังแข็งแกร่งกว่ามาก

ก่อนที่เฉินเฉียงจะเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดินั้น เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่ากองกำลังของหลู่ฟางนั้นมีระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงอยู่สี่คน แต่ในตอนนี้เหลือเพียงหลู่ฟางและฉิงเชินเท่านั้น

ส่วนชุยหยันหลันและคนอื่นๆอีกสิบกว่าคนนี้ที่เหลือต่างก็เป็นเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเพียงเท่านั้น

ที่หลู่ฟางและคนที่เหลือยังอยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้เป็นเพราะว่าไม่ได้ต้องการสังหารแต่ต้องการเปลี่ยนเว่ยฉิงเชินให้กลายเป็นพวกของตน

เมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตในตอนนี้นั้น เฉินเฉียงรู้ดีว่าไม่อาจสู้ด้วยได้ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงรอกองกำลังเทียนเว่ยของตนมาเพียงเท่านั้น นี่จึงจะมีโอกาสที่จะช่วยกลุ่มของฉิงเชิงให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ได้

เมื่อผู้นำของมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้ได้ยินคำถามนี้ก็ไม่ได้คิดปิดบังแต่อย่างใด มันตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมา “นายท่าน พวกเราคือผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาฉินเว่ย ตัวข้ามีนามว่าหลิวหมิง”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน พวกเราได้ส่งคนเร้นลอบเข้าไปในเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“ก่อนที่จะเข้ามาในนี้นั้น พวกเราได้รับข้อความมาว่าให้จับตัวอัจฉริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์เว่ยฉิงเชิน”

“ด้วยนี่เป็นคำสั่งโดยตรงของท่านราชา ข้าเชื่อว่าท่านมีความคิดที่จะเปลี่ยนนางให้มาอยู่ฝั่งเดียวกับเรา”

“นายท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่ร่างกายของเว่ยฉิงเชินนั้นไม่เพียงจะเป็นร่างกระจ่างจิต พ่อของนางยังเป็นถึงผู้การแห่งกันหนัน”

“ตราบใดที่พวกเราจับนางได้ นี่จะถือเป็นการรับประกันความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่าพันธุ์ของเรา”

“ถึงอาจจะเสียมารยาทไปหน่อยแต่โปรดอย่าได้หยุดพวกเรา”

เว่ยฉิงเชินและหลู่ฟางที่กำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่นั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันทีเมื่อได้ยิน

ใครจะไปคิดว่ามนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้จะส่งสายลับไปเข้าถึงข้อมูลของเว่ยฉิงเชินได้กัน

แน่นอนว่าด้วยเหตุนี้ อนาคตของเว่ยฉิงเชินที่ต้องอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิอีกนานนับปีนี่พอจะนึกออกได้เลยทีเดียว

หลังจากผู้นำกองกำลังกลุ่มนี้ที่ชื่อหลิวหมิงได้พูดจบลง เขาก็เงียบปากเพื่อรอคำตอบของเฉินเฉียง

แต่ใครจะคิดว่าเฉินเฉียงนั้นกับสบถออกมาหนึ่งทีหลังจากได้ยินและพูดออกมา

“ราชาฉินเว่ย ฮึ่ม ใครกันวะนั่น กล้าแม้แต่เอื้อมมาถึงเป้าหมายของข้า”

เมื่อหลิวหมิงและนายพลทักษะพิเศษนับร้อยนายได้ยินต่างก็อดไม่ได้ที่จะโกรธแค้นเมื่อได้ยินคำสบถที่มีต่อราชาของตน

“นายท่าน ราชาเว่ยก็คือราชันย์ของพวกเรา ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าท่านเป็นใคร ทำไมถึงได้กล้าเสียมารยาทต่อราชาของพวกเรา ราชาฉินเว่ย”

เฉินเฉียงจึงได้พูดออกมาอย่างโอหังดังลั่นฟ้า “นายท่านคนนี้อยู่ใต้นามแห่งราชาสวรรค์มีนามว่าหลิวหลาง”

“ให้ข้าบอกตามตรงเลยก็ได้ว่าเว่ยฉิงเชินผู้นี้คือเป้าหมายของข้ามานานนมแล้ว”

“เพื่อให้สำเร็จภารกิจของท่านราชาสวรรค์สำเร็จ พ่อคนนี้ถึงขนาดต้องลงไปแฝงตัวอยู่ในฝ่ายมนุษย์เพื่อจะรอโอกาสอันดีที่จะได้ลงมือ”

“แต่พวกแก ไอ้พวกระยำตำบอน ไม่เพียงแต่จะกล้าลงมือกับเป้าหมายของพ่อคนนี้ แถมยังก็ทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าข้า หากนี่ไม่เป็นการเรียกว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ให้เรียกราชาฉินเว่ยของเจ้านั้นว่าหมูโง่ยังไม่พอจะเรียกเสียด้วยซ้ำ”

ในตอนนี้เฉินเฉียงได้แกล้งทำตัวเป็นคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์อย่างไม่ลังเล ต่อให้มีการสืบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องของราชาสวรรค์กับฉินเว่ยอยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่จะเป็นการดีที่จะยั่วยุให้เหล่านายพลทักษะพิเศษเหล่านี้เพ่งเล็งที่ตัวเขา และนี่จะทำให้หลู่ฟางและคนอื่นๆมีโอกาสพาเว่ยฉิงเชินหลบหนีไปได้

และแน่นอนว่าวาจาที่ราวกับโอหังและโกรธเกรี้ยวนี้ได้ไปกระตุกต่อมความโกรธของหลิวหมิงและพวก

“นายท่านหลิวหลาง ท่านผิดแล้ว ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้อยู่ภายใต้นามราชาคนเดียวกันแต่ยังไงพวกเราก็ยังเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน”

“เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราควรจะร่วมมือกันเพื่อจับตัวเว่ยฉิงเชินและควรฝังแผ่นแก่นพลังงานในร่างของเธอซะ นี่ก็ถือว่าเราทำภารกิจสำเร็จทั้งคู่ไม่ใช่รึไง ถูกต้องรึเปล่า”

เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้หัวเราะเยาะออกมาอย่างหมดใจเมื่อได้ยิน “ฮ่าฮ่าฮ่า แค่ได้ฟังคำพูดของเจ้าแล้วก็สมควรแล้วล่ะที่ราชาฉินของเจ้าจะถูกข้าเรียกว่าหมูโง่นะ”

“เจ้านายยังไง ลูกน้องก็อย่างนั้น”

“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่พวกแกก็ยังเป็นหมูโง่ไปกับเขาด้วย”

“หรือจะคิดว่าเป็นเพราะมีพวกมากกว่ากัน”

“พวกเจ้าอย่าได้หลงลืมไปว่าเว่ยฉิงเชินผู้นั้นเป็นนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง”

“มันไม่ยากที่พวกเจ้าจะฆ่านาง”

“แต่เมื่อเจ้านั้นมีเป้าหมายในการทำให้นางเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน”

“ด้วยความโง่เง่าจนมั่นหน้าของเจ้าน่ะคิดจริงๆเหรอว่าจะเข้าใกล้พอจนฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปได้”

หลังจากถูกก่นด่าโดยเฉินเฉียงอีกครั้ง นี่ทำให้หลิวหมิงไม่คิดจะทนอีกต่อไป

แต่เพื่อให้ภาพใหญ่นั้นสำเร็จ หลิวหมิงจึงได้ฝืนกล้ำกลืนความโกรธลงไปอีกครั้ง

“นายท่านหลิวหลาง คำพูดของท่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

“ข้าขอบอกความจริงก็ได้ว่าพวกเรานั้นไล่ล่าพวกนางมากว่าสองวัน เข่นฆ่าพวกนางไปหลายต่อหลายคน”

“ถึงจะกระนั้น แต่พวกเราก็ไม่อาจทำอะไรเว่ยฉิงเชินได้เลยในช่วงสั้นๆ”

“ในเมื่อนายท่านหลิวหลางพูดออกมามากมายขนาดนี้ ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่านายท่านมีแผนจะฝังแผ่นแก่นพลังงานในหัวสมองของนางได้ยังไง”

“คำพูดนี้ทำให้เฉินเฉียงอยากจะเถียงออก”

เฉินเฉียงลอบโกรธอยู่ภายในใจออกมาในทันที หากว่าเขานั้นยั่วโมโหผู้นำกองกำลังนี้ และในตอนนี้เขานั้นไม่คิดว่าการยั่วโมโหอาจจะสำเร็จลงได้

แต่หลังจากนิ่งคิดพักหนึ่ง เฉินเฉียงได้หัวเราะออกมาด้วยท่าทางอย่างไม่มีเสียงและมองไปที่หลิวหมิงอย่างยั่วโทสะ

“หลิวหมิง นี่เจ้าสงสัยนายท่านคนนี้งั้น…..เหรอ”

“ข้า…ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่เรื่องของเว่ยฉิงเชินนี้เองก็เป็นภารกิจของพวกข้าที่ได้รับมาจากราชาฉินเว่ยด้วยเช่นกัน”

“หากนายท่านหลิวหลางไม่มีปัญญาทำอะไร โปรดถอยออกไปและมอบเรื่องนี้ให้กับเรา”

“ข้าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกข้านั้นถ้ายังกดดันพวกนางต่อไปล่ะก็นางย่อมต้องเหนื่อยล้า และเมื่อนั้นพวกเราจะใส่แผ่นแก่นพลังงานในหัวของนางในตอนนั้น”

“สมองหมู”

เฉินเฉียงตะโกนออกมาอีกครั้ง “นี่แสดงว่าพวกเจ้านั้นมีแต่วิธีการที่งี่เง่าสินะ”

“หลิวหมิง เจ้านั้นอยากจะเห็นนักใช่ไหมว่าข้านั้นทำอะไรได้”

“ดี นายท่านผู้นี้จะแสดงความสามารถออกมาให้เจ้าเห็นเป็นบุญตา”