ตอนที่ 215 สมาชิกใหม่ของป้อมสังเกตการณ์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

พอเริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่าชายชรามาสืบสวนเรื่องนายทหารของสมาคมตระกูลหลี่ที่หายตัวไป เขาก็ระวังตัวอย่างเต็มที่ทันที แต่กระนั้นก็ไม่เผยพิรุธ

เริ่นเสี่ยวซู่นั่งลงข้างกองไฟ นักเรียนคนหนึ่งก็ส่งน่องไก่ย่างให้

ชายชราส่งยิ้มให้เริ่นเสี่ยวซู่ขณะกินอาหาร “หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจสุขภาพตัวเอง เดี๋ยวพออายุเท่าฉันก็รู้เองว่าการเจริญอาหารนี่ประเสริฐสุดแล้ว”

“ก็จริงครับ” เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา ไปถ่ายท้องหกชั่วโมงรวดเกินไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ เขาเตรียมใจจะชื่นชมเฉินอู๋ตี๋ที่รู้จักปรับตัว แต่คิดไปคิดมา ตัวเองคงมองเฉินอู๋ตี๋สูงไปหน่อย

ถ้าเฉินอู๋ตี๋บอกว่าเขาไปถ่ายท้องหกชั่วโมง ก็หมายความว่าชายชราผู้นี้ก็รอมาหกชั่วโมงแล้วเช่นกัน

แต่ชายชรากลับไม่ถามว่าเขาหายไปไหนมา เพียงถามว่าไปกินอะไรมาถึงท้องเสีย ราวกับไม่คิดจะสืบเสาะตามหาความจริง

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่มีหน้าที่มาสืบสวนจะมองข้ามเรื่องนี้ไปง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คิดเช่นนี้ เขารู้สึกว่าชายชรากำลังเล่นละครทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่

“ท่านมาที่นี่เพื่อสืบสวนคดีไม่ใช่เหรอครับ ไม่ทราบว่าพบร่องรอยอะไรหรือยัง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ถึงฉันจะมาสืบสวนคดี แต่คนของสมาคมตระกูลหลี่หายไปเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ” ชายชรายิ้ม “ฉันแก่หงอมขนาดนี้แล้ว ยังจะส่งฉันออกมาทำงานท่ามกลางอากาศเลวร้ายอีก ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่พินิจมองเขาและถาม “ขอถามได้ไหมครับว่าท่านอายุเท่าไรแล้ว”

“ปีนี้ก็เจ็ดสิบสามปี” ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวนี่เนอะ? สวัสดีทุกคน ฉันชื่อหูชัว (แปลว่า พูดไร้สาระ)”

ได้ยินชื่อแปร่งหูนั่นปุ๊บทุกคนก็หันหน้ามองกัน ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่หน้านิ่วคิ้วขมวดที่เขาไม่ใช่คนสกุลหลี่

ในดินแดนแถบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จะระวังคนที่นามสกุลหลี่เป็นพิเศษ จนถึงตอนนี้คนสกุลหลี่เกือบทุกคนที่เขาเจอไม่เป็นนายทหารระดับสูงก็ระดับกลางในกองทัพทั้งนั้น มีแต่หลี่ชิงเจิ้งที่เป็นจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซาน

“แล้วท่านรับทำคดีนี้ทำไมเหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“ฉันก็ไม่ได้กะจะรับภารกิจนี้หรอก” หูชัวยิ้มพลางใช้นิ้วง้อยเกาหัว “แต่สมาคมตระกูลหลี่บอกจะไม่จ่ายเงินเดือนถ้าฉันไม่รับสืบสวนคดีนี้น่ะสิ ฉันเลยได้แต่รับทำนี่ไง ใครจะไปนึกเล่าว่าป้อมสังเกตการณ์ของเธอจะมีเนื้อสัตว์ป่าแจ่มๆ แบบนี้ วันนี้วันดีแท้!”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่ชายชราพูดหรอก ชายชราวัยเจ็ดสิบสามปีถ่อมาถึงที่นี่ เขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่ สมาคมตระกูลหลี่ถึงส่งเขามาสืบสวนหลังที่นี่เกิดเรื่องขึ้น

แต่ตอนนั้นเองหูชัวก็ยืนขึ้นปัดฝุ่นที่กางเกง “เอาล่ะ ฉันอิ่มแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งถาม “วันนี้ท่านเยี่ยมชมป้อมสังเกตการณ์มากี่แห่งแล้วครับ”

หูชัวหัวเราะ “แค่ของเธอ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าชายชราผู้นี้น่าจะจับเงื่อนงำอะไรบางอย่างได้แล้ว เขาถึงได้ตรงมาที่นี่เลยทันที พริบตานั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดจะรีบๆ ไล่เขาออกไปจากที่นี่

แต่หูชัวกลับโพล่งว่า “งั้น…ฉันอยู่บ้านหลังไหนดีล่ะ”

ทุกคนโดนคำถามนี้ไปก็ตะลึงพรึงเพริด เริ่นเสี่ยวซู่กำลังคิดอยู่เลยว่าตนควรไล่ตามชายชราผู้นี้ไปไหม ไม่นึกว่าอีกฝ่ายมีแผนจะมาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว

หลี่ชิงเจิ้งที่อยู่ด้านข้างยิ้มประจบ “เดี๋ยวพวกเราทำความสะอาดบ้านให้ท่านทันทีครับ”

ที่นี่มีบ้านชั้นเดียวอยู่เจ็ดหลัง หนึ่งในนั้นถูกใช้เป็นที่เก็บของไปแล้ว ถึงจะค่อนข้างโล่งก็เถอะ ไหนๆ หูชัวก็คิดจะค้างคืนอยู่ที่นี่ หลี่ชิงเจิ้งที่เป็นหัวหน้าหน่วยคิดสานสัมพันธ์กับชายชราที่น่าจะยศสูงไม่เบาผู้นี้แล้ว

ผู้อพยพส่วนใหญ่มีความคิดโดยสันดานอยู่แล้วว่าถ้าฉอเลาะคนใหญ่คนโตในป้อมปราการได้ชีวิตก็จะสบายขึ้นมาก พวกเขาลุ่มหลงในสายสัมพันธ์เช่นนั้นแล้ว

แต่นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ในจุดสุ่มเสี่ยง ตอนนี้เขาตัดสินใจจะดูสถานการณ์ก่อนจนกว่าตนเองจะเข้าใจว่าชายชราผู้นี้มีจุดประสงค์อะไร ถึงเวลานั้นจะทำอะไรก็ไม่สายเกินไป

ทว่าเรื่องที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจกว่าเดิมก็เกิดขึ้น หูชัวไม่ได้ค้างแค่คืนเดียว แต่เขาไม่มีความคิดจะ…จากไปแม้แต่น้อย!

เช้าวันต่อมา ราชาหมาป่าก็เอาไก่ป่าจำนวนไม่น้อยมาส่งตามที่สัญญาไว้ ซากไก่ป่ากองใหญ่กองอยู่หน้าประตูป้อมสังเกตการณ์

แต่ภาพประหลาดนี้ไม่ทำให้หูชัวเกิดความระแวงสงสัยขึ้นมาเลย เขาแค่สรรเสริญว่าที่แห่งนี้ช่างเหมาะกับการกินเนื้อเสียจริง ทำราวกับไม่มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจพิจารณาสีหน้าของชายชรา ทุกคนรู้ดีว่ามีเรื่องแปลกเกิดขึ้น แต่หูชัวกลับไม่ถามอะไร เพียงรำมวยไทเก๊กอยู่หน้าประตูป้อมสังเกตการณ์อย่างเดียว

“ไม่ถามเหรอครับว่าเนื้อพวกนี้มาจากไหน”

หูชัวหัวเราะ “ตราบใดที่ฉันมีกิน ฉันจะสนไปทำไมว่าอาหารมาจากไหน ยังไงอาหารก็คงไม่ได้มาจากพวกหมาป่าหรอกใช่ไหมล่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เวลายิ่งผ่านไป เขายิ่งสับสนว่าในหัวหูชัวคิดอะไรอยู่

เช้าของวันที่สาม หูชัวยังคงตื่นมาก็ฝึกมวยไทเก๊กต่อ จากนั้นเขาก็จะสั่งให้ทุกคนเตรียมอาหาร ทว่าวันนี้ต่างออกไปอยู่บ้าง มีรถบรรทุกคันหนึ่งขับขึ้นเขามา แต่ทหารรอบนี้ที่มาไม่ใคร่จะเหมือนเดิมนัก พวกเขานำเตียง กาน้ำชา และของใช้ประจำวันอื่นๆ มาด้วย ถึงกับความสะอาดบ้านรอบสองให้หูชัว

เริ่นเสี่ยวซู่ที่เห็นว่าหูชัวจะอยู่ที่นี่ต่ออีกก็ตาค้าง

ขณะที่พวกทหารกำลังทำความสะอาดบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตั้งใจมองหูชัวเผื่อเขาสั่งคำสั่งแปลกๆ เช่นลอบส่งสัญญาณให้พวกทหารนำกองกำลังที่ใหญ่กว่านี้มาล้อมป้องสังเกตการณ์ไว้หรืออะไรเทือกนั้น แต่หูชัวกลับไม่ได้ทำอะไรเลย

ตอนที่พวกทหารรายงานอะไรบางอย่างให้หูชัวฟัง พวกเขาไม่ได้ตั้งใจปิดบังพวกเริ่นเสี่ยวซู่เลย และเรื่องที่ทหารรายงานก็เกี่ยวของกับเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย ป้อมสังเกตการณ์ที่อยู่บนเนินเขาอีกแห่งถูกหมาป่าโจมตี มีรอยเลือดและขนหมาป่าอยู่ทั่ว กองทัพเฝ้าสังเกตการณ์เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งกำลังวางแผนว่าจะส่งกำลังมากำจัดหมาป่าบนเขา

เริ่นเสี่ยวซู่สังเกตอากัปกริยาของหูชัว แต่เขาแค่หัวเราะแล้วว่า “พวกหมาป่าไม่เกี่ยวอะไรกับคดีของพวกเรา ไม่ต้องให้มายุ่งหรอก”

ตั้งแต่เริ่มต้น ชายชราดูไม่ได้เชื่อมต่อกองซากไก่ป่าหน้าป้อมสังเกตการณ์กับพวกหมาป่าเลย

แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้แหละว่าเขาแสร้งตีหน้าซื่อเฉยๆ

ตอนนั้นเองหลี่ชิงเจิ้งก็กระซิบกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “นายทหารที่มาส่งของให้ชายชรามียศพันเอก!”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป คนผู้นี้มีตำแหน่งสูงขนาดไหนในสมาคมถึงสามารถสั่งการทหารยศพันเอกตามใจได้เช่นนี้!

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาที่ป้อมสังเกตการณ์อีก หูชัวอยู่ที่ป้อมสังเกตการณ์ทั้งสัปดาห์ ไม่รู้ทำไม แต่เริ่นเสี่ยวซู่มีลางว่าเขาจะฉลองตรุษจีนกับพวกตนด้วย