ตอนที่ 226 ส่งให้คนอื่นเลี้ยง

แม่สาวเข็มเงิน

ณ ตอนนี้ถือได้ว่าสติปัญญาของเจียงป่าวชิงกลับมาเป็นปกติแล้ว ใบหน้าของนางยังคงรู้สึกร้อนผ่าว แต่หัวคิ้วนางกลับขมวดเข้าหากันแน่น

“ไอ้คนหื่นกาม!” เจียงป่าวชิงถลึงตาใส่กงจี้ แต่สายตานี้กลับอ่อนพลิ้วไม่มีแรงพอ ในสายตาของกงจี้ นี่ก็ไม่ต่างจากความอ่อนช้อยน่ารักอะไร

ตอนนี้กงจี้ไม่โกรธแล้ว เขาทำเพียงมองเจียงป่าวชิงยิ้ม ๆ

เดิมทีรูปลักษณ์ของชายหนุ่มก็งดงามไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ในยามปกติใบหน้าที่ดูดีนี้ก็มักจะมีความเย้ยหยันแฝงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นถึงความเย้ยหยันนั้น เจียงป่าวชิงจึงมองจนไม่สามารถเบี่ยงสายตาไปทางอื่นได้เลย

กงจี้เห็นว่าเจียงป่าวชิงมองเขาอย่างตกตะลึง แม้เขาเป็นคนใจเย็นมาตลอด แต่ตอนนี้ในใจของเขากลับมีความดีใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเอ่ยถามยิ้ม ๆ “ทำไม ? มองข้าตาค้างเลยรึไง ?”

แก้มเจียงป่าวชิงแดงเรื่อ ๆ ราวกับแสงอาทิตย์ยามเย็น นางอดไม่ได้ที่จะผลักเขาเบา ๆ “เจ้าออกไปเลยนะ!”

กงจี้เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา ซึ่งเจียงป่าวชิงสังเกตเห็นทันที คงเป็นเพราะการกระทำที่กงจี้กดอัดนางลงบนพื้นที่ยกสูงรุนแรงและรวดเร็วเกินไป บาดแผลบนไหล่จึงมีเลือดซึมออกมาจาง ๆ และเปื้อนเสื้อของกงจี้

เจียงป่าวชิงร้อนรน “เจ้านี่นะ ทำไมถึงไม่ระวังแบบนี้ ? ร่างกายของตัวเองยังฟื้นฟูได้ไม่ดีแท้ ๆ แต่ทำไมทำแบบนี้ มาเลย บาดแผลของเจ้ามาให้ข้าตรวจดูเลย”

เจียงป่าวชิงไม่กล้าผลักเขาแล้ว และต้องประคองแขนของเขาแทน

กงจี้มองเจียงป่าวชิงโดยไม่ขยับไปไหนทั้งอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงเข้าใจได้ในทันที เห็นได้ชัดว่ากงจี้จงใจแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อสักครู่เพื่อแกล้งนาง

เจียงป่าวชิงโมโหจนไม่รู้จะพูดอะไรดี

ไอ้คุณชายคนนี้นี่นะ! บังอาจมาหลอกกันได้

ไม่บ่อยนักที่กงจี้จะเห็นเจียงป่าวชิงมีท่าทีฟึดฟัดแบบนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเจียงป่าวชิงอีกครั้ง

ขณะนี้ แม้ว่าเจียงป่าวชิงจะทั้งอายทั้งโมโห และยังพะว้าพะวงเรื่องบาดแผลของเขา แต่นางก็ไม่กล้าดิ้นมาก ทำได้เพียงผลักเขาเบา ๆ เท่านั้น “พอได้แล้ว เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอกสิ!”

กงจี้ไม่ใช่คนที่สิ้นสุดทันทีเมื่อมองเสร็จ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงตัวแข็งทื่อ เขาก็ครุ่นคิดในใจว่าช่างเถอะ ยังไงนางก็ยังเป็นเด็กอยู่

กงจี้พลิกตัวปล่อยสาวน้อยให้หลุดจากพันธนาการของเขาแล้วนั่งลง ซึ่งเจียงป่าวชิงที่เป็นอิสระก็รีบวิ่งไปยังจุดที่ห่างจากกงจี้พอสมควรทันที นางพิงผนังมองกงจี้อย่างระมัดระวัง

กงจี้เกือบโมโหเพราะท่าทางทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกันของเจียงป่าวชิง แต่เขาเพียงแค่หัวเราะอย่างเย็นชาเท่านั้น

หนีไปเถอะ ข้ารอดูว่าเจ้าจะสามารถหนีออกไปจากฝ่ามือของข้าได้หรือเปล่า!

เจียงป่าวชิงแทบจะหลบหนีออกไปในทันที แต่ก่อนที่จะหนีออกไปอย่างผลุนผลัน นางก็ไม่ลืมสั่งให้องครักษ์ไปเชิญหมอชีให้มาดูบาดแผลของนายท่านของพวกเขา

……

ตอนที่เจียงป่าวชิงกลับมาถึงห้องของตัวเอง นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามปรับอารมณ์ แต่ในหัวของนางยังคงตีกันให้ยุ่งเหยิงเล็กน้อย นางอดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ได้

นางนั่งครุ่นคิดด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สัมผัสของพื้นที่ยกสูงนี้ดีมาก แทบจะเหมือนตรงที่อยู่ในห้องกงจี้เลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงตระหนักเรื่องนี้ได้ในภายหลัง นางเด้งตัวขึ้นมาจากบนพื้นที่ยกสูงและจ้องพื้นที่ยกตัวนั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำราวกับกำลังจ้องอันที่กงจี้กดอัดนางอยู่ข้างบนอย่างไรอย่างนั้น

ทันใดนั้นเอง เจียงหยุนชานเดินอุ้มเสี่ยวฟ๋านฟ๋านมาที่นี่อย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าร้อนรน “ป่าวชิง เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเหมือนผิดปกติไปเล็กน้อย เจ้าไปดูนางหน่อยเร็ว”

เจียงป่าวชิงไม่สนใจความคิดที่ยุ่งเหยิงของตัวเองอีก นางรีบไปวัดชีพจรเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน พร้อมตรวจดูฝ้าที่ลิ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อืม… นางเป็นไข้หวัด” เจียงป่าวชิงเอ่ยเสียงเรียบ

โรคไข้หวัดไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ปัญหาคือฟ๋านฟ๋านเป็นเพียงทารกที่เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงสองเดือน นางจะทนต่อฤทธิ์ยาได้อย่างไร ?

ในสมัยโบราณ มีเด็กจำนวนมากที่ตายตั้งแต่ยังเยาว์วัย และส่วนใหญ่ก็ตายด้วยโรคไข้หวัดเสียด้วย

เจียงหยุนชานโทษตัวเอง เขาร้อนใจจนตาแดงก่ำ “โทษข้า ตอนเช้าข้าเห็นเสี่ยวฟ๋านฟ๋านเหงื่อออกจึงเอาเสื้อผืนที่บางลงให้นางใส่ ลมจะต้องพัดถูกตัวฟ๋านฟ๋านมากเกินไปอย่างแน่นอน”

เจียงป่าวชิงรีบพูดขึ้นทันที “พี่ไม่ต้องตกใจ นี่ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร มีข้าดูแลเป็นอย่างดี อีกอย่าง ฟ๋านฟ๋านเป็นเด็กที่มีบุญวาสนามาโดยตลอด นางไม่เป็นไรหรอกพี่ไม่ต้องห่วง”

เจียงหยุนชานจะไม่ห่วงได้อย่างไร เขาดูแลเสี่ยวฟ๋านฟ๋านแทบไม่ห่างไปไหนเป็นเวลาสามวันเต็ม ๆ เจียงป่าวชิงเองก็ดูแลนางโดยไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนเช่นกัน

ในวันที่อาการป่วยของเสี่ยวฟ่านฟ๋านดีขึ้น แต่เจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงกลับเหนื่อยมาก

สิ่งที่กลัวในช่วงนี้คือมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าเป็นการดีที่จะส่งออกมาแบบนี้ แต่นางกับเจียงหยุนชานต่างก็ล้มป่วยติดต่อกัน ทำให้ไม่มีคนดูแลเสี่ยวฟ๋านฟ๋าน นี่แหละคือปัญหา

เจียงป่าวชิงกระแอมไอจากในผ้าปิดปากที่ทำเองและครุ่นคิดหาวิธีไปด้วย ทว่ากงจี้กลับผลักประตูแล้วพุ่งเข้ามาเสียก่อน ทำให้เจียงป่าวชิงตกใจสะดุ้งโหยง

ช่วงนี้กงจี้สามารถเดินได้บ้างแล้ว แต่ยังคงเดินนาน ๆ ไม่ได้

กงจี้นั่งอยู่บนพื้นที่ยกสูง สายตาเฉียบแหลมของเขามองเจียงป่าวชิงที่มีผ้าคาดอยู่บนใบหน้า จากนั้นเขายื่นมือไปดึงผ้าปิดปากของเจียงป่าวชิงออกอย่างหงุดหงิด

กงจี้ลงมือได้รวดเร็วมาก เจียงป่าวชิงไม่สังเกตเห็นชั่วขณะจึงทำให้เขาดึงผ้าปิดปากไปได้ นางร้อนรนรีบแย่งผ้าปิดปากจากในมือเขา “คนอย่างเจ้านี่ รู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ป้องกันการติดเชื้อระหว่างเรา ข้าดูแล้วเจ้าคงอยากให้ข้าล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียงสองสามวันใช่ไหม…”

กงจี้ยิ้มอย่างเย็นชา “คนป่วย หน้าที่ของคนป่วยก็คือล้มหมอนนอนเสื่อพักผ่อนไม่ใช่รึ ? แต่กับเจ้า ไม่เพียงแต่ไม่พักผ่อน ยังจะฝืนอีกต่างหาก”

เมื่อเจียงป่าวชิงมองสายตาประณามของกงจี้ นางก็รู้สึกขาดความมั่นใจไม่น้อยจึงหันหน้าไปทางอื่นและยังอยากแก้ต่างให้ตัวเองอยู่ แต่กงจี้กลับพูดขึ้นมาก่อน “พวกเจ้าสองพี่น้องล้มป่วยติดต่อกันและเสี่ยวฟ๋านฟ๋านไม่มีคนดูแล เรื่องแบบนี้ข้าคาดว่าคงจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถึงยังไงนางก็ยังเป็นทารกที่ต้องการผู้มีประสบการณ์มาดูแลอยู่ข้างกาย จากที่ข้าดูแล้ว พวกเจ้าไปหาคนรับเลี้ยงเสี่ยวฟ๋านฟ๋านจะเป็นการดีที่สุดนะ”

เจียงป่าวชิงไม่ใช่ไม่รู้ว่าการที่กงจี้มาบอกว่าหาคนรับเลี้ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเสี่ยวฟ๋านฟ๋านนั้นคือเขาเป็นห่วง

แต่ไม่มีใครไร้ความปราณีได้ขนาดนั้นหรอก ตั้งแต่เสี่ยวฟ๋านฟ๋านเกิดออกมาวันแรก นางก็เป็นเด็กที่เจียงป่าวชิงช่วยกลับมาและเลี้ยงดูอยู่ในบ้านมาโดยตลอด

เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ จู่ ๆ กลับต้องการส่งเสี่ยวฟ๋านฟ๋านไปที่อื่น เป็นใครก็รับไม่ได้กันทั้งนั้น

เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว “ยังไม่พูดเรื่องรับเลี้ยงเด็กดีกว่า ถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่สามารถหาคนมาช่วยเลี้ยงได้ ใช่ไหมล่ะ ?”

กงจี้เห็นเจียงป่าวชิงเลือกที่จะยอมให้ตัวเองป่วย แต่ไม่ยอมส่งเสี่ยวฟ๋านฟ๋านไปให้คนอื่นเลี้ยง เขาจึงอดส่งเสียงอย่างไม่พอใจในลำคอไม่ได้

ช่วงนี้เจียงป่าวชิงแทบจะผูกใจไว้บนตัวเสี่ยวฟ๋านฟ๋านที่ป่วยอยู่แล้ว แต่สุดท้ายตัวเองก็ติดโรคเสียเอง กงจี้เป็นห่วงนางมาก แต่เด็กสาวเหมือนจะไม่ซาบซึ้งในพระคุณของเขาเลย

กงจี้หัวเราะเยาะ เขานั่งต่ออีกสักครู่ทว่าไม่นานก็กลับไป

เจียงป่าวชิงเองก็พูดพึมพำอยู่ในใจว่ากงจี้แปลกไปจริง ๆ ทว่าใครก็รู้ว่าคนของกงจี้ทำงานได้อย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว

วันต่อมา กงจี้รวบรวมข้อมูลรายชื่อคนที่เหมาะสมในการรับเลี้ยงเสี่ยวฟ๋านฟ๋านเสร็จเรียบร้อยแล้ว และให้คนนำไปส่งที่บ้านของเจียงป่าวชิง

เจียงป่าวชิงมองข้อมูลรายชื่อคนที่เหมาะสมจะรับเลี้ยงด้วยความกลุ้มใจ นางแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่ากงจี้จะเอาจริง

เมื่อเจียงหยุนชานรู้เรื่องนี้ เขาก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก แต่คำพูดที่เขาพูดออกมากลับเป็นคำพูดเกลี้ยกล่อมเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง ถึงยังไงเราสองพี่น้องต่างก็ไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก ถ้าหากว่าหาบ้านของใครสักคนที่สามารถทำให้เสี่ยวฟ๋านฟ๋านรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านปกติได้ เพื่อให้นางได้กิน ได้เล่น ได้เพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มที่ข้าว่ามันก็ดีนะ หรือว่าเจ้าคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี ?”