บทที่ 193 เดินไปตามความรู้สึกต้องพบโชคลิขิตแน่

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 193 เดินไปตามความรู้สึกต้องพบโชคลิขิตแน่!

เวลาผ่านไปทีละวินาที ใบหน้าเสิ่นเทียนก็เป็นแดงเรื่อมากขึ้นเรื่อยๆ

เลือดลมเข้มข้นอย่างยิ่งแผ่กระจายมาจากตัวเขา

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็รู้สึกใช้ได้แล้ว เขารวมไอกระบี่เบาๆ ก่อนกรีดที่ข้อมือขวาของตน

ทันใดนั้นมีธนูโลหิตพุ่งออกมาสายหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมของพืชไม้เข้มข้น คาดการณ์ได้ว่าถ้าตอนนี้รอบๆ มีปีศาจอยู่จะต้องมองว่าเสิ่นเทียนเป็นเนื้อพระถังซัมจั๋งอย่างแน่นอน

เพราะพลังวิญญาณในเลือดเสิ่นเทียนมีคุณสมบัติที่สูงสุดจริงๆ ต่อให้เป็นผู้จริงแท้ผู้สูงศักดิ์ยังน้ำลายไหล

โลหิตหลอมรวมไปในร่างคนเล็กสีแดงทีละหยด

เสิ่นเทียนสำแดงวิชาลับคัมภีร์เทพโลหิต ผสานโลหิตบริสุทธิ์กับคนเล็กสีแดงเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานคนเล็กสีแดงก็ใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน อีกทั้งกลิ่นอายพลังในตัวยังแกร่งขึ้นอย่างเร็วไว

สีของผิวกายยังใกล้เคียงกับคนปกติมากขึ้น

สุดท้ายคนเล็กสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือก็กลายเป็นขนาดเท่าคนปกติ เป็นร่างเปลือยกาย

กลิ่นอายพลังในตัวเขาเหมือนกับเสิ่นเทียนมาก เพียงแค่ระดับความแข็งแกร่งอ่อนแอกว่ามาก ทั้งยังไม่มีระลอกคลื่นจิตวิญญาณ

“เยี่ยม!”

เสิ่นเทียนหยุดบีบโลหิต บาดแผลตรงมือขวาสมานกันด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองทัน ใบหน้าเขาขาวซีดเล็กน้อย เจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน

เพียงชั่วครู่สั้นๆ เกรงว่าเขาคงปล่อยโลหิตออกไปหนึ่งชามใหญ่เลย ต่อให้มีของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานบำรุง เสิ่นเทียนก็ยังรู้สึกว่าตนเป็นโลหิตจางนิดๆ หัวหนักเท้าเบาขึ้นมา

เขาเลยกรอกของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานไปอีกคำและโคจรวิชาดูดซับ

“เฮ้อ จะปล่อยเจ้าโลหิตบริสุทธิ์นี่ตามใจไม่ได้จริงๆ ต่อให้เป็นของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานก็ยังฟื้นโลหิตบริสุทธิ์ในเวลาสั้นๆ ไม่ได้!”

ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมีผลมหัศจรรย์ในการเยียวยาสุดยอดจริงๆ แต่ก็ต้องใช้เวลาดูดซับ

ถ้าทุกครั้งเสิ่นเทียนแค่ปล่อยโลหิตบริสุทธิ์เล็กน้อยเข้าไปในร่างแยก เช่นนั้นก็ยังใช้ของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานฟื้นฟูมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาคือครั้งนี้เขายังไม่มีประสบการณ์ จึงไม่ระวังปล่อยไปทีเดียวเยอะเลย

ตามการคาดการณ์ของเขาแล้ว โลหิตบริสุทธิ์ที่ตนเสียไปครั้งนี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายวันในการหลอมรวมของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้

หรือก็คือเขาต้องทนกับความรู้สึกโลหิตจางนี้ไปอีกหลายวัน

เฮ้อ ข้าลำบากจริงๆ เลย!

ระดับความยากในการฝึกของคัมภีร์เทพโลหิตนี่คือโหดที่สุดในวิชามากมายที่เขาฝึกอยู่ในตอนนี้ ใช้เวลาหลายวันกว่าจะรวมมาได้หนึ่งร่างแยก

อีกทั้งในมุมมองเขา ตอนนี้ร่างนี่สำแดงกำลังรบของเขาได้มากสุดราวๆ ห้าส่วน ในร่างมันมีพลังงานของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินส่วนหนึ่ง ถ้าใช้โล่เต่าดำ เกราะเต่าดำ และค้อนม่วงทองละก็ ก็พอจะทุบผู้จริงแท้แก่นพลังทองธรรมดาร่างระเบิดได้

ถ้าจะสำแดงพลังที่แกร่งกว่านี้ เสิ่นเทียนจะต้องป้อนโลหิตบริสุทธิ์ให้ร่างนี้ต่อไป เช่นนั้น อย่างมากสุดก็จะแสดงกำลังรบราวๆ เจ็ดส่วนของร่างหลักได้

แน่นอนว่าเงื่อนไขคือเสิ่นเทียนต้องควบคุมด้วยตัวเอง

….

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เสิ่นเทียนก็เริ่มฝึกวิชาลับที่สอง…ยอดวิชาแยกดวงจิต

พูดตามตรง เขาแปลกใจมาก ในเมื่อเป็นวิชาลับที่แยกพลังจิตออกเป็นส่วนเล็กเข้าไปในร่างแยกได้ เหตุใดไม่เรียกว่ายอดวิชาแตกแยกจิต แต่กลับเรียกยอดวิชาแยกดวงจิต

เหตุใดไม่เรียกชื่อย่อว่า วิชาแยกวิญญาณ แต่เรียกวิชาแยกจิต

แต่ในเมื่อผู้เขียนคัมภีร์เทพโลหิตตั้งชื่อเช่นนี้ก็เรียกตามไปแล้วกัน!

ถึงอย่างไรยอดวิชาแยกจิตก็น่าฟังกว่าวิชาแยกวิญญาณจริงๆ

เดิมทีเสิ่นเทียนคิดว่าเมื่อแยกจิตของตนออกมาส่วนหนึ่งแล้วจะต้องปวดหัวจนอยากจะตายเสียดีกว่าอยู่ ปรากฏว่าตอนที่เขาทำตามขั้นตอนและกัดฟันเริ่มลองวิชาลับนี้ กลับพบว่าวิชาลับนี้ไม่เจ็บเลยสักนิด

เพียงแค่…ร่างกายอ่อนแรงลงกว่าเดิมเพราะเสียเลือดมากเกินไปและพลังจิตเสียหาย

เสิ่นเทียนฝืนทนความรู้สึกอ่อนแอที่ร่างกายดูดพลังหมดนำพลังจิตก้อนนั้นใส่เข้าไปในร่างนั้น

ทันใดนั้นเอง ร่างนั้นก็เริ่มขยับช้าๆ เหมือนได้รับชีวิตไป

ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์มาก ราวกับเล่นเกมออนไลน์

เสิ่นเทียนควบคุมพลังจิตนั้นควบคุมร่างแยกได้ตามใจต้องการ อีกทั้งตามวิธีที่บันทึกในคัมภีร์เทพโลหิตแล้ว ร่างแยกกับร่างหลักมีสัมผัสทั้งห้าร่วมกัน

หรือก็คือขอแค่สัมพันธ์ระหว่างร่างแยกกับร่างหลักยังไม่ถูกตัดขาด เสิ่นเทียนก็จะมองเห็นมุมมองของร่างแยกได้ตลอดเวลา อีกทั้งหากสัมพันธ์ถูกตัดขาด พลังจิตในร่างกายจะสลายไป ร่างแยกจะกลับมาเป็นร่างที่ขยับไม่ได้อีกครั้ง

ประสบการณ์เช่นนี้มันช่างน่าอัศจรรย์มาก!

แม้จะง่วงเหลือเกิน แต่เสิ่นเทียนก็ยังอดใจอยากเล่นร่างแยกนี้ไม่ไหว แน่นอนว่าต้องใส่เสื้อผ้าใส่ร่างแยกนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าร่างเหมือนตนทุกประการเปลือยกายอยู่คงจะรู้สึกแปลกๆ

นี่ไม่ใช่ตุ๊กตายางนะ

เสิ่นเทียนหยิบชุดผ้าไหมมังกรขาวจากแหวนเวหาออกมาสวมให้บุตรเทพโลหิต ก่อนจะพิจารณามองไปรอบๆ

เขาอดชื่นชมมิได้ “จิ๊ๆ หมายเลขหนึ่ง เจ้าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดแห่งยุคจริงๆ”

บุตรเทพโลหิตตรงหน้าเผยอมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่ทำให้เซียนสตรีศักดิ์สิทธิ์หลงใหลได้ “ไม่ขนาดนั้นๆ เป็นเพราะกรรมพันธุ์ของร่างหลักดี เลยได้แบบเจ้ามา”

เสิ่นเทียนส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ “ร่างแยกไม่พูดโกหกจริงๆ”

ภูตผีหญิงชุดแดงบนลูกประคำเก้าโอรสข้างๆ มองเสิ่นเทียนกับร่างแยกคุยกันเอง นางอยากพูดเตือนว่า ‘นายท่าน ข้างๆ ยังมีคน…ยังมีผีดูอยู่นะ!’

แต่ว่า…ร่างแยกของนายท่านดูดีจริงๆ

โดยเฉพาะตอนที่ไม่ได้สวมอาภรณ์

นอกจากจิ่วเอ๋อร์แล้ว น่าจะยังไม่มีเด็กสาวคนใดเคยเห็นเรือนร่างของนายท่านมาก่อนกระมัง!

ซี้ด~!

คิดๆ แล้วยังตื่นเต้นนิดๆ!

เวลานี้ ลูกประคำเก้าโอรสสั่นไหวเบาๆ

……

ทางด้านเสิ่นเทียนกลับไม่รู้ความคิดขึ้นๆ ลงๆ ในใจจิ่วเอ๋อร์

เขาลองควบคุมบุตรเทพโลหิตง่ายๆ แล้วก็รู้สึกสนุกขึ้นมาจริงๆ

แต่สนุกก็คือสนุก ตอนนี้เสิ่นเทียนง่วงมาก ต้องนอนหลับสบายๆ สักตื่น

เขาจึงสำแดงวิชาลับเก็บพลังจิตส่วนนั้นในบุตรเทพโลหิตกลับมา แล้วส่งร่างนั้นเข้าไปในแหวนเวหา

แหวนเวหาเก็บสิ่งมีชีวิตไม่ได้ แต่บุตรเทพโลหิตที่แยกจิตออกมาแล้วสามารถใส่เข้าไปได้ ต้องบอกว่าบุตรเทพโลหิตคือสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่จริงๆ นี่เท่ากับเป็นร่างที่สองเลย

จากนี้ถ้าเสิ่นเทียนรวมเป็นดวงจิตดรุณ ถูกทำลายกายหยาบก็ไม่ต้องเสียดาย ตนมีกายหยาบเตรียมไว้แล้ว

อีกทั้งไม่ใช่แค่ร่างเดียว สามารถเตรียมได้หลายร่าง เปลี่ยนดวงจิตดรุณก็ใช้ได้

รอเดี๋ยว เหตุใดข้าถึงคิดว่าข้าจะโดนทำลายกายหยาบกันล่ะ…

เกิดดวงจิตดรุณถูกทำลายไปด้วย นั่นไม่เท่ากับจบเห่หรือ

ซี้ด ความคิดนี้อันตรายเกินไปมาก!

ช่างเถอะๆ ไม่ดีๆ ต้องให้มั่นคงที่สุด!

จากนี้ที่ที่มีอันตรายก็ให้ลูกรักบุตรเทพโลหิตเข้าไปเสี่ยงอันตราย

เสิ่นเทียนตัดสินใจเงียบๆ ในใจ ก่อนจะหยิบเตียงใหญ่อ่อนนุ่มออกมาจากแหวนเวหา เขานอนลงบนเตียงและเรียกลูกประคำเก้าโอรสกลับมา

วนลูกประคำไปพลาง นับแกะไปพลาง ไม่นานก็หลับลึกไป

ช่วยไม่ได้ จิตหนึ่งหยดโลหิตสิบหยด

เสิ่นเทียนเสียโลหิตบริสุทธิ์ไปทีเดียวมากขนาดนั้น สภาพจึงอ่อนแรงมาก

แม้จะมีของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานฟื้นฟูต้นกำเนิดก็ต้องใช้เวลาหลอมรวมดูดซับ!

เสิ่นเทียนเข้าสู่นิทราใต้ดินลึก

ตรงหน้าอกวางลูกประคำพวงหนึ่ง เม็ดประคำสีดำ ตอนนี้เหมือนออกเป็นสีแดงเล็กน้อย

…..

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเทียนก็งัวเงียตื่นมา เขาบิดเอวขี้เกียจก่อนจะรู้สึกว่าตอนนี้สภาพร่างกายดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โลหิตบริสุทธิ์ที่เสียไปฟื้นกลับมาแล้ว หลังจากผ่านการหลับลึก พลังจิตก็ฟื้นกลับมาเต็มที่

ลูกประคำเก้าโอรสในมือร้อนนิดๆ

เสิ่นเทียนถือลูกประคำขึ้นมา “จิ่วเอ๋อร์ ข้าหลับไปนานเท่าไรแล้ว”

เสียงเล็กเหมือนแมลงวันดังมาจากลูกประคำเก้าโอรส “นายท่านหลับไปเก้า…นายท่านหลับไปสามวันสามคืนแล้ว”

ซี้ด~

หลับตื่นเดียวสามวันสามคืนมันเกินจริงไปหรือไม่

เสิ่นเทียนปากกระตุกเล็กน้อย จะว่าไป ข้าเกือบจะพลาดการฝึกที่สนามรบบรรพกาลแล้วไม่ใช่รึ

สารภาพตามตรง ก่อนจะได้คัมภีร์เทพโลหิตมา เสิ่นเทียนอยากจะให้พลาดใจจะขาด แต่ตอนนี้ ต่อให้สนามรบบรรพกาลอันตรายกว่านี้ ร่างจริงของข้าก็ไม่เข้าไปหรอก

มีโอกาสควบคุมตัวละครในเกมไปลงดันเจี้ยนกับผู้มีมหาดวงชะตาพวกนั้น เสิ่นเทียนไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่เกาะโชคลิขิตเลย!

ใช่แล้ว!

ไม่รู้ว่าร่างแยกบุตรเทพโลหิตจะเห็นวงรัศมีกับโชคลิขิตของผู้มีมหาดวงชะตาพวกนั้นหรือไม่

อืม กลับไปถ้ามีโอกาสก็ลองดูได้

เสิ่นเทียนมีอารมณ์ความคิดหลากหลายในใจ เขาเก็บของในถ้ำใต้ดินแล้วก็เร่งรัดเถากลืนกินเซียนให้ใช้วิชามุดดินขึ้นไปบนผิวดิน

ก่อนหยิบปืนปทุมฆาตเทพออกมาจากแหวนเวหา หลังดูทิศทางง่ายๆ แล้วก็ใช้พลังจิตขี่ปืนไป เพียงครู่เดียวปืนก็พุ่งไปเก้าร้อยลี้ จากนั้น…

หลงทางแล้ว

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนผู้ฝึกบำเพ็ญคนอื่นขี่กระบี่บินจะรับประกันได้อย่างไรว่าทิศทางถูกต้องไม่มีผิดพลาด เสิ่นเทียนเดินไปตามสัญลักษณ์บนแผนที่อย่างสุดความสามารถแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าข้างหน้าหลังซ้ายขวามีแต่ภูเขา ต้นไม้และหินระเกะระกะ…

รูปทรงเหมือนกันหมด แม้แต่ของอย่างอื่นก็ยังเป็นต้นไม้ แล้วจะให้แยกทิศทางอย่างไร!

ตอนนี้เอง ป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ในอกเสื้อเสิ่นเทียนสั่นไหวเบาๆ

เสิ่นเทียนทำหน้าดีใจใหญ่ รีบเปิดตราเวทในป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ ติดต่อกับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์

ร่างที่มีสายฟ้าประกายเซียนปกคลุมทั้งตัวปรากฏตรงหน้าเสิ่นเทียน นั่นคือเงาสะท้อนของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

เขามองเสิ่นเทียน ประกายเซียนบนผิวกายกระเพื่อม “เทียนเอ๋อร์ อาจารย์ปลื้มใจมาก ได้ยินว่าเจ้าช่วยคนธรรมดาในเมืองหนึ่งของเขตแดนปกครองของแดนศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือ ทั้งยังทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือเสียหน้าอีก

อันนี้ดีมาก ตอนนี้ข่าวไปถึงหูของอวิ๋นเฟิงแล้ว อาจารย์จะให้เขากระจายข่าวไปยังฝ่ายอื่นๆ เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เราควรจะมีใจโอบอ้อมอารีอาณาประชาราษฎร์เช่นนี้!

เจ้าไม่ต้องสนใจแรงกดดันจากทางแดนศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือเลย อาจารย์จะรับไว้ให้เอง จำเอาไว้ แดนศักดิ์สิทธิ์จะยืนข้างเจ้าตลอดไป!”

เสิ่นเทียนยังอดอึ้งไปมิได้ นี่มันบ้าอะไรกัน!

ไม่กี่วัน เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองภูเขาดำห่างไกลไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้วรึ

หรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือจะโมโหจนขาดใจตายไปแล้ว ดังนั้นความทุกข์ของเมืองภูเขาดำที่ทำให้เขาสิ้นใจลงเลยแพร่งพรายออกไปทันทีกัน

ไม่ใช่สิ น่าจะไม่ใช่

ไม่อย่างนั้นอาจารย์คงไม่บอกว่าทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือเสียหน้าหรอก แต่ควรจะพูดว่า ‘อาจารย์ปลื้มใจมากที่เจ้าทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ดาวเหนือตาย’

คิดแบบง่ายๆ แล้วก็คงเพราะเจ้าหลี่อวิ๋นเฟิง…ยอดมนุษย์แห่งความเร็วในเรื่องการสืบข่าวและปากโป้ง!

ต้องบอกว่าเจ้าหลี่อวิ๋นเฟิงนี่เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ไกลขนาดนี้ยังได้ข่าว!

มิน่าถึงกล้าโม้ว่าเป็น ‘ผู้รอบรู้เทพสวรรค์ รู้ครึ่งหนึ่งทั้งดินแดนบูรพา’

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือกลับไป เสิ่นเทียนจึงพูดด้วยความจนปัญญา “อาจารย์ ศิษย์เหมือนจะหลงทางอยู่ในป่าแล้ว การทดสอบสนามรบบรรพกาลระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์เรากับแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเริ่มแล้วรึยังขอรับ”

หลงทางหรือ

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนสายฟ้าประกายเซียนจะกระเพื่อมขึ้นมา

น้ำเสียงแน่วแน่ของเขาดังมาจากประกายเซียน “ไม่เป็นไร! เทียนเอ๋อร์ เจ้าคือบุตรแห่งโชค มีดวงชะตาสูงสุดมาแต่กำเนิด หลงทางก็ไม่ต้องรีบ! ไม่ต้องเชื่อแผนที่อะไรนั่น แค่เดินไปตามความรู้สึกของเจ้า

อาจารย์เชื่อว่าเจ้าจะต้องพบทางที่ถูกต้องแน่นอน กระทั่งเจอโชคลิขิตที่ยิ่งใหญ่! เรื่องการฝึกที่สนามรบบรรพกาลก็ไม่ต้องรีบ อาจารย์จะให้พวกเขารอเจ้า!

หากเจ้าเจอมหาโชคลิขิตจริงๆ ก็ให้ติดต่ออาจารย์ผ่านทางป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์จะเปิดประตูมิติรับเจ้ากลับมาทันที!”

พอเอ่ยจบ ร่างเลือนรางของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็หายไปช้าๆ

ทิ้งเสิ่นเทียนให้มองป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ เหงื่อเย็นๆ หยดหนึ่งไหลผ่านหน้าผาก

เดินไปตามความรู้สึกจะต้องพบโชคลิขิตแน่หรือ

อาจารย์ท่านเอาจริงรึ

คือศิษย์…ไม่ใช่บุตรแห่งโชคจริงๆ นะ!

………………….