เพียงพริบตาเด็กๆ ที่โอ้อวดว่าตัวเองเป็นเจ้าของคอกม้าแห่งนี้ ก็กลายเป็น ‘กากเดนอังเกนัส’ แต่ไม่มีใครกล้าท้วงติงออกมาแม้แต่คำเดียว

 

“ระ เรื่องนั้น…”

 

คาเซย์ อังเกนัสกลัวสองแฝดมากเสียจนพูดอะไรไม่ออก

 

ในตอนนั้นเอง ฟีเรนเทียก็พูดเสียงนิ่ง

 

“ทั้งสองคน พูดจาเสียมารยาทแบบนั้นได้ยังไง ต้องรักษามารยาทด้วยสิ”

 

มารยาท? สองคนนั่นน่ะนะ

 

สองแฝดที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวร้ายแห่งลอมบาร์เดีย เป็นบุคคลที่ห่างไกลจากคำว่ามารยาทมาก

 

แต่ปาฏิหาริย์ก็พลันเกิดขึ้น

 

คู่แฝดที่คำรามขู่อยู่เมื่อครู่ จู่ๆ ก็ฉีกยิ้มเหมือนลูกสุนัขแสนเชื่อฟังคำสั่งเจ้านายในทันที

 

“เข้าใจแล้ว เทีย”

 

สองแฝดตอบรับอย่างเชื่อฟัง ทั้งคู่ฉีกยิ้มเล็กน้อย ในขณะที่ถามขึ้นใหม่อีกรอบ

 

“พวกเจ้าชวนเทียของพวกข้าไปดื่มชาหรือ”

 

มันเป็นคำพูดที่ฟังดูมีมารยาทมากขึ้นจริงๆ

 

แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ฟังดูน่ากลัวกว่าเดิม

 

“มะ ไม่ใช่พวกเรา…”

 

ใครคนหนึ่งเหลือบมองคาเซย์ อังเกนัส ในขณะที่ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ

 

“…เจ้าหรือ”

 

“อ๊ะ อา…”

 

คาเซย์ อังเกนัส ตัวสั่นไม่หยุด แทบจะทรุดตัวลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นมันเสียประเดี๋ยวนี้

 

“ทำไม”

 

คิลลีวูยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางถามขึ้น

 

“กะ ก็แค่พอดีเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก…”

 

“หึ”

 

เมโลนพ่นลมหายใจเสียงดังหึ ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้เช่นกัน

 

และกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

“เป็นแค่กากเดนอังเกนัส ก็น่าจะมีตามองบ้างนะ”

 

สายตาที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แพขนตายาวเย็นยะเยือกมีเพียงความเย็นชา

 

คิลลีวูเลื่อนมือไปลูบฝักดาบที่ห้อยอยู่ที่เอว

 

“กล้ายุ่มย่ามกับน้องสาวข้า อยากอายุสั้นหรือไง”

 

“ฮะ เฮือก! ”

 

คาเซย์ อังเกนัสสะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัว

 

“พอได้แล้ว ทั้งสองคน ข้าเหนื่อย”

 

ฟีเรนเทียเพียงแค่พูดเสียงเฉื่อยชาประโยคเดียว ราวกับหมดสนุกแล้วเท่านั้น

 

เพียงแค่นั้นจิตสังหารรุนแรงของสองแฝดก็พลันจางหายไปในพริบตา เหลือเพียงคนโง่งมที่ส่งยิ้มกว้างมองฟีเรนเทียอย่างว่าง่าย

 

“เทียของพวกเราเหนื่อยหรือ

 

“งั้นรีบไปหาที่อุ่นๆ กันเถอะ! ”

 

ฟีเรนเทียกับลอรีลเป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน ส่วนสองแฝดก็เดินตามหลังพวกนางไป

 

ไม่ได้สนใจเลยว่ากลุ่มเด็กชนชั้นสูงที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจะแข้งขาอ่อนยวบ จนทรุดตัวลงไปนั่งฟุบอยู่บนพื้นหรือไม่

 

ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังมุมที่แสงแดดส่องลงมาอย่างอบอุ่นตามที่สองแฝดจัดหาที่ทางไว้ล่วงหน้า ฟีเรนเทียพึมพำเสียงแผ่ว

 

“คนอื่นๆ ไม่รู้จักข้านี่มันช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย คงต้องเริ่มเปิดตัวได้แล้วละมั้ง”

 

* * *

 

ณ <คาราเมล อเวนิว>ที่เงียบลงหลังจากปิดร้านวันนี้

 

เชฟอบขนมโทลลี่ยิ้มให้เบ๊ตที่เพิ่งจะได้นั่งลงในสำนักงานซึ่งอยู่ด้านในห้องครัว ก่อนจะกล่าวลา

 

“วันนี้ก็เหนื่อยหน่อยนะ เบ๊ต”

 

“อา ลุงเองก็เหมือนกันครับ”

 

หลังจากนั้นเบ๊ตจึงยื่นมือออกไปยังเอกสารที่ถูกเขียนไว้ด้วยโค้ดลับอ่านยากซึ่งวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน

 

“ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว พักบ้างเถอะ เบ๊ต”

 

โทลลี่สงสารเบ๊ต

 

เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ในวัยที่ควรจะได้สนุกกับการใช้ชีวิต แต่นอกจากเวลานอนแล้วก็เอาแต่ทำงานทั้งวัน ขนาดเขาแค่เฝ้ามองอยู่ข้างกายเช่นนี้ยังรู้สึกเหนื่อยแทน

 

โดยเฉพาะหลังจากเตรียม ‘กิจการค้าข้อมูล’ อะไรนั่น ตนก็ไม่เคยเห็นเบ๊ตพักผ่อนเลย

 

“อ่านเอกสารอีกแค่ไม่กี่หน้าเองครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ กลับไปก่อนเถอะนะครับ ลุง”

 

“อืม งั้นหรือ บนชั้นมีพายแอ๊ปเปิ้ลวางอยู่หลายชิ้น ยังไงถ้าหิวก็กินเสียหน่อยละ”

 

โทลลี่มองเบ๊ตด้วยนัยน์ตาเป็นกังวลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตบไหล่เด็กหนุ่มพลางพูดขึ้น

 

“ครับ ลุง”

 

โทลลี่เลิกงานกลับไปแล้ว เบ๊ตที่เหลือตัวคนเดียวจึงสวมแว่นที่ถอดทิ้งไว้มุมหนึ่ง แล้วหยิบเอาเอกสารพวกนั้นขึ้นมาอ่าน

 

ภายใต้โคมไฟสลัว แว่นตาไร้ขอบส่องประกายสีเหลืองอ่อน

 

“หึ สั่งให้ข้าลองสืบเรื่องเกี่ยวกับเจ้าดูสักครั้งงั้นหรือ”

 

น้ำเสียงที่ไม่รู้ทำไมฟังแล้วถึงได้เหมือนมันกระทบศักดิ์ศรีของเขาเข้าอย่างจังนั่น ยังคงดังก้องชัดอยู่ในโสตประสาทหูอยู่เลย

 

“คิดว่าข้าจะไม่กล้าสืบจริงๆ หรือไง”

 

การสืบหาและรวบรวมข้อมูลเป็นความสามารถพิเศษของเบ๊ต

 

อีกอย่าง เขายังมีนัยน์ตาในการแยกแยะข้อมูลของจริง ท่ามกลางข่าวลือไม่แน่ชัดทั้งหลายแหล่

 

เด็กน้อยลอมบาร์เดียเริ่มแวะเวียนมาที่ร้านตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นเรื่องนานมากแล้วที่เบ๊ตเคยรู้สึกดีๆ กับใครสักคนแบบนี้

 

ราวกับสั่งให้เขาต้องสนใจนาง ทุกครั้งที่มาก็มักจะสั่งเค้กด้วยการสั่งว่า ‘เอาตั้งแต่นี่จนถึงนั่น’ เป็นประจำทุกครั้ง

 

กระทั่งเครย์ลีบัน เพลเลสจากร้านค้าเพลเลสที่กำลังเป็นประเด็นร้อนยังตามมาด้วย จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่รู้สึกให้ความสนใจ

 

แถมนางยังเป็นบุตรสาวคนเดียวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดียผู้โด่งดัง เป็นหลานสาวที่รูลลัก ลอมบาร์เดียรักใคร่มากที่สุด

 

มองถึงแค่นั้นก็ถือว่าฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียไม่ธรรมดาในหลายๆ ด้านแล้ว แต่เขาเองก็สามารถรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ายังมีอะไรบางอย่างที่พิเศษยิ่งกว่านั้น

 

“จะขุดให้ถึงรากเลย”

 

เบ๊ตพึมพำเช่นนั้น ในขณะที่เริ่มถูกฝังอยู่ใต้เอกสารกองพะเนิน

 

เขาเลือกชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่พอจะนำมาใช้ได้จากในกองนั่น กวาดสายตามองอ่านมันผ่านๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

 

ทำเช่นนั้นแล้ว ไม่นานภาพขนาดใหญ่ที่ไม่มีใครรู้ก็ถูกวาดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง

 

ยามค่ำคืนเริ่มมาเยือน พระจันทร์ส่องสว่างลอยขึ้นเหนือบนท้องฟ้า สุดท้ายจนกระทั่งท้องฟ้าทางด้านตะวันออกเริ่มค่อยๆ ส่องสว่าง เบ๊ตถึงได้หยุดทำงาน

 

กุกกัก

 

แว่นตาที่ถูกถอดออกไถลไปบนโต๊ะหนังสือ แต่เบ๊ตก็ไม่คิดที่จะสนใจ

 

สองมือใหญ่ยกขึ้นลูบใบหน้าของตน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

และได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง

 

กักเก็บเสียงกรีดร้องที่เกือบจะหลุดออกมาไว้ข้างในนั้น

 

เอกสารโค้ดลับที่กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ ต่างกำลังบอกเหมือนกันหมดอย่างแน่นอน

 

ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียคนนี้ให้ภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เบ๊ตจินตนาการเอาไว้เสียอีก

 

เบ๊ตได้แต่พึมพำเสียงแผ่วราวกับเสียงร้องคราง

 

“เจ้าเป็นใครกันแน่”